เกาะติดตัวตนสุดแซ่บของ Sam Smith

42 18
ภาพ Sam Smith ที่เลือกชายทะเลเมืองไทยมาเป็นเป็นจุดหมายปลายทางของทริปสุดลัลล้าได้กลายมาเป็น viral ในบ้านเราจนอาจจะทำให้แฟนๆหลายคนอยากจะโยนบิกินี่สวยๆใส่กระเป๋าเดินทางแล้วดิ่งไปยังทะเลเพื่อโพสสวยแซ่บให้ผู้คนใน  friendlist ได้ชื่นชมบ้าง    รวมถึงเสียงโจษจันว่าอยากจะมีความมั่นใจให้ได้สักครึ่งของศิลปิน superstar ผู้นี้

แต่กว่า Sam จะเปิดเผยตัวตนสุดแซ่บโดนใจแฟนๆได้เพียงนี้ ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันของbeauty standards กอ่เกิดความหมกมุ่นในจิตใจ ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองดีพอ


Sam ทำเช่นไรจึงก้าวข้ามอุปสรรคในการสร้างความรักตัวเองจนเปล่งประกายได้เพียงนี้  มาติดตามกับเราได้เลยค่ะ
 
Social media อวยพรึ่บ "เรามันตัวแม่ จะแคร์เพื่อ?"
ประโยคติดหูที่แฟนๆได้บรรยายลุคสุกแซ่บของ  Sam Smith  นั้นฟังดูห่างไกลจากตัวตนในอดีต   เมื่อหลายปีก่อน นักร้องเจ้าของรางวัล  Grammy เคยพยายามลดน้ำหนักจนดูเพรียวผิดหูผิดตาจากช่วงเดบิวท์  แต่ก็ยอมรับว่า  ไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากขึ้นแต่อย่างใด



"ฉันมีจิตใจเปราะบางและอ่อนไหวง่าย  ฉันคิดมากเกินไปซะทุกเรื่อง   และระแวดระวังกับเรื่องรูปร่างตัวเองจนเหมือนคลั่งเกินเบอร์ ไม่ต่างจากเรื่องงานดนตรี และทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน และสำหรับช่วงนั้นความคำนึงถึงภาพลักษณ์คือสิ่งที่ทำให้ฉันคอยประคับประคองตัวเองต่อไปได้"

"ถ้าฉันขาดจิตสำนึกส่วนนี้ไปแล้วล่ะก็  ฉันคงกลายเป็นคนนิสัยเลวร้ายไปแล้ว  ฉันจึงรู้สึกขอบคุณความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นกับฉัน"



"ฉันรู้สึกกดดันที่จะต้องทำให้ตัวเองดูดี   สำหรับผู้หญิงในวงการบันเทิง แรงกดดันนี้มันชวนสะพรึง และมันเป็นเรื่องที่จะต้องจบลงได้แล้ว  แต่สำหรับผู้ชาย มันก็ไม่ได้แตกต่างแต่อย่างใด  แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เอ่ยปากถึงมัน     ฉันอยากจะออกมาเป็นตัวแทนพูดถึงเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าฉันจะได้ลดน้ำหนักลงไป   มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะมีความสุขและพอใจกับรูปร่างตัวเอง มันมีสาเหตุมาจากสื่อ และความคิดที่คอยย้ำเตือนว่าฉันควรจะมีรูปร่างหน้าตาแบบใด  สิ่งนี้ทำให้ภายในหัวของฉันเป็นเหมือนกับสนามสู้รบ"


บางคนตั้งข้อสังเกตว่า  Sam เริ่มผอมลงหลังจากที่พิธีกรปากดี  Howard Stern เหยียดเขาว่าเป็นไอ้ขี้เหร่ อ้วนตุ้ยนุ้ย และดูแต๋วแตก  ( Sam เปิดตัวว่าเป็นเกย์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2014  และในปี  2019 ก็ระบุอัตลักษณ์ทางเพศว่าเป็น  non-binary  และเปลี่ยนมาใช้สรรพนามว่า  they, them )   แต่นั่นไม่ใช่เรื่อง body-shaming  ครั้งแรกที่ Sam ต้องรับมือ   เพราะเปชิญกับปัญหาทัศนคติเรื่องรูปร่างและน้ำหนักตัวมาตลอดชีวิต 
Sam ได้เผยถึงหนึ่งในจุกเปลี่ยนที่ทำให้ลดน้ำหนัก  เมื่อเขาต้องเผชิญกับเรื่อง  fat -shaming จากภาพระหว่างท่องเที่ยวใน Australia สื่อและชาวเน็ทล้อเลียนเรื่องหน้าท้องของเขาจนรู้สึกเจ็บปวด  เขาห่างหายจากวงการไปเพราะต้องรับการผ่าตัดเส้นเสียงและไม่เคลื่อนไหวใน social media มากนัก  ระหว่างนั้น้ำหนักตัวก็ขึ้นๆลงๆ และยังฝังใจเรื่องความอ้วนอยู่ไม่เปลี่ยน    ก่อนที่จะปล่อยตัวอัลบั้มที่ 2 เพียงไม่นาน  Sam ก็ตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่จากการลดน้ำหนักไปราวๆ 20 kg     เพราะยังยึดมั่นถือมั่นว่า  ความอ้วนคือสัญลักษณ์แห่งความหงอยเหงาเศร้าใจ  และความผอมคือสิ่งที่ประกาศความสำเร็จ  Sam ไม่ต้องการดูเป็นคนอ้วนที่เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป  

แต่หลังจากที่ต่อสู้กับจิตใจมานาน Sam ก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะมีชื่อเสียงจากความสำเร็จล้นหลามจนโลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงไปหมด ก็ต้องหัดปล่อยวางบ้าง

"เมื่อมีชื่อเสียงแล้ว คุณกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้ ฉันเคยชินกับชีวิตแบบนี้แล้วและก็เข้าใจดีว่าตัวเองน่ะโชคดีมากแค่ไหน แต่ฉันต้องคอยระมัดระวังตัวเสมอ ฉันถูก paparazzi ถ่ายรูปตอนอายุ 22 และแม้ว่าจะพยายามรักตัวเองเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีรูปร่างผอมหรืออ้วน แต่พอได้เห็นรูปนั้น ฉันก็รู้สึกอับอายเหลือเกิน ตั้งแต่นั้น ฉันจึงไม่ติดตามอ่านข่าวหรือดูรูปตัวเองจากสื่อ ถึงจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็เหอะ"






"ในอดีต หากจะต้องใส่เสื้อยืดถ่ายแบบ ฉันจะอดอาหารล่วงหน้าหลายสัปดาห์ และจับทุกภาพมาคัด แล้วก็เอาภาพที่ดูไม่ดีออก"


"ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะสู้กลับสักตั้งใจ  ยอมรับร่างกายที่เป็นของฉันกลับคืนมาและเลิกเปลี่ยนแปลงหน้าอก สะโพก และรูปร่างเว้าโค้งที่พ่อแม่ของฉันมอบความรักให้อย่างไม่มีเงื่อนไข"


"บางคนอาจจะมองว่าพูดเหมือนพวกหลงตัวเองและขี้โม้โอ้อวด และหากคุณได้รู้ว่าฉันจะต้องใช้ความกล้ามากมายแค่ไหนในการเปิดเผยตัวมัน และต้องเจอกับความเจ็บปวดเรื่องรูปร่างมาตั้งแต่เด็กมาเช่นไร คุณจะไม่มองฉันด้วยทัศนคติแบบนั้นเลย"

Sam ยอมรับว่าถึงอย่างไรก็ยังต้องสู้รบกับการจ้องมองตัวเองในกระจกอยู่เสมอ แต่การถ่ายภาพเปลือยอกที่เผยรูปร่างจริงๆนี้ ถือเป็นก้าวใหม่สู่ทิศทางที่เหมาะที่ควรในที่สุด และทริปล่าสุดในเมืองไทยก็น่าจะพิสูจน์แล้วว่า พลังของ self acceptance นั้นได้ผลจริงๆ สอดคล้องกับพัฒนาการทางดนตรี จากที่ได้สื่อถึงความโศกเศร้าเปล่าเปลี่ยวหัวใจจากบทเพลงในอัลบั้มแรก  อัลบั้มล่าสุดได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็น anthem แห่งการให้ความสำคัญกับคุณค่าของตน  และปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากบาดแผลในใจ ดังเนื้อเพลง Love Me More


Have you ever felt like being somebody else?
Feeling like the mirror isn't good for your health?
Every day I'm tryin' not to hate myself
But lately, it's not hurtin' like it did before
Maybe I am learning how to love me more


บาดแผลจากวัยเยาว์ที่บีบคั้นจนใช้การศัลยกรรมเพื่อลดน้ำหนัก

"ตอนที่ฉันยังเด็ก  ฉันอ้วนจ้ำม่ำ พออายุแค่ 8 ขวบฉันเคยขอร้องให้แม่เขียนจดหมายถึงโรงเรียนเพื่อจะได้ไม่ต้องลงสระเรียนว่ายน้ำ เพราะไม่งั้นฉันก็ต้องคอยพะวักพะวนปกปิดหน้าอก"

Sam ถูก bully เรื่องรูปร่างอยู่เสมอ เด็กชายบางคนล่วงเกินด้วยการขยำหน้าอกกลางสนามเด็กเล่นจนต้องอับอาย ความทุกข์ใจเรื่องความอ้วนทำให้ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดดูดไขมันบริเวณอกในวัยเพียง 12 ปีเท่านั้น แต่เพราะยังเยาว์วัยนัก Sam จึงไม่เข้าใจเรื่องวิถีทางเพื่อสุขภาพและอาหาร ไขมันส่วนเกินก็กลับมาเยือนในเวลาเพียงไม่นาน แต่4 ปีต่อมา แม้ Sam จะมีร่างกายยืดสูงขึ้นและน้ำหนักตัวลดหายลงไปในแต่ก็ยังถูกมองว่าทำตัวแปลกแยก เพราะการแสดงออกแบบ queer เต็มขั้น

"ฉันเลิกใส่ชุดของเด็กผู้ชายและหันมาใส่เลกกิ้ง เฟอร์ และแต่งหน้าจัดเต็มไปโรงเรียนทุกวัน ฉันอาศัยในหมู่บ้านเล็กๆ และโรงเรียนก็เล็กมาก ฉันโดดเด่นในสังคมเขนาดเล็กนั้น  พูดง่ายๆคือฉันกลายมาเป็นตัวตลกสุดเกย์ประจำชุมชน"



อ้วนขึ้นหรือผอมลงไม่ใช่ตัวกำหนดคุณค่า


ผู้คนมากมายในโลกนี้ได้ก้าวเดินในเส้นทางเรื่อง body image ไม่ต่างจาก Sam Smith พวกเราลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายและได้รับเสียงชื่นชมจากคนรอบข้าง แต่ก็พบว่า เมื่อไขมันส่วนเกินเริ่มกลับมา เสียงเย้ยหยันเรื่องรูปร่างก็ลอยตามลมมาทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอีก สำหรับ Sam ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง Chrismas เคยทำให้รู้สึกจิตกกับรูปร่าง เพราะย่อมอดใจไม่ไหวกับอาหารแสนอร่อยที่ยั่วใจอย่างพายเนื้อ และน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นหลังจากงานเลี้ยงฉลองเสมอ แต่ Sam ก็ได้ให้กำลังใจแฟนๆว่า


 "ขอเน้นย้ำถึงประเด็นรูปร่างของพวกเราในช่วงเวลานี้ให้แน่ใจกันว่า ไม่ว่าพวกเราจะมีน้ำหนักกันเท่าไร  เราก็คู่ควรที่จะได้รับความรักและเป็นที่ยอมรับ"

"มารักรูปร่างที่มีน้ำหนักขึ้นๆลงๆนี้กันเถอะ   เมื่อมองตัวเองในกระจก จงมอบความเมตตาอารีแห่งช่วงเทศกาล Christmas กับเงาที่สะท้อนกลับมา ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความอ่อนโยน    ในทุกๆวันฉันได้พบกับความทุกข์ใจจากเรื่องรูปร่างหน้าตา คุณไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้แค่ตัวคนเดียว"




สำหรับหลายคนที่คุ้นเคยกับการปกปิดรูปร่างของตัวเองเพราะความไม่มั่นใจ  การใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเพื่อรับแสงแดดที่ชายทะเลที่สวยงามนับเป็นกำแพงที่ยากจะปีนข้ามไปได้    แต่ Sam ประกาศให้กำลังใจไว้ว่า

"รู้สึกดีจังเลยที่ได้ถอดเสื้อออกในช่วงทริปวันหยุด  ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อซ่อนร่างกายตัวเองจากแสงอาทิตย์   แต่นับจากปีที่แล้ว ในที่สุดผิวของฉันก็ถูกอาบลูบไล้ด้วยแสงแดด"

"อย่าปล่อยให้ใครคนอื่นหรือสิ่งใดก็ตามหยุดยั้งคุณไม่ให้สัมผัสถึงจุมพิตจากดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือตัวเรา คุณเป็นมนุษย์ที่งดงาม"



Sam เชื่อว่า  ความหมกมุ่นและไม่มั่นใจเรื่องรูปลักษณ์ได้ผลักดันให้ค้นพบคตัวตน non-binary

"ฉันมีปัญหาจากโรคไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเองมาโดยตลอด เมื่อได้หาคำอธิบายถึงเรื่องนี้ก็นำมาเชื่อมโยงกับเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศและได้ค้นพบว่า ฉันเก็บงำตัวตนไว้เบื้องหลังภาพของรูปลักษณ์เพศชายในอุดมคติ"

"ฉันพยายามศึกษาสร้างความเข้าใจและเข้ารับการบำบัด และได้รู้ลึกไปกว่านั้น ฉันมีต้นขาและหน้าอกเหมือนผู้หญิง มันจุดประกายความคิดที่ถูกซุกซ่อนภายในใจฉันมาตลอด"




"ในบางครั้งฉันคิดเหมือนผู้หญิง และเคยถามตัวเองว่า อยากจะแปลงเพศรึเปล่า?  และมันเป็นเรื่องที่ฉันยังครุ่นคิดถึงอยู่บ้าง ฉันอยากทำมันมั้ยนะ?  แต่ฉันว่าไม่หรอก"

"ฉันไม่ใช่ผู้ชายและไม่ใช่ผู้หญิง  ฉันว่าตัวเองอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลาง มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินที่จะระบุตรงตัว สำหรับเรื่องเพศวิถี ฉันก็มีแนวคิดแบบเดียวกัน"




แฟนๆหลายคนยืนยันว่า เลิฟ  Sam ที่เต็มไปด้วย energy แนวคิดบวกเรื่องรูปร่าง และได้รับแรงบันดาลใจไปเต็มๆ


The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE