20 ปีของกระแสเกาหลีในไทย ทันไอเท็มฮิตตัวไหนกันบ้าง?

58 40
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแส Korean Fever มีอิทธิพลต่อวงการบิวตี้และค่านิยมด้านความสวยความงามในหลายประเทศทั่วโลกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่โอบรับวัฒนธรรมเกาหลีมาแบบเต็มๆ จากการเสพย์ Pop Culture เกาหลีในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าไอดอล และซีรีส์เรื่องดังต่างๆ จนทำให้เทรนด์บิวตี้สไตล์เกาหลีเข้ามาเบียดค่านิยมตะวันตกที่เคยรุ่งเรืองในยุคก่อนให้ตกเทรนด์ไปอย่างง่ายดาย

และนั่นก็เป็นที่มาว่าทำไมในปัจจุบันใครๆ ก็ชอบแต่งหน้าหรือใช้สกินแคร์บำรุงผิวจากแบรนด์เกาหลี เพราะหลายคนก็อยากดูดีเหมือนกับไอดอลคนโปรด แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นอาจเป็นเพราะไอเท็มจากเกาหลีมีคุณภาพและส่วนใหญ่มีราคาที่จับต้องได้ เลยทำให้ได้ใจสายบิวตี้ในไทยไปเต็มๆ นั่นเอง!

ซึ่งวงการบิวตี้ไทยก็ได้ต้อนรับแบรนด์เกาหลีเข้ามาหลากหลายแบรนด์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะดังและถูกจริตคนไทยซะทั้งหมด วันนี้เราจะพาทำความรู้จักแบรนด์สายเกาที่คนพูดถึงมากที่สุดในรอบกว่า 20 ปีที่กระแสเกาหลีเริ่มบูมในไทย เพื่อที่จะมาดูกันว่าแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นอะไร มีไอเท็มฮิตตัวไหนบ้าง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยค่า

Laneige

แบรนด์สกินแคร์ในเครือ Amorepacific ที่เข้าไทยมาเป็นแบรนด์แรกตั้งแต่ปี 2004 ก่อตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี เป็นแบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นเรื่องการใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับน้ำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพราะเชื่อว่าน้ำเป็นส่วนสำคัญของการมีผิวสุขภาพดี โดย Laneige เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงแรกที่เข้าไทยจากพรีเซนเตอร์คนดังอย่างจอนจีฮยอน (Jun Ji-Hyun) ที่กำลังดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์เรื่อง My Sassy Girl ในตอนนั้น หลังจากนั้นยังมีซองเฮเคียว (Song Hye-Kyo) ที่โด่งดังจากบทบาทในเรื่องรักนี้ชั่วนิรันดร์ (Autumn in My Heart) ที่เชื่อว่าไม่มีใครในยุคนั้นไม่รู้จัก เพราะเป็นซีรีส์ที่ทำให้หลายคนต้องน้ำตาแตกกันทั่วบ้านทั่วเมือง

Laneige มีไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เน้นการบำรุงสำหรับหลายช่วงอายุ แต่ไอเท็มที่ขายดีมาโดยตลอดไม่มีเปลี่ยนตั้งแต่แรกมาจนถึงปัจจุบันก็คือ Water Sleeping Mask เจลมาสก์ข้ามคืนเนื้อบางเบาที่หลายคนยกให้เป็นที่หนึ่งเรื่องความชุ่มชื้น เพราะมีเนื้อสัมผัสที่ไม่หนาหนักเลย เหมาะกับอากาศเมืองไทย แต่ก็สามารถให้ความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก

อีกหนึ่งไอเท็มที่สร้างยอดขายให้กับแบรนด์อย่างถล่มทลายคือ Lip Sleeping Mask ลิปมาสก์บำรุงปากข้ามคืน กู้ปากแห้งแตกให้กลับมานุ่ม เนียนน่าจุ๊บ ที่ขายดีจนมีกลิ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ ให้แฟนคลับคอยตามเก็บสะสม และเมื่อปลายปีที่แล้วก็เพิ่งออกกลิ่นพิเศษ รส Gummy Bear สีม่วงที่เป็นการคอลแลบร่วมกับวง BTS เอาใจเหล่าอาร์มี่ ที่เป็นสายบำรุงกันไปเต็มๆ

นอกเหนือจากสองไอเท็มนี้ ในปี 2020 Laneige ก็ได้ปล่อยไอเท็มที่เรียกเสียงฮือฮาได้อีกครั้ง คือ Neo Cushion Matte และ Neo Cushion Glow คุชชั่นเนื้อบางเบาสบายผิว ดูเป็นธรรมชาติ มาในแพคเกจสุดมินิมอลรูปทรงเหมือน Airpod สีพาสเทล จึงดูมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนคุชชั่นแบรนด์ไหนๆ ทำให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ในเอเชียเท่านั้น แต่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าในฝั่งตะวันตกจำนวนไม่น้อย อาจเป็นเพราะสินค้าเปิดตัวในยุคโควิดที่ทุกคนต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา หลายคนเริ่มเปลี่ยนไปใช้เมคอัพที่มีเนื้อบางเบาและให้การปกปิดน้อยลง จึงตอบโจทย์ความต้องการของคนยุคนี้ได้อย่างลงตัว 

เมื่อต้นปีนี้ Laneige ก็มีการปรับลุคผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในไลน์ Water Bank ให้มีความโมเดิร์น และมินิมอลมากขึ้น เพื่อมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่เริ่มสนใจในการดูแลตัวเอง เป็นการตอกย้ำว่า Laneige สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนได้ทุกยุคทุกสมัย และคอยปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์บิวตี้ที่เปลี่ยนไป ถึงจะอยู่มานานแต่ก็ยังครองใจสายบิวตี้ได้ไม่เปลี่ยน!

ไอเท็มที่ต้องลอง
  • Water Sleeping Mask - ไอเท็มขายดีตลอดกาลของแบรนด์ มาสก์ข้ามคืนเนื้อเจลฉ่ำๆ ให้ความชุ่มชื้นล้ำลึก
  • Lip Sleeping Mask - ลิปมาสก์กลิ่นผลไม้หอมหวาน กู้ปากแห้งแตกได้เร่งด่วน
  • Neo Cushion Matte - คุชชั่นเนื้อบางเบาดูเป็นงานผิวเหมือนผิวดีธรรมชาติ ไม่เลอะแมสก์

Etude

แบรนด์เมคอัพที่ฮิตมากกกในยุคแรกๆ หลังจากที่กระแสเกาหลีเริ่มได้รับความนิยมในไทย ถึงแม้จะไม่ใช่แบรนด์เกาหลีแบรนด์แรกที่เข้ามาไทย แต่ก็มาแรงแซงโค้งแบรนด์อื่นๆ อย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากแบรนด์เกาหลีแบรนด์อื่นๆ ในยุคนั้น ด้วยคอนเซปต์ของแบรนด์ที่มาในธีมเจ้าหญิง เน้นโทนสีชมพูหวานน่ารักสดใส ดูอ่อนเยาว์ แพคเกจดีไซน์น่ารักปุ๊กปิ๊กที่ใครเห็นก็ต้องอยากได้ จึงทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยทำงานที่หลงใหลการแต่งหน้าสไตล์สวยใสฉบับสาวเกาอย่างทันที

ถึงแม้ว่าจะเป็นแบรนด์เกาหลีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไทยแต่ก็มีเหตุให้ Etude ต้องปิดหน้าร้านในไทยไปอยู่ช่วงนึง เพราะราคาสินค้าที่ขายในเวลานั้นสูงกว่าราคาหน้าร้านในเกาหลี 3-4 เท่า และยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น คู่แข่งอย่างร้านหิ้วที่รับพรีออเดอร์สินค้าเข้ามาในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว หรือตั๋วเครื่องบินไปเกาหลีที่มีราคาถูกลงอย่างมาก ทำให้การบินไปซื้อเองถึงที่ไม่ยากอีกต่อไป อย่างไรก็ตามหนึ่งปีหลังจากที่ออกจากไทยไป Etude ก็กลับมาเปิดหน้าร้านในไทยอีกครั้ง พร้อมปรับราคาผลิตภัณฑ์ลงให้จับต้องได้กว่าเดิม

แน่นอนว่าถ้า Etude มีดีแค่แพคเกจจิ้งที่ดึงดูดใจ แต่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน แบรนด์ก็คงไม่ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ และถ้าจะให้พูดถึงไอเท็มตัวเด็ดที่สร้างยอดขายพุ่งกระฉูดให้กับ Etude ก็ต้องเป็น Magic BB Cream ไอเท็มสุด OG ที่เรียกได้ว่าเป็นบีบีครีมตัวแรกที่ทำให้บีบีครีมเป็นที่รู้จักและเริ่มได้รับความนิยมทั่วโลก ถึงแม้ว่าบีบีครีมแบรนด์อื่นจะวางขายมาหลายปีก่อนก็ตาม 

อาจสรุปได้ว่า Etude ปล่อยไอเท็มนี้ออกมาในช่วงที่คนเริ่มมีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เป็นยุคที่คนต้องการความเรียบง่าย แต่งหน้าได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งไอเท็มนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดี เพราะรวมหลายสเต็ปทั้งการบำรุงและแต่งหน้าไว้ในสเต็ปเดียว และยังเคลมว่าเมื่อทาแล้วทำให้หน้าดูเนียนผ่องมีออร่าเหมือนสาวเกาหลีจนทำให้หลายคนต้องการพิสูจน์ด้วยตัวเอง!

อีกหนึ่งตัวที่ดังไม่แพ้กันอย่าง Tear Drop Eyeliner อายไลเนอร์แบบพู่กันจิ้มจุ่ม ที่นอกจากจะมีสีเบสิกอย่างสีดำและสีน้ำตาลแล้วยังมีสีที่ผสมกลิตเตอร์วิบวับเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ Aegyo-sal หรือการแต่งขอบตาล่างด้วยอายไลเนอร์หรืออายแชโดว์สีอ่อนผสมกลิตเตอร์เพื่อไฮไลต์บริเวณถุงใต้ตาให้ดูบวมเด่นขึ้นมา เพราะคนเกาหลีเชื่อว่าลุคนี้จะทำให้หน้าดูเด็ก สดใส น่ารักน่าเอ็นดู มีเสน่ห์กว่าใคร ซึ่งเจ้าอายไลเนอร์ตัวนี้เป็นอายไลเนอร์ผสมกลิตเตอร์ตัวแรกๆ ที่มาพร้อมหัวแปรงพู่กัน ทำให้การครีเอตลุคนี้ทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มที่ปฏิวัติวงการบิวตี้ และเป็นต้นแบบให้แบรนด์อื่นๆ ออกไอเท็มแบบเดียวตามกันมาเป็นขบวน

และไอเท็มฮิตตัวสุดท้ายที่ถ้าพูดถึงแบรนด์ Etude แล้วเชื่อว่าคนที่เกิดในยุค 80-90 จะต้องรู้จักหรือเคยใช้แน่นอน คือ Drawing Eye Brow Pencil ดินสอเขียนคิ้วที่ฮิตมาก และยังขายดีมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะมีสีที่เข้ากับสีผมคนเอเชีย มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ส่วนสิ่งที่ทำให้ดินสอเขียนคิ้วตัวนี้พิเศษกว่ายี่ห้ออื่นๆ คือตัวไส้ดินสอที่มีรูปทรงแบบหัวตัดช่วยให้เขียนคิ้วได้แม่นยำกว่าแบบหัวมนทั่วไป

บอกได้เลยว่าแบรนด์ Etude เป็นแบรนด์เกาหลีอันดับต้นๆ ที่สามารถครองใจสายบิวตี้ในไทยได้อย่างเหนียวแน่น เพราะถึงแม้ว่าแบรนด์จะเคยโบกมือบ๊ายบายประเทศไทยไปแล้วครั้งนึง แต่ก็กลับเข้ามาอีกรอบให้แฟนๆ หายคิดถึง และหลายไอเท็มของแบรนด์ก็ยังขายดีไม่มีตกตั้งแต่วันแรกที่เคยเข้าไทยจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ไอเท็มที่ต้องลอง
  • Double Lasting Foundation - รองพื้นสูตรแมตต์ เนื้อบางเบา พิกเมนต์เข้มข้น ติดทนทั้งวัน
  • Fixing Tint - ลิปทินต์เนื้อลิควิดใช้แล้วไม่หนักปาก รู้สึกเหมือนไม่ได้ทา แถมยังไม่เลอะแมสก์
  • Drawing Eye Brow Pencil - ดินสอเขียนคิ้วในตำนานที่ใครก็ต้องเคยใช้ มีสีให้เลือกเยอะเหมาะกับสีผมคนเอเชีย

3CE

3 Concept Eyes หรือ 3CE คือแบรนด์เมคอัพที่เริ่มต้นจากแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น Stylenanda ซึ่งทางแบรนด์ต้องการเติมเต็มความเป็นผู้หญิงให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น จึงปั้นแบรนด์ 3CE ขึ้นมา ซึ่งช่วงเพิ่งเปิดตัว ถือว่าเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่มีความแตกต่าง แปลกใหม่ เพราะมีสีสันและสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ทั้งตัวแพคเกจ สีสันของงานเมคอัพที่เน้นสีสดชัด เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสและมั่นใจ เน้นความเป็นผู้หญิงสไตล์เกาหลียุคใหม่ที่ชิคและดูดี นับตั้งแต่เข้าไทยมาในปี 2017 แบรนด์ 3CE ก็ได้เสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มสายเมคอัพเกาหลีอย่างทันที

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ 3CE เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นและถูกใจสายบิวตี้สไตล์เกาหลีก็คือ การที่แบรนด์ไม่เลือกใช้ดาราดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เหมือนกับแบรนด์บิวตี้อื่นๆ แต่กลับเลือกใช้นางแบบ ปาร์ค โซรา (Park Sora) ที่มีสไตล์การแต่งตัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นก็คือการแต่งตัวสไตล์เท่ๆ มีความ Boyish แต่ก็ยังมีความเป็นผู้หญิงแฝงอยู่ ซึ่งทำให้ปาร์ค โซรา กลายเป็นแฟชั่นไอคอนของคนรุ่นใหม่ มีคนติดตามมากมาย และการเลือกเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์นั้นช่างเหมาะเจาะ เพราะเป็นการช่วยตอกย้ำความเป็นแบรนด์บิวตี้ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแบรนด์แฟชั่นนั่นเอง

ถ้าจะให้พูดว่า 3CE เป็นแบรนด์บิวตี้สายเกาที่มีความฝอค่อนข้างสูงก็คงไม่ผิด เพราะจุดเด่นของแบรนด์คือเมคอัพที่มีสีสันสดชัด และมีพิกเมนต์แน่น ซึ่งแตกต่างกับแบรนด์อื่นๆ ในยุคนั้น ที่ยังเน้นการแต่งหน้าโทนซอฟต์ ละมุน ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในไอเท็มขายดีของแบรนด์อย่าง Mood Recipe Matte Lip Color ลิปสติกเนื้อแมตต์กำมะหยี่ที่ให้สีสดชัดในปาดเดียว แต่มาในโทนสีที่มีความเกาหลีอยู่เต็มเปี่ยม เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มแรกที่ต้องลองสำหรับใครที่อยากลองใช้ 3CE เลยก็ว่าได้

แต่อีกหนึ่งไอเท็มที่ออกมาเขย่าวงการบิวตี้สายเกาในยุคนั้นคือ Blush Cushion บลัชออนในรูปแบบคุชชั่นที่ใช้งานง่ายมาก แถมยังพกพาสะดวก ถึงแม้ว่า 3CE อาจจะไม่ใช่แบรนด์แรกที่คิดค้นไอเท็มนี้ออกมา แต่สีสันที่แบรนด์มีให้เลือกนั้นมีความแปลกใหม่และยังไม่เคยมีแบรนด์ไหนทำออกมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสีแดงสด สีส้มอ่อนอมเหลือง และสีน้ำตาลที่ทำให้การใช้บรอนเซอร์หรือคอนทัวร์สำหรับมือใหม่เป็นเรื่องไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะสามารถเกลี่ยให้ดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติเนียนไปกับผิวได้ง่ายๆ

เรียกได้ว่า 3CE เป็นแบรนด์ต้นแบบให้แบรนด์เกาหลีอื่นๆ เริ่มกล้าที่จะฉีกออกจากกรอบ ปล่อยวางภาพจำเดิมๆ ว่าการแต่งหน้าสไตล์เกาหลีจะต้องดูซอฟต์และอินโนเซนต์เท่านั้น รวมทั้งทำให้คนเกาหลีกล้าที่จะแต่งหน้าในลุคสวยฟาดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยไม่ยึดติดกับสไตล์เดิมที่เคยเป็นที่นิยมกันมาต่อเนื่องหลายทศวรรษอีกต่อไป

ไอเท็มที่ต้องลอง 
  • Mood Recipe Multi Eye Color Palette - อายแชโดว์พาเลตต์ 9 สี มีหลายเนื้อสัมผัส โทนสีสวยใช้ได้จริง
  • Velvet Lip Tint - ลิปทินต์เนื้อกำมะหยี่นุ่มๆ สีสดชัด ไม่ทำให้ปากแห้ง
  • Mood Recipe Face Blush - บลัชออนอัดแข็งโทนละมุน ปัดแล้วให้ลุคสาวเกา น่าทะนุถนอม

Jung Saem Mool

มาต่อกันที่แบรนด์สุดท้ายที่ถึงแม้จะไม่ได้มีคนพูดถึงมากที่สุดในไทย แต่ก็มาแรงมากภายในระยะเวลาอันรวดเร็วก็คือ Jung Saem Mool แบรนด์เมคอัพและสกินแคร์ของเมคอัพอาร์ติสตัวแม่ในเกาหลีใต้ที่โด่งดังจากผลงานการแต่งหน้าให้ดาราเกาหลีดังๆ มากมายนับไม่ถ้วน เช่น คิมแตฮี (Kim Tae-hee) โบอา (BoA) หรือ จอนจีฮยอน (Jun Ji-Hyun) เป็นต้น

แน่นอนว่าเหตุผลหลักที่คนไทยเริ่มสนใจแบรนด์ Jung Saem Mool ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นเพราะแบรนด์เพิ่งเข้ามาวางขายในไทยอย่างเป็นทางการในปี 2019 เพราะถึงแม้ว่าจะเปิดตัวที่เกาหลีมาตั้งแต่ปี 2015 แต่ก็มีคนไทยเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่จะรู้จักและติดตามผลงานของคุณจองแซมมุล 

นอกจากนั้น อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แบรนด์ Jung Saem Mool เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มสายบิวตี้ไทยน่าจะเป็นการทำแบรนด์ดิ้งที่ต่างไปจากแบรนด์อื่นๆ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ก่อตั้งโดยช่างแต่งหน้ามืออาชีพ แต่สามารถทำให้แบรนด์มีความเข้าถึงง่าย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ใช้ง่ายสำหรับทั้งมือใหม่และมือโปร 

คุณจองแซมมุลยังคอยสอนทริคต่างๆ ในการแต่งหน้าผ่านช่องทาง Social Media ของแบรนด์อยู่เป็นประจำ เช่น วิธีเลือกสีเมคอัพให้เข้ากับอันเดอร์โทนผิวด้วยการสอนให้ทุกคนรู้จัก Personal Color ของตัวเอง หรือ ทริคการทาบลัชออนยังไงให้ดูเป็นธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งการแชร์เทคนิคเหล่านี้ทำให้คนรู้สึกว่าสามารถใช้ไอเท็มของแบรนด์ได้จริง และใครๆ ก็สามารถครีเอตลุคเกาหลีได้ด้วยตัวเอง

ใครที่รู้จักแบรนด์ Jung Saem Mool อยู่แล้วก็จะรู้ดีว่าแบรนด์เขาขึ้นชื่อเรื่องงานผิวสวยสไตล์เกาหลีที่สามารถครีเอตได้ง่ายๆ ด้วยไอเท็มตัวดังอย่าง Essential Skin Nuder Longwear Cushion ที่เป็นคุชชั่นรุ่นคลาสสิคของแบรนด์ เพราะมีความบางเบา คุมมัน ติดทน เหมาะกับสภาพอากาศของไทยเป็นอย่างยิ่ง และยังให้ลุคงานผิวเป็นธรรมชาติสุดๆ แต่ความพิเศษไม่ได้อยู่ที่สูตรของคุชชั่นเพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นเทคนิคในการลงคุชชั่นของคุณจองแซมมุลที่ออกแบบตัวคุชชั่นมาให้มีพื้นที่ในตลับสำหรับการวอร์มเนื้อคุชชั่นก่อนทาลงบนผิวโดยเฉพาะ เพื่อที่จะสามารถลงคุชชั่นแล้วดูเป็นงานผิว ไม่หนาหรือโบ๊ะจนเกินไป ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะตัวที่สร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ได้อย่างชัดเจน

หนึ่งในไอเท็มใหม่ที่เพิ่งออกมาได้ไม่กี่เดือนแต่มีกระแสคนพูดถึงไม่หยุดหย่อนก็คือ Skin Nuder Cover Layer Cushion คุชชั่นสูตรแมตต์ที่ให้การปกปิดแบบขั้นสุด แต่ยังดูเป็นผิว ไม่ได้ดูแมตต์ไร้มิติจนเกินไป เป็นไอเท็มที่ฮิตมากในไทยเพราะออกมาตรงกับช่วงหน้าร้อนของเราพอดี ความพิเศษชองคุชชั่นตัวนี้ก็คือการผสมผสานสูตรคุชชั่นสองรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์อย่าง Essential Skin Nuder Longwear Cushion ที่มีความแมตต์ คุมมัน บางเบา และ Masterclass Radiant Cushion ที่มีเนื้อครีมมี่ เกลี่ยลื่น ปกปิดสูง และให้ความฉ่ำวาวแบบขั้นสุดมารวมไว้ในตัวเดียว ทำให้เป็นคุชชั่นที่มีความลงตัวและรวมทั้งข้อดีของทั้งสองรุ่นเอาไว้ด้วยกัน จึงทำให้คุชชั่นรุ่นนี้ได้ใจทั้งคนผิวมันและผิวแห้งในไทยไปอย่างเต็มๆ

ความนิยมในแบรนด์ Jung Saem Mool ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงค่านิยมด้านความงามที่เปลี่ยนไปของคนยุคนี้ ที่เน้นการแต่งหน้าเพื่อเสริมจุดเด่นของตัวเองแทนที่จะแต่งหน้าตามมาตรฐานของสังคมอีกต่อไป แสดงให้เห็นว่าคนยุคนี้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ไอเท็มที่ต้องลอง
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion - คุชชั่นสูตรแมตต์เนื้อครีมมี่เกลี่ยง่าย ไม่เป็นคราบ
  • Essential Mool Cream - ครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นขั้นสุด เตรียมผิวก่อนลงคุชชั่นได้เนียนกริบ
  • Lip Pression See Through Tint - ลิปทินต์เนื้อน้ำบางเบาเหมือนไม่ได้ทา
ทั้งหมดนี้ก็คือแบรนด์บิวตี้เกาหลีที่มีความโดดเด่นและถูกพูดถึงในวงการบิวตี้ไทยเป็นอย่างมากในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีหลายแบรนด์ที่เคยเข้าไทย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไร จนต้องปิดตัวแล้วออกจากไทยไป แต่สิ่งที่ทำให้เทรนด์บิวตี้สายเกาในไทยยังคงได้รับความนิยมอยู่เรื่อยๆ คงเป็นเพราะคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนา ปรับปรุงสูตรให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา และการเป็นผู้นำเทรนด์ มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ จึงทำให้แบรนด์บิวตี้เกาหลีได้ใจสายบิวตี้ชาวไทยไปเต็มๆ

สุดท้ายนี้ ใครทันหรือพลาดช้อปไอเท็มในตำนานตัวไหนกันบ้าง หรือกำลังใช้ไอเท็มขายดีของแบรนด์ไหนอยู่ก็มาแชร์ให้ฟังกันหน่อยนะค้าา

References

https://www.apgroup.com/th/th/brands/laneige.html
https://positioningmag.com/8374#:~:text=LANEIGE%20(ลาเนจ)%20เป็น,เมื่อพฤศจิกายน%202547%20โดยกลุ่ม
https://my-best.in.th/49070
https://positioningmag.com/61377
https://bestreview.asia/best-laneige-products/


wararatlw

wararatlw

FULL PROFILE