Nepo babies เค้าคิดยังไงกับฉายานี้?
candy 36 13
ระยะนี้ ดราม่า nepo babies กำลังร้อนแรง สื่อรายงานสัมภาษณ์เหล่าทายาทคนดังกันรัวๆว่า พวกเค้าคิดอย่างไรกับข้อกล่าวหาใช้อภิสิทธิ์ความดังของครอบครัวปูทางสู่วงการบันเทิงและเอาเปรียบเพื่อนร่วมวงการไร้เส้นสาย ปฏิกิริยาของพวกเค้าจะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น ลองมาติดตามกันได้เลยค่ะ
ถึงจะมีพ่อเป็นนักดนตรีระดับตำนาน แต่ก็อกหักไม่ผ่านcasting รัวๆมาก่อน
"ไม่ต้องพูดถึงเลย ผู้คนต่างก็คิดว่าต้องขอบคุณนามสกุลที่ทำให้ฉันได้ใบเบิกทางผ่านเข้าวงการแบบฟรีๆ"
Lily Collins ได้แสดงความคิดเห็นกับ Vogue ฝรั่งเศสอย่างจริงจัง
"ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในตัวพ่อนะคะ แต่ฉันต้องการจะสร้างชื่อที่เป็นตัวของตัวเอง ไไม่ใช่สถานะลูกสาวของท่าน ฉันเตรียมพร้อมรอคอยจะแจ้งเกิดในวงการมาตลอด"
แม้ Lily ผ่านประสบการณ์เดินพรมแดงและกระทบไหล่คนดังที่อยู่ในแวดวงเดียวกับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก แต่เธอใช้เวลาหลายปีในการไต่ระดับสร้างชื่อเสียงจากการแสดง แม้จะเคยเคยประชันบทบาทกับ Julia Robert ใน Mirror Mirror เมื่อสิบปีก่อน แต่หนังก็ไม่ได้กอบโกยรายได้ถล่มทลายนัก เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงหญิง comedy ยอดเยี่ยมได้เป็นครั้งแรกตอนที่อายุ 20 ปลายๆ และคงจะไม่เกินไปหากบอกว่า ผลงานที่ทำให้เธอก้าวสู่ความ mass ได้อย่างเต็มตัวคือ Emily In Paris จากปีปี 2021 ซึ่งเธอก็อายุเลยสามสิบไปแล้ว ซึ่งนับเป็นเวลายาวนานจากการเข้าสู่วงการ Hollywood ตั้งแต่เป็นวัยทีน
"พลังผลักดันจากความพลาดหวังในการทดสอบบท ฉันเรียนรู้ในการตั้งใจในการทำงาน และทำให้การแสดงกลายมาเป็นอาชีพเลี้ยงตัว แต่ฉันไม่ได้หยุดที่ความพอใจแค่เท่านี้ เพราะนี่คือวงการที่มีการแข่งขันสูงและจะต้องสิ้นเปลืองกันมาก"
"พลังผลักดันจากความพลาดหวังในการทดสอบบท ฉันเรียนรู้ในการตั้งใจในการทำงาน และทำให้การแสดงกลายมาเป็นอาชีพเลี้ยงตัว แต่ฉันไม่ได้หยุดที่ความพอใจแค่เท่านี้ เพราะนี่คือวงการที่มีการแข่งขันสูงและจะต้องสิ้นเปลืองกันมาก"
เธออธิบายว่า เลือกเส้นทางการแสดงเพราะต้องการแยกตัวเองจากความโด่งดังของ ผู้เป็นพ่อ Phil Collins ศิลปินระดับตำนานที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ ไม่เพียงแต่ทักษะการตีกลอง แต่ยังมีการขับร้อง โพรดิวซ์ และเขียนเพลง ทำให้มีผู้ที่มองเธอด้วยอคติว่า เธอได้รับผลบุญจากความโด่งดังของพ่อจากการเปิดตัวในวงการจนเป็นที่รู้จักในฐานะลูกสาวคนงามของ Phil Collins
"ฉันรักการร้องเพลง แต่ฉันปรารถนาสร้างชื่อของตัวเองในเส้นทางแตกต่างไปจากพ่อผู้เป็นอัจฉริยะ ฉันจึงอยากจะเป็นนักแสดงมากกว่า"
"ฉันจะแสดงในหนัง musical บ้างเพราะมันเป็นงานที่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ร้องเพลง บอกตรงๆว่า ฉันปอดแหกเกินไปที่จะถูกจับมาเปรียบเทียบกับพ่อ"
เหมือนดูถูกกัน
แฟนซีรีส์ Euphoria จำนวนหนึ่งแสดงความ surprise เมื่อได้ค้นพบว่า นางเอกสาวที่รับบท Lexi คือทายาทของนักสร้างหนัง Judd Apatow และนางเอก Leslie Mann ทั้งสองนับเป็นคู่สามีภรรยาทรงอิทธิพลในวงการภาพยนตร์ และคงเดากันได้ว่า เธอเคยแสดงในหนังที่พ่อกำกับ/เขียนบทมาตั้งแต่เด็กและยังเคยประชันบทบาทกับแม่แม่ในหนังเรื่องเดียวกันด้วย (Knocked Up, Funny People, This Is 40, The King of Staten Island) และมันทำเธอต้องเผชิญคำครหาว่าเป็นเด็กเส้นใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ในตอนแรก ฉันก็รู้สึกเศร้านะคะ ฉันพยายามทำใจไม่ให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตัวเองเพราะฉันเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตัวเองมีความโชคดีมากเพียงใด"
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังมีคนที่มีสถานะคล้ายคลึงกับฉันที่สามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง ฉันจึงต้องมุ่งมั่นต่อไปและทำผลงานดีๆ"
"ฉันยังเพิ่งเริ่มงานในวงการได้ไม่เท่าไร จึงไม่ได้มีผลงานมากมายนัก แต่หวังเหลือเกินว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะเป็นคนที่ภูมิใจกับสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองได้"
"ในตอนแรก ฉันก็รู้สึกเศร้านะคะ ฉันพยายามทำใจไม่ให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตัวเองเพราะฉันเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตัวเองมีความโชคดีมากเพียงใด"
"ฉันยังเพิ่งเริ่มงานในวงการได้ไม่เท่าไร จึงไม่ได้มีผลงานมากมายนัก แต่หวังเหลือเกินว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะเป็นคนที่ภูมิใจกับสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองได้"
แต่ในช่วงที่กำลังโพรโมทผลงาน The King of Staten Island ที่พ่อเป็นผู้กำกับ เธอได้แสดงความเห็นโต้ตอบเรื่องการใช้เส้นสายกับ Los Angeles Timesไว้ว่า
"ฉันร่วมแสดงในหนังของพ่อแม่หลายเรื่องค่ะ และคนอื่นก็จะวิจารณ์ว่าเล่นเส้นกันนี่นา ก็อย่างว่า มันไม่ใช่การดูถูกกันด้วยซ้ำ แต่จริงๆมันก็คือการดูถูกนั่นแหละ แต่จะทำอย่างไรได้ ฉันจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แสดงให้เห็นตัวตนของฉันจริงๆ มันเป็นสิ่งที่จะฝังใจฉันไปตลอด การแสดงให้เห็นว่าฉันทำงานหนักมากเป็นสิ่งที่สำคัญกับฉันนะ เพราะมันเป็นความจริงยังไงล่ะคะ"
"ฉันร่วมแสดงในหนังของพ่อแม่หลายเรื่องค่ะ และคนอื่นก็จะวิจารณ์ว่าเล่นเส้นกันนี่นา ก็อย่างว่า มันไม่ใช่การดูถูกกันด้วยซ้ำ แต่จริงๆมันก็คือการดูถูกนั่นแหละ แต่จะทำอย่างไรได้ ฉันจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แสดงให้เห็นตัวตนของฉันจริงๆ มันเป็นสิ่งที่จะฝังใจฉันไปตลอด การแสดงให้เห็นว่าฉันทำงานหนักมากเป็นสิ่งที่สำคัญกับฉันนะ เพราะมันเป็นความจริงยังไงล่ะคะ"
'ทุ่มเททำงานหนัก' นี่คือวลีที่พวกเราได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากดาราศิลปินวงการบันเทิง แต่เมื่อ nepo babies ได้ยืนกรานว่า เพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้วพวกเค้าต้องทำงานหนักไม่ต่างจากคนอื่น ชาวเน็ทหลายคนก็มักจะแสดงท่าทีไม่เชื่อถือเพราะเชื่อกันว่า จุดเริ่มต้นของ nepo babies ต่างหากที่สร้างความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมนี้ ในณะที่นักแสดงโนเนมมากมายต้องฝ่าฟันกับ casting เพื่อจะได้มีบทพูดในหนัง แม้จะถูกบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกก็ไม่สามารถออกความเห็นได้ (ดังที่นางเอกบางคนได้เผยว่า ฝ่าย casting ขอให้นุ่งน้อยห่มน้อยมาทดสอบบท หรือถ้ายังไม่มีบารมีนักแสดงดัง ก็ไม่อาจจะต่อรองเรื่องบทโป๊เปลือยได้) ในขณะเดียวกันก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไปด้วย ดังเรื่องราวของ Sydney Sweeney หนึ่งในนางเอกที่แจ้งเกิดเต็มตัวจาก Euphoria เธอได้เผยถึงเส้นทางนักแสดงที่ยังคงต้องวิตกกังวลกับสถานะทางการเงิน และชาวเน็ทยังมองว่า เธออาจจะพาดพิง Maude Apatow ที่เล่นเป็นน้องสาวของเธอในซีรีส์ดังเรื่องนี้ก็เป็นได้!
"ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เข้ามาทำงานในวงการได้เพราะใช้เส้นสาย ฉันเริ่มต้นมาจากศูนย์และรู้ดีว่ามันโคตรจะยากลำบากเลย ตอนนี้พอฉันได้เห็นใครบางคนที่ถูกดันให้ได้งานแบบง่ายๆ ฉันก็รู้สึกปรี๊ดขึ้นมาเลยว่า กว่าฉันจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลานานเป็นสิบปีเลยนะ"
"ฉันเคยหวังว่า ถ้าฉันหาเงินได้มากพอ ฉันจะซื้อบ้านเก่าที่พ่อแม่เคยอยู่กลับมาได้ และมันจะทำให้พวกท่านกลับมาคืนดีกัน แต่พอฉันอายุ 18 ฉันมีเงินแค่ 800 ดอลลาร์ พ่อแม่ไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน และฉันกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย"
แม้ว่าชื่อเสียงที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้เธอเริ่มสิทธิ์มีเสียงต่อรองมากขึ้น ไม่ต้องพบกับแรงกดดันให้ตอบตกลงในทุกสั่งของนักสร้างหนัง เธอสามารถเจรจาเรื่องค่าตัวและปกป้องตัวเองได้ แต่เธอไม่ได้เป็นนักแสดงที่จะพักงานไปได้ยาวๆ
"ถ้าฉันคิดอยากจะหยุดงานไปสักหกเดือน ฉันไม่มีรายได้มารองรับตรงนั้น ฉันไม่มีใครมาให้การสนับสนุน ไม่มีใครที่ฉันจะขอความช่วยเหลือให้แบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่ายได้"
Sydney ยังอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนถึงเรื่องรายได้ของเธอว่า เมื่อรับค่าตัวมาแล้ว เธอต้องจ่ายให้กับทนาย 5% เอเจนซี่10% ผู้จัดการอีก3% ส่วนเงินที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทประชาสัมพันธ์นั้นมีตัวเลขสูงกว่าเงินผ่อนบ้านของเธอซะอีก และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องรับงานจากแบรนด์ต่างๆ เพราะรายได้จากการเป็นนักแสดงนั้นไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพใน L.A ทำให้คนนอกพอจะเห็นภาพว่า การสร้างชื่อเสียงในวงการนี้ไม่ได้ glamourous ไปหมด ถึงจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแบบ Sydney ก็ตาม
"ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เข้ามาทำงานในวงการได้เพราะใช้เส้นสาย ฉันเริ่มต้นมาจากศูนย์และรู้ดีว่ามันโคตรจะยากลำบากเลย ตอนนี้พอฉันได้เห็นใครบางคนที่ถูกดันให้ได้งานแบบง่ายๆ ฉันก็รู้สึกปรี๊ดขึ้นมาเลยว่า กว่าฉันจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลานานเป็นสิบปีเลยนะ"
"ฉันเคยหวังว่า ถ้าฉันหาเงินได้มากพอ ฉันจะซื้อบ้านเก่าที่พ่อแม่เคยอยู่กลับมาได้ และมันจะทำให้พวกท่านกลับมาคืนดีกัน แต่พอฉันอายุ 18 ฉันมีเงินแค่ 800 ดอลลาร์ พ่อแม่ไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน และฉันกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย"
แม้ว่าชื่อเสียงที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้เธอเริ่มสิทธิ์มีเสียงต่อรองมากขึ้น ไม่ต้องพบกับแรงกดดันให้ตอบตกลงในทุกสั่งของนักสร้างหนัง เธอสามารถเจรจาเรื่องค่าตัวและปกป้องตัวเองได้ แต่เธอไม่ได้เป็นนักแสดงที่จะพักงานไปได้ยาวๆ
"ถ้าฉันคิดอยากจะหยุดงานไปสักหกเดือน ฉันไม่มีรายได้มารองรับตรงนั้น ฉันไม่มีใครมาให้การสนับสนุน ไม่มีใครที่ฉันจะขอความช่วยเหลือให้แบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่ายได้"
Sydney ยังอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนถึงเรื่องรายได้ของเธอว่า เมื่อรับค่าตัวมาแล้ว เธอต้องจ่ายให้กับทนาย 5% เอเจนซี่10% ผู้จัดการอีก3% ส่วนเงินที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทประชาสัมพันธ์นั้นมีตัวเลขสูงกว่าเงินผ่อนบ้านของเธอซะอีก และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องรับงานจากแบรนด์ต่างๆ เพราะรายได้จากการเป็นนักแสดงนั้นไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพใน L.A ทำให้คนนอกพอจะเห็นภาพว่า การสร้างชื่อเสียงในวงการนี้ไม่ได้ glamourous ไปหมด ถึงจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแบบ Sydney ก็ตาม
ยอมรับว่าได้เปรียบกว่าคนอื่นจากการเข้าถึงโอกาสในการทำงานมากกว่า แต่โอกาสแบบนี้ไม่ได้คงอยู่ถาวร
Maya Hawke ได้พูดถึงอภิสิทธิ์จากการเป็นทายาทของนักแสดงระดับ A List ไว้ว่า
"ฉันคิดว่ามีทางเดียวที่จะรับมือกับประเด็นการเล่นเส้นสายในวงการ ซึ่งแน่นอนว่ามันได้สร้างข้อได้เปรียบมหาศาลในการใช้ชีวิต นั่นก็คือ เราจะได้โอกาสในการสร้างชื่อมาฟรีๆ แต่โอกาสเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นตลอดไปหรอกนะคะ"
"ดังนั้นเราจะต้องตั้งใจทำงานและทำมันออกมาเป็นอย่างดี ถ้าคุณทำผลงานย่ำแย่ โอกาสเหล่านั้นก็จะสิ้นสุดไปด้วย นี่เป็นหลักการของฉันค่ะ"
"ฉันคิดว่ามีทางเดียวที่จะรับมือกับประเด็นการเล่นเส้นสายในวงการ ซึ่งแน่นอนว่ามันได้สร้างข้อได้เปรียบมหาศาลในการใช้ชีวิต นั่นก็คือ เราจะได้โอกาสในการสร้างชื่อมาฟรีๆ แต่โอกาสเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นตลอดไปหรอกนะคะ"
"ดังนั้นเราจะต้องตั้งใจทำงานและทำมันออกมาเป็นอย่างดี ถ้าคุณทำผลงานย่ำแย่ โอกาสเหล่านั้นก็จะสิ้นสุดไปด้วย นี่เป็นหลักการของฉันค่ะ"
Maya เป็นหนึ่งในทายาทคนดังที่ได้รับเสียงวิจารณ์ว่ามีแววรุ่ง และไม่ได้เผชิญกับกระแสโจมตีดุเดือด (ดังที่เกิดขึ้นกับ Lily Rose Depp เมื่อไม่นานมานี้) เพราะแทนที่จะแสดงความเห็นโต้แย้งกับฉายา nepo baby เธอกลับแสดงท่าทียอมรับและแสดงความขอบคุณพ่อแม่คนดังที่ผลักดันให้เธอเข้าสู่วงการตามที่ใฝ่ฝัน
"ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจที่พวกท่านเปิดทางสะดวกให้ฉันได้ทำในสิ่งที่รัก"
"ฉันคิดว่า ฉันจะได้ทำงานโดยใช้ชื่อพ่อแม่สักสองสามครั้ง และถ้าฉันห่วยแล้วก็ต้องถูกขับไล่ไสส่งออกจากวงการ มันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วนี่คะ ดังนั้นฉันจะพยายามจะไม่ทำผลงานแย่ๆ"
หลังจากที่รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกจาก Do Revenge หนังวัยรุ่นทาง Netflix เธอได้เอื้อมถึงโอกาสสำคัญที่แสนท้าทายความเป็นนักแสดงมืออาชีพจากการได้รับร่วมให้เป็นหนึ่งในทีมนักแสดง Maestro ที่ Bradley Cooper ลงมือกำกับและเขียนบท ยิ่งได้เห็นชื่อโพรดิวเซอร์ว่าเป็น Martin Scorsese และ Steven Spielberg ก็น่าจะมองออกว่า นี่คือหนังเก็งรางวัลมาตั้งแต่เริ่มต้น และต้องประชันบทบาทกับนักแสดงชั้นนำ รวมถึงโพรเจคท์อื่นที่นับเป็นก้าวกระโดดสำคัญที่จะสลัดภาพ teen queen และหยุดเสียงซุบซิบนินทาว่าเธอใช้ความดังของพ่อแม่เอาเปรียบนักแสดงคนอื่น
"ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจที่พวกท่านเปิดทางสะดวกให้ฉันได้ทำในสิ่งที่รัก"
"ฉันคิดว่า ฉันจะได้ทำงานโดยใช้ชื่อพ่อแม่สักสองสามครั้ง และถ้าฉันห่วยแล้วก็ต้องถูกขับไล่ไสส่งออกจากวงการ มันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วนี่คะ ดังนั้นฉันจะพยายามจะไม่ทำผลงานแย่ๆ"
หลังจากที่รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกจาก Do Revenge หนังวัยรุ่นทาง Netflix เธอได้เอื้อมถึงโอกาสสำคัญที่แสนท้าทายความเป็นนักแสดงมืออาชีพจากการได้รับร่วมให้เป็นหนึ่งในทีมนักแสดง Maestro ที่ Bradley Cooper ลงมือกำกับและเขียนบท ยิ่งได้เห็นชื่อโพรดิวเซอร์ว่าเป็น Martin Scorsese และ Steven Spielberg ก็น่าจะมองออกว่า นี่คือหนังเก็งรางวัลมาตั้งแต่เริ่มต้น และต้องประชันบทบาทกับนักแสดงชั้นนำ รวมถึงโพรเจคท์อื่นที่นับเป็นก้าวกระโดดสำคัญที่จะสลัดภาพ teen queen และหยุดเสียงซุบซิบนินทาว่าเธอใช้ความดังของพ่อแม่เอาเปรียบนักแสดงคนอื่น
เป็นเรื่องปกติแบบธุรกิจที่ส่งต่อกันในครอบครัว
เส้นทางในวงการบันเทิงของ Zoe Kravitz ดูคล้ายกับ Lily Collins อยู่บ้าง ก่อนหน้าที่จะคว้าบทเด่นจนได้ชิงรางวัลการแสดงชั้นนำ ผู้คนมักจดจำชื่อเธอในภาพลูกสาวของ Lisa Bonet และ Lenny Kravitz แม่ของเธอเป็นนางเอกที่โด่งดังจากซิทคอมครอบครัวชาวอเมริกันผิวดำจากยุค 80s-90s ส่วนพ่อของเธอเป็น rockstar ตัวพ่อ เมื่อเธอปรากฏกายบนพรมแดง ผู้คนก็มักโจษจันว่าเธอถอดพิมพ์ความสวยมาจากแม่มาเป๊ะมากแค่ไหน แต่ไม่ได้นึกถึงบทบาทการแสดงของเธอมากนัก แม้ว่าจะถ่ายทำหนังมาแล้วหลายเรื่อง แต่การโชว์ฝีมือใน Big Little Lies ซีรีส์ทางช่อง HBO ที่เต็มไปด้วยนักแสดง A List นี่เองที่ทำให้หลายฝ่ายออกปากชื่นชมด้วยความประทับใจ จากที่เคยรับบทสมทบมาหลายครั้ง เธอก้าวขึ้นมาคว้าบทนำในหนัง superhero ค่าย DC เธอต้องใช้เวลาถึง 15 ปีกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่เมื่อถูกเรียกว่าเป็นเด็กเส้น เธอจะรู้สึกอย่างไร?
"มันเป็นเรื่องปกติเป็นอย่างยิ่งถ้าจะมีใครสนใจทำงานในรูปแบบธุรกิจของครอบครัว ที่มาของการตั้งนามสกุลก็จากเรื่องนี้ล่ะค่ะ ถ้าคุณเป็นช่างตีเหล็ก ( Black Smith) ตระกูลของคุณก็จะถูกเรียกว่าตระกูล Black"
แต่พ่อแม่คนดังที่มีแต่คนชื่นชมอาจจะกลายเป็นแผลใจให้กับลูกได้เช่นเดียวกัน
"ถ้าพ่อแม่ของคุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเอามากๆแต่คุณไม่เป็นแบบพวกเค้า มันทำให้ฉันเริ่มต้นคิดว่า ฉันไม่เจ๋งเอาซะเลย มันเป็นสิ่งที่ฝังใจฉันมาเนิ่นนาน"
"มันเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับฉันเอาเอามากๆที่จะรู้สึกรักตัวเองในช่วงวัยรุ่น 16 -18 ปี แม่ของฉันเป็นคนสวย และบางครั้งมันก็ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นใจ"
"ฉันเคยรู้สึกโมโหหรือไม่ก็อึดอัดซึ่งเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นใจ เอาแต่คิดว่าคนอื่นเข้ามาพูดคุยกับฉันก็เพียงเพราะว่าพ่อแม่ของฉันเป็นคนดัง"
"ในตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว เพราะฉันมีความมั่นใจจากผลงานตัวเอง แล้วฉันก็อยากจะพูดถึงเรื่องพ่อแม่ด้วยความรู้สึกรัก พวกเค้าเป็นคนยอดเยี่ยม ฉันรู้ดี"
แต่พ่อแม่คนดังที่มีแต่คนชื่นชมอาจจะกลายเป็นแผลใจให้กับลูกได้เช่นเดียวกัน
"ถ้าพ่อแม่ของคุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเอามากๆแต่คุณไม่เป็นแบบพวกเค้า มันทำให้ฉันเริ่มต้นคิดว่า ฉันไม่เจ๋งเอาซะเลย มันเป็นสิ่งที่ฝังใจฉันมาเนิ่นนาน"
"มันเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับฉันเอาเอามากๆที่จะรู้สึกรักตัวเองในช่วงวัยรุ่น 16 -18 ปี แม่ของฉันเป็นคนสวย และบางครั้งมันก็ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นใจ"
"ฉันเคยรู้สึกโมโหหรือไม่ก็อึดอัดซึ่งเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นใจ เอาแต่คิดว่าคนอื่นเข้ามาพูดคุยกับฉันก็เพียงเพราะว่าพ่อแม่ของฉันเป็นคนดัง"
"ในตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว เพราะฉันมีความมั่นใจจากผลงานตัวเอง แล้วฉันก็อยากจะพูดถึงเรื่องพ่อแม่ด้วยความรู้สึกรัก พวกเค้าเป็นคนยอดเยี่ยม ฉันรู้ดี"
บอกตรงๆว่า มีโอกาสได้งานแบบไม่แฟร์กับคนอื่น
หลายคนอาจจะรู้จักเธอจากลุคสวยเริ่ดบนพรมแดง, ฉายา Goop และหนัง Marvel แต่ Gwyneth คือทายาทของBlythe Danner นางเอกมากฝีมือที่คร่ำหวอดทั้งในวงการภาพยนตร์ โทรทัศน์และ broadway เธอเป็นเจ้าของสองรางวัล Emmy และ Tony และรับงานแสดงจนกระทั่งปัจจุบันที่พักไปเพราะต้องรักษาอาการเจ็บป่วย ส่วนผู้กำกับและโพรดิวเซอร์ Bruce Paltrow พ่อผู้ล่วงลับของเธอก็ใช้เวลาหลายปีดันโพรเจคท์หนัง Duets ที่ได้เลือกลูกสาวมาเป็นนางเอก และมันก็กลายมาเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาก่อนจะจากโลกนี้ไป แม้ยุคที่เธอสร้างความฮือฮาด้วยการคว้ารางวัล Oscar จะยังไม่มีใครใช้ศัพท์ nepo baby เพื่อโจมตีทายาทคนดัง แต่ Gwyneth ถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้อภิสิทธิ์ความเป็นลูกคนดังเข้าวงการมาหลายครั้ง และไม่นานนี้ เธอก็ได้ให้คำแนะนำกับ Hailey Baldwin ที่ได้ชื่อว่าเป็น nepo baby รุ่นน้องในวงการว่า
"จงทำงานหนักมากขึ้นเป็นสองเท่า"
"ในฐานะที่เป็นลูกของคนที่มีชื่อเสียง มันช่วยปูทางคว้าโอกาสที่คนอื่นทำไม่ได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เสมอภาค อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าหากคุณได้ก้าวมายังประตูแห่งความสำเร็จอย่างไม่ยุติธรรม คุณจะต้องทำงานให้หนักขึ้นและทำผลงานให้ดีขึ้นเป็นสองเท่า"
"คุณอาจจะอยากรู้ว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย นั่นเป็นเพราะว่าคนอื่นพร้อมที่จะวิจารณ์คุณว่า คุณไม่สมควรจะมาอยู่จุดนี้ หรือบอกว่า ที่คุณมีวันนี้ก็เป็นเพราะพ่อแม่ล้วนๆ"
Gwynethยืนยันกับ Hailey ว่า สถานะ nepo baby ไม่สมควรจะเป็นเครื่องฉุดรั้งความฝันของคนที่มีพ่อแม่เป็นคนดัง
"ไม่ควรจะปล่อยให้ใครก็ตามในโลกนี้ โดยเฉพาะพวกที่ไม่รู้จักตัวคุณให้กลายมาเป็นอิทธิพลด้านลบต่อเส้นทางหรือสิ่งที่คุณเลือกจะทำ"
ประกาศให้เครดิตพ่อแม่อย่างไม่หวั่นเสียหน้า
มีดราม่า nepo babies ขึ้นมาเมื่อใด ชาวเน็ท(ที่เกิดทัน) มักจะดึง Jamie Lee Curtis มาเปรียบเทียบ เธอได้รับการยกย่องให้เป็นนางเอกที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ไม่เพียงแต่เฟรสไชส์ Halloween ผลงานcomedy และ musical ก็เปรี้ยงปัง สื่อบางเจ้ายกให้เธอเป็นสุดยอดนางเอกที่ไม่เคยได้เข้าชิง Oscar ตลอดระยะเวลา 45 ปีใน Hollywood ก็คงพูดได้เต็มที่ว่าเธอไม่เคยดรอป ใช่แล้วล่ะ เธอเป็น nepo baby ที่เป็นต้นฉบับ แต่แทนที่จะถูกจิกกัดว่าเป็นเด็กเส้น แต่กลับมีเสียงชื่นชมว่า นี่สิตัวจริง เพราะเธอยอมรับแบบแมนๆว่า ไม่เคยสัมผัสการทำงานหนักนับตั้งแต่เกิดมา และยังเผยถึงเส้นสายใน Hollywood แบบโปร่งใสซะจนชวนอึ้ง
"ถึงฉันอาจจะเคยบอกว่าตัวเองต้องทำงานอย่างหนักมาก่อน แต่ที่จริงฉันไม่เคยทำงานหนักสักครั้งในชีวิต ฉันเคยเขียนเรื่องสั้นกึ่งชีวประวัติ แต่ไม่เคยได้ตีพิมพ์ เป็นเรื่องเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่คนดังใน New York ผู้เป็นพ่อที่อยู่ในบทชีวประวัติอันนี้มีฉายาว่า 'เส้นทางอภิสิทธิ์แห่งราชา' มันได้นำเสนอแนวคิดที่ว่า ถ้าคุณเป็นคนดังแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถเปิดโอกาสได้กว้างขึ้นอย่างเหลือเชื่อ คุณจะได้รับสิทธิ์ในการพบเห็นอะไรหลายอย่างที่คนทั่วไปไม่ได้เห็น ทุกหนทุกแห่งที่คุณไปก็มีแต่การอำนวยความสะดวก มันเป็นเรื่องที่ดีมากนะ เป็นผลประโยชน์ที่เข้ามาทดแทนในสิ่งที่คุณต้องเสียไป นั่นก็คือความเป็นส่วนตัว มันจึงช่วยถ่วงสมดุลกันไว้"
เมื่อได้รับคำถามว่า รู้ตัวหรือไม่ว่าเธอคว้าบทหนัง Halloween มาได้อย่างไร Jamie Lee ก็บรรยายจนเห็นภาพว่า
"ฉันเข้าทดสอบบทรัวๆเลยค่ะ และถึงที่สุดแล้วเข้าสู่รอบชิงที่มีแต่ฉันกับนางเอกอีกคนซึ่งฉันรู้จักเธอคนนั้นนะ แต่จะไม่มีวันเฉลยออกสื่อ ฉันมั่นใจว่า เพราะฉันเป็นลูกสาว Janet Leigh และ Tony Curtis และแม่ของฉันก็เป็นนางเอก Psycho ถ้าจะต้องเลือกระหว่างฉันกับอีกคน เค้าก็ต้องเลือกคนที่แม่แสดงหนัง Psycho เพราะว่ามันจะดึงดูดความสนใจจากสื่อให้กับผลงาน ฉันไม่มีวันเสแสร้งว่าฉันได้งานนี้มาด้วยตัวเองอย่างเดียว ถ้าฉันเป็นแค่เด็กสาวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าก็ไม่ผ่านหรอก มันก็เห็นแจ่มแจ้งอยู่แล้วว่าฉันมีตัวช่วย"
การเล่นเส้นสายเป็นเรื่องน่าเกลียด แต่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพึ่งพาตัวเอง
Madonna ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการเลี้ยงดูลูกๆอย่างเข้มงวด แม้ลูกสาวคนโตจะดำเนินรอยตามเธอด้วยอาชีพนางแบบและเดบิวท์เป็นศิลปินเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่กว่าจะเข้ามาทำงานแบบเต็มตัวก็ตอนที่เธอย้ายออกจากบ้านมาศึกษาต่อใน University of Michiganและย้ายมาที่ SUNY Purchase ใน New York
"คนอื่นมองว่าฉันเป็นเด็กบ้านรวยที่ไร้พรวรรค์และถูกประเคนทุกอย่างให้โดยไม่ต้องทำอะไร แต่ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น"
Lourdes ยังอธิบายว่าเธอจ่ายเงินค่าเทอมด้วยตัวเอง แม่ของเธอไม่ได้เปย์ให้ทุกอย่างเหมือนกับที่ใครๆคิด
อย่างไรก็ตาม เสียงวิจารณ์ว่า สถานะลูกสาว Madonna ที่ดึงดูดกระแสความสนใจจากสื่อต่างหากที่ทำให้เธอได้รับข้อเสนอจากแบรนด์ดังให้ร่วมงาน campaign ต่างๆ รวทถึงเดินแบบบน runway ไม่ใช่ออร่าที่เปล่งประกายแบบ born to be a star ที่แท้จริง
(นอกจากจะเป็น brand ambassador ให้กับ Marc Jacobs และ Swarovski Lourdes ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Burberry, Calvin Klein, Mugler, Stella McCartney, Miu Miu, Savage x Fenty และอื่นๆ ถ้าไล่ profile แล้ว เธอขึ้นแท่นนางแบบเนื้อหอมเลยล่ะ)
"ฉันอยากจะทำให้ตัวเองได้รู้สึกว่า ฉันสมควรจะได้รับสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ว่าฉันต้องเป็นฝ่ายที่ถูกป้อนทุกอย่างให้หมด"
"ใช่ค่ะ มันมีเรื่องอภิสิทธิ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ ฉันคงงี่เง่าถ้าไม่รู้เรื่องนี้ ทั่วไปแล้วพวกเด็กเส้นก็เป็นเรื่องแย่นะ แต่พ่อและแม่ได้เลี้ยงดูฉันให้เฉลียวฉลาดกว่าอะไรพวกนั้น"