ผลกระทบเมื่อคนดังถูก call out เรื่องพฤติกรรม Mean Girl
candy 36 11ข้อกล่าวหาคนดังว่ามีพฤติกรรม mean girl ในชีวิตจริงจนกลายเป็นกระแสต่อต้านสั่นสะเทือนวงการนั้นจะส่งผลกระทบหนักหนาสาหัสเพียงใด? พวกเค้าทำอย่างไรจึงจะฝ่าวิกฤติไปได้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนที่ลอยตัวอยู่เหนือดราม่าไปได้?
มาติดตามกับพวกเราได้เลยค่ะ!
เผชิญกับกระแสต่อต้านจนคิดสั้น
ความสำเร็จจาก Crazy Rich Asians ส่งผลให้ Constance Wu ทะยานเข้าสู่ทำเนียบนางเอกดาวรุ่งพุุ่งแรงดึงดูดความสนใจจากนักสร้างหนัง และยังถูกยกให้เป็นความหวังของAsian community ในสังคมตะวันตก ด้วยการทลายกำแพงการเลือกปฏิบัติ รวมถึง stereotype ในวงการ Hollywood ที่บีบให้ชาว Asian พบกับอุปสรรคในการ audition จนต้องได้รับบทเดิมๆ และยากที่จะเข้าถึงบทนำ ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะได้เห็นคู่พระเอกนางเอกเชื้อสาย Asian ในหนัง romantic comedy เธอได้ก้าวมาเป็นกระบอกเสียงเพื่อต่อต้านการแบ่งแยกทางเชื้อชาติใน Hollywood สร้างเสียงชื่นชมในฐานะศิลปินบันเทิงที่เป็นแบบอย่างในการสนับสนุน diversity
แต่เรื่องราวกลับพลิกผันจากเพียงไม่กี่tweets เมื่อเธอได้ยินข่าวว่า Fresh Off The Boat ซิทคอมสุดฮาที่เธอรับบทคุณแม่ในครอบครัวชาว Asian American ได้รับไฟเขียวให้สร้างซีซัน 6 ต่อ แต่ปฏิกิริยาจาก Constance ที่ออกตัวแบบเหวี่ยงแรงโดยไม่รักษาท่าที ก็ทำให้โลก online พุ่งเป้ามาที่เธออย่างไม่ปราณี
การประกาศทาง Twitter ว่า เธอกด dislikeให้กับข่าวนี้ และบรรยายรู้สึกจิตตกจนกำลังร้องห่มร้องไห้ หรือโต้กลับชาวเน็ทที่มาแสดงความยินดีว่า นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลยสักนิดได้จุดชนวนการต่อต้านอย่างหนัก จนบางคนมองว่าเข้าขั้นล่าแม่มด ตาม social media เต็มไปด้วยข้อความโจมตีว่าเธอเป็นประเภทดังแล้วลืมตัว เมื่อมีโอกาสไขว่คว้าหาบทหนังดัง กลับแสดงท่าทีที่ไม่ต่างจากการด้อยค่าซิทคอมที่นับว่าเป็นใบเบิกทางในวงการให้กับเธอ เพราะแม้จะเข้าวงการมาตั้งแต่ยุค 2000s เธอก็วนเวียนรับบทสมทบที่ไม่ได้ดึงดูดความสนใจให้ติดตาม จนกระทั่งได้รับบทเด่นในFresh From The Boat จึงเป็นที่รู้จักขึ้นมา
หลายคนยังวิจารณ์ว่า เธอหักหน้าทีมงานและเพื่อนนักแสดงแทบทุกคนที่เฝ้ารอลุ้นให้มีการสร้างซีซันต่อ พวกเค้าเหล่านั้นไม่ได้เข้าถึงโอกาสในการสร้างชื่อเสียงเงินทองทัดเทียมกับเธอ ซีรีส์เรื่องนี้อาจจะเน้นเรื่องความขำขัน แต่ก็มีจุดยืนสำคัญเรื่อง representation ของครอบครัวชาว Asian หลาย generation ที่อาศัยใน America แต่เธอกลับแสดงท่าทีเหมือนกับรังเกียจมัน ดูแล้วย้อนแย้งกับการแสดงอุดมการณ์สนับสนุนAsian community และกระทุ้งว่า มันไม่เสียหายหากเธออยากจะหลุดพ้นจากผลงานเดิมๆแล้วก้าวไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะไม่ว่านักแสดงคนไหนก็มุ่งมั่นจะคว้าบทสุดปังกันทั้งนั้น แต่วิธีการแสดงออกต่างหากที่เป็นปัญหา ถึงเธอจะไม่พอใจมากเพียงใดที่ต้องกลับมาแสดงซีรีส์เรื่องนี้ เธอก็น่าจะใช้วิธีการเจรจาอยู่เบื้องหลังเพื่อจากกันด้วยดี โดยไม่กระเทือนไปถึงเพื่อนร่วมงานโดยไม่ฉุดภาพลักษณ์ให้มัวหมองจากข้อกล่าวหาว่าดังแล้วลืมตัว
เรื่องราวแย่ลงไปอีกเมื่อสื่อประโคมข่าวพฤติกรรม diva ก็แพร่สะพัดหลังจากที่เธอได้รับเลือกให้ร่วมทีมนักแสดงนำ Hustlers (หนัง theme พลังหญิงที่คาดว่าจะกอบโกยหลายรางวัล) Page Six ได้อ้างแหล่งข่าววงในว่า เธอคือนักแสดงที่คนในกองถ่ายเกลียดสุดๆ เธอทำตัวหยาบคายกับทีมงานแทบทุกคน การรับมือกับเธอก็ไม่ต่างจากการร่วมงานกับ Katherine Heigl (นางเอกเคยวูบจากวงการไปพักใหญ่เพราะถูกแฉว่านิสัยไม่ดีจนไม่มีใครอยากดึงตัวมาทำงานด้วย) ในช่วงนั้น พาดหัวข่าวว่า 'Constance Wu ทำตัวเป็น diva ซะยิ่งกว่า J. Lo' ทำให้เธอถูกมองในแง่ลบยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งก็สุมไฟข่าวลือให้ยิ่งโหมแรงว่า Constance สร้างวีรกรรมหยาบคาย เห็นแก่ตัว และไม่รู้จักบุญคุณจนรู้กันไปทั่ว
แม้Constance พยายามอธิบายและขอโทษที่ postข้อความที่กระทบความรู้สึกคนอื่นโดยไม่ใคร่ครวญ แต่ภาพลักษณ์ mean girl ก็ถูกตีตราติดกับตัวเธอไปแล้ว เธอถอนตัวจาก social media ไปนาน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ได้กลับมาพร้อมกับเรื่องราวชวนตระหนก
นางเอกวัย40 เผยว่า กระแสต่อต้านรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากเธอ tweet อย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำให้เธอรู้สีกย่ำแย่กับคำพูดของตัวเองมาก ทั้งยังถูกเพื่อนักแสดงเชื้อสาย Asian ด้วยกันตำหนิว่าเธอสร้างความอัปยศให้กับ Asian American community จนทำให้คิดว่าตัวเองไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ไม่คาดคิดว่าจะได้รับข้อความบอกให้เธอฆ่าตัวตายไปซะ เมื่อเธอตัดสินใจทำมันลงไป เคราะห์ดีที่เพื่อนของเธอมาพบและส่งเธอเข้าห้องฉุกเฉินได้ทัน
เหตุการณ์ Constance พยาบามปลิดชีวิตตัวเองทำให้หลายฝ่ายหันมาวิเคราะห์ว่า สังคมออนไลน์และวงการ Hollywood รุนแรงกับนักแสดงที่ผิดพลาดจากการใช้คำพูด จนอาจจะเสี่ยงต่อเรื่องเศร้าที่ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาได้ แต่บทเรียนจากเรื่องนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ?
เหตุการณ์ Constance พยาบามปลิดชีวิตตัวเองทำให้หลายฝ่ายหันมาวิเคราะห์ว่า สังคมออนไลน์และวงการ Hollywood รุนแรงกับนักแสดงที่ผิดพลาดจากการใช้คำพูด จนอาจจะเสี่ยงต่อเรื่องเศร้าที่ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาได้ แต่บทเรียนจากเรื่องนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ?
ถูก cancel ไปพักใหญ่ ก่อนจะหวนสู่วงการ Broadway
การเข้าร่วมรณรงค์ความเคลื่อนไหว Black Lives Matter กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะทาง PR ของ Lea Michele เพราะเพื่อนร่วมงานจาก Glee ได้ตบเท้าออกมาแฉรัวๆว่า ตัวจริงของเธอร้ายกาจสวนทางกับบทสาวผู้มุ่งมั่นจิตใจดีแห่ง Glee club เพราะนักแสดงสมทบและextraได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันว่า Lea ใช้คำพูดรุนแรงกับพวกเค้าจนเจ็บฝังใจ เจ้าตัวก็ไม่ได้ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่แบ่งรับแบ่งสู้ว่ารู้สึกเสียใจที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคนอื่น และจะพยายามเรียนรู้เพื่อปรับปรุงตัวเอง
ดราม่าเกิดขึ้นในขณะที่ Lea กำลังตั้งครรภ์ ดูเหมือนว่าชาวเน็ทจะยั้งมืออยู่เล็กน้อย แต่นี่ก็เป็น scandal ที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าตัวแบบเต็มๆ ทั้งถูกปลดจากงาน brand ambassador และงานแสดงหดหายไป แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกสาย musical มากฝีมือที่มีผู้หยิบยื่นบทดีๆ ทั้งทางโทรทัศน์และละครเวที แต่ในช่วงที่เรื่องพฤติกรรม mean girl กำลังฉาวโฉ่ ความเนื้อหอมของเธอย่อมลดฮวบลงไป เพราะผู้สร้างไม่ต้องการจะเสี่ยงกับกระแสโจมตีนั่นเอง
Heather Morris เพื่อนนักแสดงร่วมทีม Glee ยอมรับว่า คนอื่นๆรับรู้เรื่องพฤติกรรมของ Lea กันหมด และควรจะมีใครลุกมาจัดการกับเรื่องนี้ แต่เพราะความหวาดหวั่นจึงทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น หลายคนเชื่อว่า Lea ได้ทีคอย bully เพื่อนร่วมงานที่ไม่เด่นดังใกล้เคียงกับเธอ เพราะถูกให้ท้ายจากสถานะนางเอกผู้เป็นศูนย์กลางของซีรีส์ เรื่องนี้สร้างเสียงวิจารณ์กระหึ่มว่า ความเหลื่อมล้ำและการเลือกปฏิบัติที่ทำให้เกิด power harassment ในชีวิตจริงก็ไม่ต่างพล็อทที่ดูซ้ำซากจำเจในละครแต่อย่างใด
Lea เงียบหายไปจากงานแสดงตั้งแต่ปี 2020 กระแสต่อต้านก็จางหายไปมากโข ไม่นาน เธอได้รับเลือกให้มารับบทนางเอก Funny Girl ละคร Broadway ที่เธอใฝ่ฝันจะรับบทนี้มานานแสนนาน Twitter ก็ไม่ได้ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ แม้เสียงต่อต้านจะไม่ดังกระหึ่มเท่ากับช่วงที่ถูกแฉว่า bully เพื่อนร่วมงาน แต่การกลับมาทวงตำแหน่งดาวเด่นแห่งวงการ musical ของเธอก็ไม่ได้สร้างบรรยากาศต้อนรับอันอบอุ่นนัก
ภาพลักษณ์ดีงามที่สร้างสมมานานเสียหายลงไป
Tyra Banks ถูกยกให้เป็นต้นแบบของผู้หญิงแกร่งที่แหกกรอบ beauty standard เธอเผยส่วนเว้าส่วนโค้งบน glitter runwayของ Victoria's Secret Fashion ด้วยความมาดมั่น เธอฟาดฟันกับพฤติกรรม body shaming ของสื่อและชาวเน็ท และ empower ผู้เข้าแข่งขัน America's Next Top Modelด้วย statement ทรงพลังเพื่อสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง
แต่หลายปีต่อมา เมื่อ America's Next Top Model ถูกจับมาลง streaming service ให้ติดตามกันอีกครั้ง เธอกลับถูกกล่าวหาว่า ใช้อิทธิพลบีบบังคับทำร้ายจิตใจผู้เข้าแข่งขันเพื่อเรตติ้ง หนำซ้ำยังมีพฤติกรรม body shaming จนกลายเป็น viral
- วีดีโอที่ Tyra วิจารณ์ผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ยอมให้ทันตแพทย์ปรับปรุงฟันห่างของเธอให้ชิดกันว่า'มันไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ขายได้' (นางแบบมาเล่าภายหลังว่านี่การจัดฉากเพื่อสร้างกระแสให้รายการ เพราะตัวเธอไม่รู้มาก่อนว่า Tyra ต้องการให้เธอทำ แต่มาไล่จี้กับเธอต่อหน้ากล้อง)
- การวิจารณ์รูปร่างของผู้แข่งขันร่วมกับJanice Dickensonว่าอยู่ในกลุ่มนางแบบ plus size รวมถึงปล่อยผ่านคำบรรยายโพรไฟล์ของเธอคนนี้ว่า มีรูปร่างที่เหมาะเหม็งสำหรับช่วงเสื้อผ้า plus size กำลังบูม ซึ่งคลิปนี้ทำให้ผู้ชมยุคนี้ส่งเสียงอื้ออึงกับนิยาม plus size ของรายการดัง
- การกดดันให้ผู้เข้าแข่งขันถ่ายแบบในสถานการณ์ที่พวกเธอไม่สามารถทำใจยินยอม หรืออาจจะมีกรณีที่มีอาการphobia และสภาพแวดล้อมที่ดูสุ่มเสี่ยง อย่างกรณีที่นางแบบต้องแช่น้ำในอากาศหนาวเย็นจนตัวสั่น แต่ได้รับคำสั่งให้ทำต่อไป เพราะนี่คือโลกของนางแบบที่ต้องอดทน แต่เมื่อทนจนเข้าสู่ภาวะอาการตัวเย็นจนต้องเรียกหน่วยพยาบาลมาช่วยเหลือ Tyra กลับตำหนิเธอว่า ควรจะบอกกล่าวว่าน้ำเย็นเกินไป
- ผู้เข้าแข่งขันหลายคนออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า ต้องเจ็บปวดเพราะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ให้เกียรติกัน มีรายหนึ่งที่อ้างว่า Tyra และกรรมการคนอื่น เหยียดเธอที่เคยถ่าย Playboy มาก่อน บางคนถูก bully เพราะ Tyra ชื่นชอบให้ผู้เข้าแข่งขันคอยประจบเอาใจ แต่ถ้าแสดงจุดยืนว่าเห็นต่าง หรือมาดมั่นไม่อยู่ภายใต้อาณัติก็จะใช้คำพูดยั่วยุให้ทนไม่ได้ หรือตัดต่อรายการให้ดูแย่
- อีกหลายประเด็นเจ้าปัญหา เช่น จับนางแบบมาแต่ง blackface หรือถูกจับผิดว่า คอยตำหนินางแบบผิวดำอย่างชัดเจน แม้กระทั่งการเปรียบเทียบภาพ before- after รีทัช ภาพสาวผิวดำก็จะถูกปรับให้มีเฉดสีผิวสว่างขึ้น ตาม Twitter จะมีการทักท้วงอีกหลายเหตุการณ์ที่ฟังแล้วต้องสะดุด
แม้ Tyra จะ tweet ยอมรับว่า เมื่อได้มองย้อนคลิปต่างๆที่ถูกส่งต่อกันจนกลายเป็นดราม่าร้อนแรง เธอก็เห็นด้วยว่า นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด และได้ชี้แจงเพิ่มเติมผ่านรายการ TV ว่าในช่วงแรกๆที่ทำรายการ ยังทำอาชีพนางแบบอยู่ จึงยังต้องปรับตัวกับแนวคิดหลากหลายรูปแบบ จริงๆเธอมีเจตนาดีที่อยากจะเห็นนางแบบผู้เข้าแข่งขันไปได้ดีในวงการ แต่ถึงกระนั้น ชาวเน็ทก็ยังโจมตีว่า หากเธอทำรายการด้วย script เดียวกันในปัจจุบันก็คงจะถูก cancel ไปตั้งแต่แรกๆ รวมถึงคนที่แสดงความผิดหวังว่า เสียแรงที่เคยยกให้เธอเป็นฮีโร่ที่ช่วยสร้างเสริมความมั่นใจเรื่อง body positivity และสนับสนุนพลังหญิง แต่เธอกลับเล่นกับความรู้สึกของผู้เข้าแข่งขันเพื่อสร้าง shock factor ให้กับรายการ บางคนมอง America's Next Top Modelว่าเป็นการสร้างความเพลิดเพลินฝ่ายเดียวของเจ้าของรายการจากการเล่นสงครามประสาท หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบว่านี่เป็นความโหดแบบ Squid Game ชัดๆ
ไม่ถูก cancel แม้คนในวงการออกปากว่า mean girl ขนานแท้
ไม่ได้มีแต่ภาพลักษณ์แสนดีเท่านั้นที่ทำให้คนดังสร้างชื่อเสียงลือลั่น แฟนๆจำนวนไม่น้อยที่ติดอกติดใจการแสดงทัศนคติแบบเผ็ดแซ่บ เจออะไรไม่ถูกใจก็ฟาดฟันแรงๆ ไม่หวาดหวั่นว่าจะถูกกระแสตีกลับจนเสื่อมความนิยม
แต่สิ่งที่อาจจะค้างคาใจหลายคนก็คือ สำหรับดาราบางคน การแสดงออกแบบไม่ต้องคอยสร้างภาพสุด nice หรือพูดจาแรงๆจนดูไม่ให้เกียรติคนอื่นอาจจะทำให้อาชีพในวงการพลิกผันเพราะถูกมองว่านิสัยแย่สมควรถูก cancel แต่ก็ยังมีคนที่รอดพ้นจากดราม่า mean girl อยู่เหมือนกัน
ข่าวลือเรื่องพฤติกรรม mean girl ของ Christina Aguilera นั้นเริ่มต้นมาก่อนที่เธอจะ rebrand ตัวเองจนสร้างเสียงกล่าวขวัญจากฉายา Xtina ซะอีก
- Kian Egan แห่ง Westlife ประกาศออกสื่อในปี 2000 ว่า Christina สั่งคนดูแลคลับบีบให้เพื่อนร่วมวงของเขาคือ Mark ออกไปจากที่นั่งตัวเองแล้วหัวเราะเยาะอย่างสาแก่ใจ เธอไม่ได้จองโต๊ะมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ใช้ความเป็นคนดังเบ่งให้ได้ทุกอย่างตามที่ใจนึก เขาบรรยายว่าเธอเป็นคนที่นิสัยเสียที่สุดที่เคยพบมา
- Mary J Blige ประกาศว่าจะไม่ขอร่วมงานกับ Christina เพราะเธอมีทัศนคติแย่มาก ครั้งหนึ่งที่ได้พบปะกัน อีกฝ่ายสำคัญตัวผิดถึงขั้นจ่อมือใส่หน้ารอให้เธอทักทายด้วยการจุมพิตที่มือ Mary ปรี๊ดจัดจนบอกออกไปว่า แค่ยังเริ่มจะสร้างชื่อก็เลือกเดินทางผิดแล้ว Britney อาจจะเสียงไม่ทรงพลังเหมือน Christina แต่จะไปได้ไกลกว่าเพราะเป็นศิลปินที่รู้จักให้เกียรติคนอื่น และ Mary ก็เคยได้ยินเรื่องราวแย่ๆของ Christina จากคนอื่นมาแล้ว
- แฟนบางคนของ Britney ชี้ว่า ไม่แปลกที่ Brit จะไม่แสดงความยินดีเมื่อได้เห็น Christina ส่งข้อความให้กำลังใจและปกป้องเธอที่ต้องผ่านความทุกข์ทรมานจาก conservatorship เพราะนอกจากจะได้เห็น Christina ปฏิเสธให้ความเห็นกับนักข่าวที่ถามว่า เธอได้ติดต่อพูดคุยกับ Brit หลังจากได้รับอิสระบ้างหรือเปล่า ก็ยังมีคนที่ยังฝังใจจากประเด็นร้อนในยุค 2000s หลังจากที่ Brit เลิกรากับ Justin แบบจบไม่สวย และสื่อตามกระหน่ำโจมตีฝ่ายหญิงจนเธอถูกมองว่าเป็นนางร้าย ในงาน EMA ปี 2003 Christina ได้นำ sex doll ผมบลอนด์ขึ้นมายั่วแหย่ JT ว่า ลืมทิ้งสิ่งนี้ไว้ที่ tour bus ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่า เป็นความจงใจพาดพิงถึง Brit แบบไม่ออกชื่อนั่นเอง
- เธอยังเคยออกความเห็นกับ Blender magazine ว่า Beyonce และ Britney สร้างภาพสาวไร้เดียงสาทั้งๆที่นำเสนอจุดขายเป็นแรงดึงดูดทางเพศ สังเกตจากภาพถ่ายแบบ นอกจากกางเกงขาสั้นรัดรูปก็มีเสื้อผ้าปกปิดเพียงน้อยชิ้น ทำไมพวกเธอต้องแสร้งทำเป็นสาวบริสุทธิ์ในการให้สัมภาษณ์ด้วยนะ แล้วยังเลียนแบบวิธีการพูดของBrit ด้วยประโยคแดกดันว่า "อุ๊ย ตายแล้ว ฉันไม่ได้จูบหนุ่มมากนานสักแค่ไหนกันแล้วนะ"
- Brit โต้กลับผ่านสื่อเจ้าเดียวกันว่า ตอนที่ได้เจอกับ Christina ในคลับ ก็ถูกจู่โจมด้วยจูบแบบใช้ลิ้นโดยไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ อีกฝ่ายยังกล่าวหาเธอว่าทำตัวไม่จริงใจ จนเธองุนงงว่า นิยามความจริงใจคือการจูบคนอื่นเอาดื้อๆเช่นนั้นหรือ? เมื่อเห็นว่า Christina โจมตีเธอก็ถึงกับรับไม่ได้ อย่างการเปรียบเทียบเธอว่าเป็นหญิงสาวผู้หลงทาง แต่เธอมองว่าตัวคนพูดเองต่างหากที่กำลังหลงผิดอยู่ เพราะเธอเองถูกอีกฝ่ายทำตัวหยาบคายใส่มาแล้วแล้วหลายครั้งจนถึงจุดที่จะไม่ยอมทนความจอมปลอมอีกต่อไป
- สมาชิกบอยแบนด์ The Wanted ที่พบ Christina ในรายการ The Voice โจมตีเธอว่าทำตัวเป็นนางมารร้าย ขาดมารยาทและไม่ให้เกียรติคนที่มาร่วมเวที
- Kelly Osbourne เผยว่า Christina เหยียดหยันเธอว่าอ้วนมานานหลายปี เมื่อได้เห็นว่าเจ้าตัวต้องเจอbody-shameแบบเดียวกันเพราะน้ำหนักขึ้น เธอจึงสะใจยิ่งนัก
- Daniel Franzese นักแสดงหนุ่มเกย์ที่ร้องเพลง Beautifulในหนัง Mean Girls แชร์ประสบการณ์ที่ได้พบกับChristina ว่า เขาตื่นเต้นดีใจมากที่ได้สัมผัสวินาทีสำคัญในชีวิต และได้เข้าไปแนะนำตัวว่าเป็นคนที่ร้องเพลงดังของเธอในหนังทีน เธอก็แค่ตอบกลับมาว่า ไม่เคยดู แล้วเดินจากไปเลย
- Rankin Waddell ช่างภาพที่ร่วมงานกับ superstar มาแล้วมากมายยืนยันว่าจะไม่ขอทำงานร่วมกับเธออีก และเปรียบเทียบพฤติกรรมของเธอว่าเป็น Diva from hell
- Valerie Bertinelli นางเอกเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำได้แสดงความผิดหวังเมือเจอตัวจริงของ Christina เพราะเธอเคยเป็นแฟนตัวยงมานาน แต่เมื่อเข้าไปแสดงความชื่นชมอีกฝ่ายว่าเป็นศิลปินที่เลอค่างดงามกลับได้รับคำตอบแบบไม่แยแสว่า ก็แล้วแต่เหอะ และแม้เธอจะหวังว่า Christina จะปรับปรุงพฤติกรรม แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอได้ยินมา
- อาจจะมีคนที่ออกมากล่าวหาว่า Christina ทำตัวหยาบคายใส่มาแล้วหลายครั้ง แต่เมื่อเจอเรื่องนี้กับตัว เธอก็เล่าออกสื่อเช่นเดียวกัน มันเกิดขึ้นในยุค 2000s เมื่อเธอได้เผชิญหน้ากับ Mariah Carey แล้วต้องรับฟังคำพูดดูถูกเหยียดหยามจากฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเมามายได้ที่ (มีเสียงร่ำลือยาวนานว่าทั้งสองเกลียดขี้หน้ากันสุดๆ) แต่เมื่อคิดว่า นั่นเป็นช่วงที่ Mariah กำลัง'สติแตก' จึงสันนิษฐานว่า มันอาจจะเป็นผลมาจากการใช้ยารักษาอาการป่วยทางจิตใจก็เป็นได้
- ย้อนไปปี 2001 Mariah เคยผ่านวิกฤติคล้ายกันกับ Kanye West เมื่อเธอถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเพราะเจ็บป่วยทางจิตใจเกินควบคุม (หลายปีต่อมา เธอได้เปิดเผยว่าป่วยเป็น bipolar) หลังจากได้ยิน Christina พาดพิง เธอก็ตอกกลับว่า ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน Christina โผล่มา party ของเธอโดยไม่ได้รับเชิญและก่อวีรกรรมเจ้าปัญหา เธอก็ได้แต่ทำใจให้อภัยและภาวนาให้ Christina ปรับปรุงตัวเอง
ข้อกล่าวหาจากคนร่วมวงการรวมถึงการแสดงความคิดเห็นในแง่ลบถึงผู้อื่นที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ดูจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ icon ของ Christina นัก เธอได้รับรางวัล Music Icon Award จาก People's Choice Awards ในปีที่แล้ว แม้หลายคนจะฟันธงว่าเธอคือ mean girl ตัวจริงของวงการจากเรื่องราวตามหน้าข่าวบันเทิง แต่สื่อก็ได้ถ่ายทอดด้านดีๆของเธอตามมาเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ บทบาทความเป็นแม่ที่เผยด้านที่อบอุ่น การแสดงความชื่นชมศิลปินรุ่นหลัง แม้แต่ศิลปินที่มีเสียงเล่าลือเป็นศัตรูคู่แข่งกันอย่าง Lady Gaga ก็ได้รับเสียงชมจาก Christina มาแล้วหลายครั้ง