คนดังคิดยังไงกับ Cancel Culture

41 12

เจ็บมาเท่าไรแล้วกับคำว่า  cancel culture?

หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นในยุค digital จากหลากหลายดราม่าของคนวงการบันเทิง แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้จะมีความรู้สึกเช่นใด   มาติดตามกันเลยค่ะ




Cancel culture คืออะไร?

นี่คือ norm ของผู้คนในสังคมที่แสดงความต้องการที่จะ boycott บุคคล แบรนด์ หรือแม้แต่รายการและหนัง เนื่องจากเชื่อว่า มีการแสดงความเห็น,พฤติกรรม และการสื่อถึงแนวคิดที่ toxic ก่อให้เกิดปัญหาสังคม และเป็นตัวอย่างที่ย่ำแย่ ไม่สมควรจะได้รับ platform เพื่อสร้างความสำเร็จอีกต่อไป


แต่หลายๆครั้ง ต้องพบว่า บางเหตุการณ์ที่ทำให้คนดังเข้าสู่สภาวะถูก cancel ไม่ได้เข้าข่ายคำว่าดราม่า แต่อีกหลายเหตุการณ์ บรรดาคนดังก็ถูกพิพากษาจากพฤติกรรมและการแสดงความเห็นที่ชาวเน็ทมองว่าเสื่อมเสียจนไม่สามารถทำใจยอมรับได้ และกลายมาเป็นกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงตามสังคมออนไลน์ ทำให้หลายฝ่ายฟันธงว่า แท้จริงแล้ว cancel culture ต่างหากที่ toxic ยิ่งกว่าสิ่งใด!



Chris Pratt: สะเทือนใจจนร่ำไห้



'Chris คนที่ห่วยแตกที่สุดใน Hollywood' ฉายาที่ที่ติดตัว Chris Pratt มาพักใหญ่ ถึงขนาดมีการโหวตเพื่อฟันธงกันให้ชัดเจน

นี่คือสาเหตุที่ทำให้ Chris ผู้ที่ได้รับความนิยมจากบุคลิกเฮฮาน่ารักกลายมาเป็น Chris ที่ชาวเน็ทหลายคนรู้สึกไม่สบอารมณ์

  • ข่าวลือเรื่องการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนากับโบสถ์ Zoe ที่เป็นเครือข่ายของ  โบสถ์ Hillsong  กลุ่มศาสนาชื่อเสียงฉาวโฉ่จากการแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนเกย์ รวมถึง scandal หลายอย่างจนมีการสร้างสารคดี Hillsong: A Megachurch Exposed  ที่ตีแผ่ว่ากรณีอดีตผู้นำของ Hillsong  ที่เคยอยู่ข้างกาย Justin Bieber ในฐานะ life coach  ถูกขับออกจากโบสถ์ด้วยข้อกล่าวหาการกระทำผิดทางเพศนั้นเป็นเพียงเรื่องฉากหน้าเพียงส่วนน้อยที่คนนอกรับรู้    เรื่องนี้ทำให้ Eliot Page  (ก่อนที่จะแปลงเพศ) โจมตีเขาว่า  เข้าร่วมกับกลุ่มศาสนาที่ต่อต้านเกย์

  • เมื่อมีเสียงเลื่องลือหนักว่าเข้าร่วมกับกลุ่มศาสนาที่มีแนวความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ก็ถูกปล่อยข่าวว่า เขามีความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม และสนับสนุนพรรคRepublican และ  Donald Trump  (เซเลบส่วนใหญ่จะแสดงจุดยืนสนับสนุนความคิดแบบเสรีนิยมและความเท่าเทียม  แม้จะเป็น Republican supporter หรือชอบ Trump จริงๆ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ออกตัวแรง เพราะเสี่ยงต่อเรื่องอาชีพการงานในวงการไม่ใช่น้อย)  รวมถึงรายงานจาก The Hollywood Reporter  ว่า กลุ่มนักแสดงAvengers ต่างเข้าร่วมอีเวนท์รวบรวมเงินทุนสนับสนุน Joe Biden และถือว่า เป็นการรวมพลังเพื่อประชาธิปไตย แต่ชื่อของ  Chris  หายไปจากงานนี้



  • หลังจากที่หย่าร้างกับ Anna Farris ก็ได้พบรักกับลูกสาวคนสวยของ Arnold  Schwarzenegger  เมื่อเธอให้กำเนิดลูกน้อยให้กับเขา  สังคมออนไลน์พลุ่งพล่านไปด้วยความกราดเกรี้ยวเมื่อเขา post ข้อความขอบคุณภรรยาที่คลอดลูกสาวที่งดงามและ 'สุขภาพแข็งแรง'      หลายคนมองว่า  คำพูดของChris ชวนกระทบกระเทือนกระเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะลูกชายคนแรกของที่ Anna  Farris เป็นผู้ให้กำเนิดนั้นต้องเผชิญกับปัญหาทางสุขภาพที่น่าวิตกกังวลเพราะคลอดก่อนกำหนดถึงสองเดือน แม้จะผ่านวิกฤติจากอาการเลือดออกในสมองมาได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการมองเห็นและเรื่องกล้ามเนื้อมาจนถึงปัจจุบัน   แม้จะมีผู้ปกป้องว่า นี่เป็นข้อความที่เป็นเรื่องปกติของสามีภรรยาที่ต้องการสนับสนุนกัน   แต่ก็ถูกแย้งกลับว่า  เขาควรจะระมัดระวังในการใช้คำพูดให้ถูกที่ถูกเวลา    หนักกว่านั้น ยังมีคนกล่าวหาว่า เขาพูดกระทบกระเทียบอดีตภรรยาที่ไม่สามารถคลอดลูกชายที่สมบูรณ์แข็งแรงได้!



วันก่อนนี่เองที่ Chris ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจว่า กระแสต่อต้านจากข้อกล่าวหาว่าเขาเยาะเย้ยภรรยาเก่าที่คลอดลูกชายก่อนกำหนดจนมีปัญหาสุขภาพตามมานั้นทำให้เขาสะเทือนใจจนต้องร่ำไห้ ด้วยความวิตกกังวลว่า ลูกชายจะพบกับเรื่องนี้จาก internet แม้ตอนนี้เด็กชายวัยเก้าขวบจะยังไม่รู้เรื่อง แต่สักวันก็จะพบกับข้อมูลข่าวสารที่จะไม่ถูกลบเลือน ชีวิตของเขาอาจจะพบกับโชคดีแต่ก็ก็ต้องพบว่าสิ่งที่มาพร้อมกับชื่อเสียงความสำเร็จได้ตามหลอกหลอนจนต้องจิตตก

เขาตั้งข้อสังเกตว่า กระแสต่อต้านน่าจะเริ่มมาจากการขึ้นไปแสดงความขอบคุณที่เวที MTV Movie & TV Awards ในปี 2018 ด้วยการบอกทุกคนว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และขอให้เชื่อมั่นว่า พระองค์รักทุกคน และพระองค์ปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน และทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนเคร่งศาสนาทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น และยืนกรานปฏิเสธว่า เขาไปเคยร่วมกิจกรรมศาสนากับ Hillsong เขาไม่รู้จักใครที่ไปโบสถ์นี้








Johnny Depp: ส่งคำเตือน  ไม่มีใครที่ปลอดภัยจากการถูกพิพากษา



แม้จะใช้เวลายาวนานเพื่อแสดงให้โลกได้เห็นว่า เขาไม่ได้เป็น  abuser  ตามที่อดีตภรรยากล่าวหา  และยังได้รับกำลังใจล้นหลามโดยเฉพาะที่ได้รับชัยชนะจากการฟ้องร้องหมิ่นประมาทที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน   แต่ความเคลื่อนไหวที่พยายาม cancel Johnny Depp นั้นก็ยังคงอยู่   สื่อหลายเจ้ายังโจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง     ล่าสุด เมื่อ Sir Paul McCartney ได้แสดงดนตรีไปพร้อมกับการฉายภาพของ Depp ในเทศกาลดนตรี  Glastonbury   ก็มีผู้แสดงความผิดหวัง และโจมตีว่าเขาสนับสนุนพระเอกทรงอิทธิพลที่ทำร้ายร่างกายภรรยาเก่า   หรือจะเป็นนักดนตรีอังกฤษที่เคย post ข้อความแสดงความปลาบปลื้มที่ได้  hang out กับ Depp แบบไหล่ชนไหล่ก็ถูกรุมต่อว่าต่อขานด้วยเหตุผลเดียวกัน

Depp ได้ชี้ว่า เขาคือเหยื่อของ cancel culture

"นี่เป็นปรากฏการณ์ในประวัติศาสตร์ที่จะดำเนินต่อไปอีกนานเท่านาน cancel culture ที่ทำให้ผู้คนหาเรื่องราวสารพัดมาพิพากษาผู้อื่นโดยไม่ฟังกัน

"ถึงตอนนี้มันก็เป็นสิ่งที่เกินกำลังจะควบคุม ผมยืนยันได้เลยว่าจะไม่มีใครปลอดภัยไปจากมัน ไม่มีใครจะถูกยกเว้น"

"เพียงแค่คำพูดเดียวก็ทำให้ไม่เหลือพื้นที่ให้ยืน มันไม่ได้เกิดกับผมเพียงผู้เดียว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย มันน่าเศร้าใจที่เรื่องราวมันไปกันใหญ่ถึงขั้นที่พวกเค้าต่างคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติไปแล้ว หรือโทษว่าเป็นความผิดของพวกเค้าเอง ซึ่งมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย"





Dakota  Johnson: เกลียดคำนี้สุดๆ


Dakota Johnson อาจจะไม่ใช่ผู้รับผลกระทบโดยตรงจาก cancel culture แต่เธอถูกวิจารณ์ไม่ใช่น้อยเมื่อก้าวออกมาปกป้อง Johnny Depp และ Shia LaBeouf ที่ถูกcancel รัวๆ เธอออกตัวชัดเจนว่าเซ็งกับเรื่องนี้มากแค่ไหน


"ฉันไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆจากเขาเหล่านั้น การร่วมงานกับพวกเขาเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม ฉันรู้สึกเศร้าใจที่ต้องเสียศิลปินที่เก่งกาจไป เสียใจที่เห็นคนที่จำเป็นจะได้รับการช่วยเหลือแต่พวกเขาอาจจะยังไม่ได้รับความช่วยเหลือทันเวลา และเสียใจต่อทุกคนที่ต้องเจ็บปวดและได้รับอันตราย มันน่าเศร้ามากจริงๆ"

"ฉันต้องการจะเชื่อมั่นในพลังของความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์และการพัฒนาตัวเอง สามารถรับความช่วยเหลือและยังช่วยคนอื่นได้อีกด้วย ฉันคิดว่า ตอนนี้สังคมพยายามแก้ไขเกินพฤติกรรมเกินกว่าความผิด แต่ก็ควรจะร่วมกันหาจุดกึ่งกลางที่เหมาะสม"


เธอเสนอแนะว่า กลุ่มนายทุนสร้างหนังควรเรียนรู้เพื่อหาวิธีที่ดีกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหา'ถูก cancel'

"วิธีการที่บรรดาสตูดิโอใช้รับมือกับเรื่องนี้มันล้าหลังค่ะ มันเป็นแนวคิดแบบหัวโบราณมากในการพิจารณาว่าา ควรจะสร้างหนังแบบไหน หรือใครที่สมควรจะได้มาแสดง พวกเค้าควรได้ค่าตอบแทนสักเท่าใด ความเท่าเทียมและความหลากหลายควรจะออกมาในรูปแบบไหน ความคิดแบบพวกหัวเก่าน่าจะถูกแทนที่ด้วยความทันสมัยได้แล้ว แต่บอกเลยว่า cancel culture น่ะย่ำแย่เหลือเกิน ฉันเกลียดคำนี้"







Elizabeth Olsen:  กดดันและไม่กลับมาใช้ social media  อีก


กรณี Elizabeth Olsen ถูกรุมกล่าวหาว่าใจร้ายใจดำที่ไม่ post ข้อความอำลาอาลัยและเชิดชู Chadwick Boseman ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งนั้นทำให้หลายฝ่ายหันมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความ toxic ของ cancel culture จากที่มีชื่อเสียงดีงาม ขึ้นแท่นเป็นนักแสดงอนาคตไกล เธอกลับถูกมองในแง่ร้าย และเผชิญกับข้อกล่าหาซีเรียสว่าเป็นพวกเหยียดผิวเพราะไม่รีบแสดงความเสียใจเพราะเมื่อเพื่อนร่วมงานเชื้อสายผิวดำจากโลกนี้ไปอย่างน่าเศร้า โดยที่พวกคนเหล่านั้นด่วนตัดสินเธอโดยไม่ยอมมองความจริงว่า

  • ผู้คนมากมายในโลกนี้รับมือกับความสูญเสียต่างกัน  การแสดงคำอาลัยบน social media  ไม่ใช่หน้าที่หรือเครื่องมือเพื่อแสดงออกถึงความผูกพัน   ก่อนที่จะพวกเราจะใช้ online platform ต่างๆเพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิด  เมื่อเพื่อนฝูงและสมาชิกเสียชีวิต ก็ไม่ได้เห็นความจำเป็นใช้วิธีอื่นๆเพื่อประกาศให้สังคมรับรู้ถึงความเสียใจ    สำหรับยุค digital  การพิมพ์ถ้อยคำไว้อาลัยด้วย smartphone  อาจจะเป็นเรื่องง่ายแค่สัมผัสปลายนิ้ว  แต่มันไม่ใช่สิ่งการันตีเรื่องศีลธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงาม

  • post เชิดชูความดีงามของ Chadwick จากนักแสดงกลุ่ม Avengers กันได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ติดตามข่าว   แต่เพียงเพราะ Elizabeth ไม่ได้รีบ post ทันที  หรือไม่ได้  post  เลย  ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นพวกไร้น้ำใจ    ผู้คนที่หลากหลายก็มีวิธรแสดงออกที่แตกต่าง หลายคนเลือกติดต่อไปยังครอบครัวของผู้วายชนม์   หลายคนต้องเยียวยาจิตใจจากความสูญเสีย  หลายคนติดกิจธุระและติดต่อเพื่อแสดงเสียใจในภายหลัง  และมันไม่ใช่ธุระกงการของคนอื่นที่จะตัดสินว่าเธอนิสัยแย่จนไม่เหลียวแลอดีตเพื่อนร่วมงาน
(Elizabeth ได้ถ่าย video ไว้อาลัยให้กับ Chadwick  กับช่อง ABC special  และหลายคนเห็นว่า สายตาและน้ำเสียงสั่นเครือของเธอนั่นเผยถึงความเศร้าเสียใจอย่างชัดเจน)

หลังจากที่มีคนขู่ฆ่าและขู่ข่มขืนเธอเพียงเพราะไม่ได้ postไว้อาลัยให้ Chadwick Elizabeth ก็ลบ Instagram account ออก และได้ให้สัมภาษณ์บรรบายความรู้สึกว่า แม้เธอจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับcomment แรงๆ แต่มันยากสำหรับเธอที่จะตามให้ทันว่า จะต้อง post แสดงความเห็นเรื่องราวใดบ้างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ social media นั้นเหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะเป็นปากเป็นเสียงให้กับประเด็นสำคัญต่างๆ แต่มันเป็นความกดดันที่ทำให้เธอต้องหวั่นใจ และประกาศหนักแน่นว่า จะไม่กลับไปใช้ social media อีก


แม้จะลบaccount ไปแล้ว Elizabeth ก็เผชิญกับ cancel culture อีก เมื่อชาวเน็ทนำเอาสัมภาษณ์ของเธอมาประจานว่า เธอเปรียบเทียบตัวละคร Wanda และฝาแฝด Pietro ว่าเป็นเด็ก gypsy ซึ่งเป็นคำต้องห้ามที่เรียกใช้กลุ่มชาติพันธุ์ Romani (หรือRoma ไม่ใช่ชาว Romanian) ที่เป็นminority ที่รวมกลุ่มร่อนเร่พเนจรไปในประเทศแถบยุโรป (ในอังกฤษจะรวมไปถึงกลุ่มชาว Irish ที่ใช้ชีวิตในคาราวาน) และมีการกำหนดวให้ใช้คำว่า travelers หรือนักเดินทางแทน เพราะถือว่าgypsy เป็นการแสดงความเหยียดหยามทางชาติพันธุ์และทำให้สังคมยิ่งเกิดอคติต่อชาว Roma ที่ถูกมองว่า เป็นกลุ่มคนจรจัดที่ก่อปัญหาลักขโมยและก่ออาชญากรรมจนถูกเกลียดชังที่สุดในยุโรป

ในขณะที่ Elizabeth ถูกกล่าวหาว่าเหยียดเชื้อชาติและมีความพยายามให้เธอถูก cancel  แต่ก็มีผู้ชี้ว่ารายการ TV และสื่อหลายเจ้า รวมถึง content creator ก็ยังใช้คำว่า gypsy ในการทำข่าวและสารคดีตีแผ่ชีวิตของชาว Roma และกลุ่ม travelers เชื้อชาติอื่น และอาจจะอธิบายได้ว่า อาชีพนักแสดงของเธอจึงยังไปได้โลด นอกจากฝีมือการแสดงใน WandaVisionจะทำให้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและ Emmy เธอยังมี project น่าจับตามองกับ HBO ในบทบาทที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ Candy Montgomery แม่บ้านสาวที่ใช้ขวานสับร่างเพื่อนผู้เป็นภรรยาของชายชู้หลายสิบครั้งจนเสียชีวิตอนาถ




Demi Lovato: เรียกร้องให้มี forgiveness culture


ชื่อของpopstar รายนี้ถูกพ่วงมากับ controversy บนพาดหัวข่าวแทบลอยด์มาแล้วหลายครั้ง การวิพากษ์วิจารณ์คนดังร่วมวงการหรือแม้กระทั่งร้าน frozen yogurt ทำให้เธอถูกมองว่าเป็นคนดังที่พูดแรงจนสร้างความไม่พอใจให้คนหลายกลุ่ม ดราม่าที่เกิดขึ้นซ้ำๆกันทำให้เธอเชื่อว่า cancel culture ไม่มีอยู่จริง

"ฉันถูก cancel มาแล้วหลายครั้งจนจำไม่ได้แล้วว่าบ่อยแค่ไหน ก็แฮชแทกประเภท #DemiIsOverParty อะไรแบบนั้น แต่มันไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อตัวฉันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น อันดับแรกเลย มันไม่มีอยู่จริง ฉันไม่เห็นจะมีใครถูก cancel จริงจัง ไม่อย่างงั้นคนที่มีเรื่องอื้อฉาวจนเกิดกระแส cancel คงไม่ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัล Grammy และรางวัล Oscar พวกเค้าคงรักษาสถานะทางสังคมไว้ไม่ได้เหมือนกับทุกวันนี้"

( Kanye West ที่ถูกโจมตีเรื่องพฤติกรรม abusive และการแสดงความเห็นทางการเมืองที่ขัดต่อแนวคิดความเท่าเทียมได้ประกาศอย่างมั่นใจว่า เขาอยู่เหนือcancel culture ถึงจะทำเรื่องขัดใจสังคมก็ไม่ถูก cancel และก็ยังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัล Grammy)





"แล้ว forgiveness culture ไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ? ถ้าคุณก่อเรื่องแล้วมีโอกาสให้แก้ตัวสองสามครั้งก็ยังทำผิดอยู่ แบบนั้นคุณก็ควรจะถูก cancel ไปยาวๆ แต่ถ้าคุณทำพลาดไปหนเดียวแล้วก้าวออกมาขอโทษและบอกว่า ฉันได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวเองจากเรื่องนี้ และกลายมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผู้อื่นได้เห็นว่า พวกเค้าก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้หากไม่มีการชี้แนะสิ่งที่ทำลงไปมันผิดตรงใดและไม่มีการเสนอแนะวิธีแก้ไข หากไม่มีการแก้ไขปรับปรุงก็จะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นสาเหตุที่ cancel culture จะไม่เกิดประสิทธิภาพ ยกเว้นเสียแต่ว่าผู้คนจะแสดงออกด้วยความเมตตาปราณีต่อกัน"





Chrisy Teigen:  เก็บตัวเงียบจนกระแสต่อต้านเริ่มเบาบางแล้วหวนคืนสู่วงการ


ความอื้อฉาวจากกรณี bullyingได้ทำลายภาพลักษณ์เซเลบที่จริงใจเข้าถึงง่ายของ Chrissy Teigen ไปอย่างสิ้นเชิง ที่ผ่านมานั้น เธอได้รับความนิยมจากการนำเสนอ lifestyle สุดเริ่ดตามประสาคนดัง เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและการเปิดเผยหลายแง่มุมที่ทำให้ผู้ติดตามสัมผัสถึงความ real แต่ผลกระทบเมื่อถูกขุดคุ้ยเรื่องวีรกรรม bullyจาก tweet หลายปีก่อนนั้นมี impact รุนแรงจนปลดออกจากงานหลายตัว รวมถึงสินค้าจากแบรนด์ของเธอก็ถูกนำออกจากช้้นวางในห้าง นั่นทำให้บางคนเชื่อว่า เธอจะถูกกีดกันไปจากวงการไปยาวๆ และยังกล่าวโทษเธอว่า เป็นผู้ลากให้สามีศิลปินดังที่มีชื่อเสียงดีงามจากการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมให้ดูมัวหมองไปด้วย

แต่หลังจากที่เธอออกมาเปิดใจเพื่อยอมรับผิดทุกอย่าง และยืนยันว่า ประสบการณ์ที่ได้เข้าร่วม cancel club นั้นทำให้เรียนรู้มากมายเหลือเกิน  จำต้องขอเว้นว่างจาก social  media และ spotlight ในวงการเพื่อสะท้อนตัวตนเพื่อพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดียิ่งขึ้น ราวๆห้าเดือนต่อมา เธอก็ออกรายการ  TV เพื่อชี้แจงเรื่องราวอีกครั้ง พร้อมกับเดินหน้าโพรโมทผลงานใหม่

"อาจฟังดูน้ำเน่าแบบเดิมๆหากจะบอกว่า ฉันดีใจที่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมา แต่มันทำให้ฉันเข้มแข็งและเป็นคนที่ดีขึ้นไดอย่างแท้จริงค่ะ"

"เมื่อได้มีเวลาให้ตัวเองเพื่อย้อนคิดพิจารณาก็ได้เรียนรู้ว่า เราใช้โอกาสนี่ที่จะเติบโตและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น"


"เมื่อได้มองดูลูกๆและใคร่ครวญว่าฉันปรารถนาจะเห็นพวกเค้าได้ยึดมั่นในแนวทางในการปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นไร ก็ได้เห็นชัดว่า ฉันเคยทำตัวสวนทางกับที่หวังให้ลูกๆเป็น สำหรับฉัน สิ่งที่ทำใจได้อย่างลำบากยากเย็นที่สุดคือตอนที่ได้รู้ว่า แย่แล้วล่ะ เรื่องนี้มันส่งผลกระทบกับคนอื่นจริงๆ ฉันไม่รู้จักคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร"

"ฉันคิดว่าได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองแล้ว และฉันหวังว่าคนเหล่านั้นจะให้อภัยและยอมรับว่าฉันพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น"


Chrissy ยังได้รับแรงสนับสนุนจากแฟนๆที่เชื่อว่าเธอควรจะได้รับโอกาสแก้ตัว เธออออกหนังสือทำอาหารเล่มใหม่ กลับมาใช้ social media และออกงานพรมแดงชั้นนำ ส่วนผลงานรายการ Chrissy's Court ก็ได้มีกระแสตอบรับดีจนได้ต่อสัญญาสร้าง season ที่ 3(เธอรับหน้าที่ผู้พิพากษาคดีแทคทีมกับคุณแม่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ศาลเพื่อตัดสินคดีแบบขำขัน)

เรียกได้ว่า การ come back ของ Chrissy นั้นมีทิศทางสดใสเลยทีเดียว





candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE