เปิดเนื้อหาสุดช็อคจากหนังสือ Spare ของเจ้าชาย Harry
candy 38 15แม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ (memoir) ผลงานของเจ้าชาย Harry นามว่า Spare ที่พ้องกับสถานะโอรสคนรองที่สืบเชื้อสายกษัตริย์จะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับราชวงศ์อังกฤษซะยิ่งกว่า documentary ที่เจ้าชายและชายาชาวอเมริกันร่วมกันนำเสนอทาง Netflix แต่หลังจากที่สื่ออังกฤษได้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ memoir เล่มนี้ ก็แทบไม่แตกต่างจากการทิ้งระเบิดอานุภาพรุนแรงใส่ครอบครัวที่สืบทอดรักษาความเป็นปึกแผ่นของสถาบันกษัตริย์มาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีผู้ตั้งข้อกังขากับความน่าเชื่อถือของข้อมูลในหนังสือ และยังกล่าวหาว่า นี่คือพฤติกรรมแก้แค้นของเจ้าชายที่บิดเบือนเรื่องราวให้ครอบครัวฝั่งเชื้อพระวงศ์มีภาพลักษณ์ย่ำแย่ หรือแม้กระทั่งโจมตีว่า เจ้าชาย Harry เสแสร้งแกล้งทำเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ เพื่อเรียกร้องคะแนนสงสาร แต่ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ราชวงศ์อังกฤษที่ถูกผูกติดกับเสียงเลื่องลือเรื่องการวางตัวนิ่งเฉยเย็นชาและไร้ความสมัครสมานปรองดองมาตลอดระยะเวลาหลายปี เมื่อเสริมกับคำบอกเล่าในหนังสือที่ฟังดูสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้คนเคยได้ยินมาแล้ว นั่นทำให้บางคนยิ่งมั่นใจว่า คำบอกเล่าจากฝั่ง The Spare คือการตอกย้ำข้อสันนิษฐานและข่าวลือต่างๆที่เกี่ยวกับราชวงศ์ที่โด่งดังที่สุดในโลกแห่งนี้
การเปิดเผยใดของเจ้าชาย Harry ที่ทำให้วงการสื่อและโลกออนไลน์แทบลุกเป็นไฟ มาติดตามกับเราได้เลยค่ะ
จุดแตกหักกับพี่ชายผู้เป็นรัชทายาทที่บานปลายเป็นความรุนแรง
การเผชิญหน้าของสองพี่น้องทายาทแห่งราชวงศ์ Windsor เกิดขึ้นที่ Nottingham Cottage ของเจ้าชาย Harry เมื่อปี 2019 เขาได้บรรยายเหตุการณ์ว่า พี่ชายติเตียนภรรยาของเขาว่าทำตัวเรื่องมาก หยาบคาย และยั่วโมโหชวนรำคาญ เขาจึงสวนกลับไปว่านี่คือคำพูดเลียนแบบสื่อที่ว่าร้าย Meghan ชัดๆ และเขาหวังไว้ว่าพี่จะใช้คำพูดได้มีเหตุผลกว่านี้ ทั้งๆที่ในตอนแรก พี่ชายเป็นฝ่ายแสดงความจำนงเพื่อพูดจาปรับความเข้าใจหลังจากบาดหมางกันจนกลายเป็นวิกฤติภาพลักษณ์จนสื่อนำมาโจมตี แต่เมื่อมาถึงที่พำนักของเขา พี่ชายก็แสดงท่าทีโมโหโกรธาตั้งแต่ต้น พวกเค้าตะคอกใสกัน Harry จิกกัดพี่ชายว่า ทำตัวเอาแต่ใจสมกับเป็นรัชทายาท ส่วน William ก็อ้างว่า เขาพยายามช่วยเหลือน้องชายอยู่
"นี่พี่เอาจริงรึเปล่า? ช่วยเหลือฉันเนี่ยนะ? ขอโทษทีเถอะ นี่คือการกระทำที่เรียกว่าช่วยเหลือกันรึไง?"
คำพูดของเขาทำให้พี่ชายบันดาลฌทสะและย่างสามขุมเข้าหาทำให้เขานึกหวั่นใจและเดินหนีไปในครัว และหยิบแก้วน้ำยื่นให้พี่ชายเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์
" Willy ฉันจะคุยกับนายไม่ได้ ถ้านายยังเป็นแบบนี้อยู่"
"พี่สบถด่าฉันอีกและพุ่งเข้ามา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจริงๆ พี่กระชากคอเสื้อของฉันจนสร้อยคอขาด และทุ่มฉันพื้น ฉันล้มลงไปบนชามใส่อาหารสุนัข มันกระแทกแตกอยู่ด้านใต้หลัง และฉันถูกชิ้นส่วนชามแตกบาดเข้า ฉันนอนอึ้งอยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะ พอลุกขึ้นได้ก็ไล่ให้พี่ออกไป"
Harry บรรยานเหตุการณ์ต่อไปว่า พี่ชายยั่วยุให้เขาโต้ตอบ และพูดถึงการทะเลาะเบาะแว้งตอนที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็ก แต่เขาไม่ยอมสู้กลับ พี่จึงเดินออกไป แต่ก่อนหน้านั้น พี่ได้แสดงท่าทีเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปและกล่าวคำขอโทษ แล้วยังเตือนว่า
"นายไม่จำเป็นต้องไปบอก Meg ในเรื่องที่เกิดขึ้น"
"พี่หมายถึงเรื่องที่พี่ทำร้ายฉันใช่ไหม?"
"ฉันไม่ได้ทำร้ายนาย Harold" (ชื่อเล่นที่น้องใช้เรียกกันคือ Willy และ Harold)
Harryไมไ่ด้เล่าถึงเหตุการณ์นี้ให้ภรรยาได้รับรู้โดยทันที แต่เขารีบโทรหานักบำบัดเพื่อขอคำปรึกษา ในภายหลัง Meghan สังเกตเห็นร่องรอยขีดข่วนและฟกช้ำที่หลังของเขา เขาจึงต้องเล่าทุกอย่าง
"เธอไม่ได้ประหลาดใจในเรื่องนี้ และไม่ได้โมโห แต่เธอกลับรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก"
คงไม่ต้องแปลกใจว่า เรื่องราวที่สังคมไม่ได้รับรู้มาก่อนจะกลายมาเป็นประเด็นร้อน ไม่เพียงแต่จะขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ทั้งวงการโทรทัศน์อังกฤษก็วิเคราะห์เจาะลึกเรื่องนี้กันอย่างโกลาหล
"นายไม่จำเป็นต้องไปบอก Meg ในเรื่องที่เกิดขึ้น"
"พี่หมายถึงเรื่องที่พี่ทำร้ายฉันใช่ไหม?"
"ฉันไม่ได้ทำร้ายนาย Harold" (ชื่อเล่นที่น้องใช้เรียกกันคือ Willy และ Harold)
Harryไมไ่ด้เล่าถึงเหตุการณ์นี้ให้ภรรยาได้รับรู้โดยทันที แต่เขารีบโทรหานักบำบัดเพื่อขอคำปรึกษา ในภายหลัง Meghan สังเกตเห็นร่องรอยขีดข่วนและฟกช้ำที่หลังของเขา เขาจึงต้องเล่าทุกอย่าง
"เธอไม่ได้ประหลาดใจในเรื่องนี้ และไม่ได้โมโห แต่เธอกลับรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก"
คงไม่ต้องแปลกใจว่า เรื่องราวที่สังคมไม่ได้รับรู้มาก่อนจะกลายมาเป็นประเด็นร้อน ไม่เพียงแต่จะขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ทั้งวงการโทรทัศน์อังกฤษก็วิเคราะห์เจาะลึกเรื่องนี้กันอย่างโกลาหล
ชาวเน็ทขุดคุ้ยข่าวลือเรื่องปัญหาการควบคุมอารมณ์ของเจ้าชายแห่ง Wales
ชาวเน็ทอาจจะไม่ได้เชื่อถือคำพูดของเจ้าชาย Harry แบบถ้วนหน้าถ้วนตา เพราะกลุ่มคนที่ส่งแรงสนับสนุนฝ่ายราชวงศ์อย่างเต็มที่แสดงความมั่นใจว่า นี่คือความพยายามของเจ้าชายองค์รองที่จะโยนความผิดให้กับพี่ชายและครอบครัวที่เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในหลังจากที่เขาเสกสมรสกับนางเอกชาวอเมริกัน และมองว่า เขาอาจจะทำทุกอย่างเพื่อ discredit ฝ่ายตรงข้าม แต่ผู้ที่ถือหาง Harry & Meghan ก็ชี้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องปัญหาการควบคุมอารมณ์ของเจ้าชายผู้พี่ ทั้ง King Charles และเจ้าชาย William ได้ตกเป็นข่าวลือเรื่องความโมโหร้ายมาแล้วหลายครั้ง(และยังเคยปรากฏภาพวีดีโอเมื่อพวกเค้าไม่สามารถระงับอารมณ์อีกด้วย) ดังที่ Robert Lacey นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราชวงศ์ที่เป็นที่ปรึกษาของซีรีส์ The Crown ได้อ้างในหนังสือของเขาว่า Camilla เคยผ่านโมเมนท์ตกตะลึงด้วยพฤติกรรมของเจ้าชาย William ที่แรงจนกราดเกรี้ยวใส่ผู้เป็นพ่อมาแล้ว หรือจะเป็น Robert Jobson นักข่าวที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษหลายเล่มที่อ้างคำพูดของแหล่งข่าววงในว่า เจ้าชาย William ปรี๊ดใส่คนรอบข้างหากไม่ได้ดังใจ แม้แต่ Kate ก็ต้องรับมือเรื่องนี้ด้วยความใจเย็นมาตลอด รวมถึงสื่อแทบลอยด์ชื่อดังที่ได้อ้างแหล่งข่าวจากอดีตเจ้าหน้าที่สำนักราชวังว่า คนภายในจะรู้กันในเรื่องความเจ้าอารมณ์ของเจ้าชายรัชทายาท แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็อาจจะทำให้เขาสติหลุดได้
เจ้าชาย William ได้ทำร้ายร่างกายน้องชายจริงหรือไม่? ผู้คนต่างถกเถียงหักล้างกัน แต่เจ้าชาย Harry ผู้เป็นต้นเรื่องได้ให้คำนิยามอย่างชัดเจนว่า นี่คือพี่ชายอันที่รักและศัตรูตัวฉกาจ!
ความขัดแย้งของสองสะใภ้เจ้า Kate VS Meghan
Baby brain นี่คือ term ที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน จนกระทั่งเจ้าชาย Harry ได้อธิบายถึงปมปัญหาความขัดแย้งของภรรยาและพี่สะใภ้ มันคืออะไร?
หลังจากที่สื่อเล่นข่าวครึกโครมมาหลายปีเพื่อชี้เป้าต้นเหตุของจุดแตกหักว่า เป็นสะใภ้หลวงชาวอเมริกัน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเข้ามาก็สร้างรอยร้าวให้กับครอบครัว Windsor ผู้สูงศักดิ์ เราจะขอไล่เรียงเรื่องราวย่อๆดังนี้
- ช่วงแรกๆที่ Meghan เสกสมรสเข้ามาเป็นสมาชิกราชวงศ์ ก็มีข่าวลือหนาหูว่า เธอวางท่าเป็นจอมบงการ และทำให้ Kate เสียขวัญจนร้องไห้ระหว่างการเตรียมกำหนดการต่างๆเพื่อเข้าพิธี royal wedding
- The Times เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยที่ทำงานร่วมกับ Meghan ส่งคำร้องเรียนต่อสำนักราชวังว่า ถูก Meghan คุกคามและสร้างความอับอายในที่ทำงานจนเกิดความกระทบกระเทือนใจ
- ทนายของ Harry & Meghan ปฏิเสธคำกล่าวหาอย่างหนักแน่น และโทษว่านี่คือแผนการทำลายชื่อเสียงด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยชักนำให้นิตยสารที่มีชื่อเสียงมาเป็นสื่อกลางเผยแพร่คำกล่าวหาที่หมิ่นประมาทกัน มีรายงานว่า ตัวแทนของพวกเค้าได้ชี้ถึงตัวการที่ใช้แผนเล่นงานด้วยสื่อว่าไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น Buckingham palace
- สำนักราชวังทำการไต่สวนหาความจริงเรื่องข้อกล่าวหา Meghan เรื่อง bully แต่มีรายงานว่า พวกเค้าจะไม่เปิดเผยผลสรุปต่อสาธารณชน แต่สื่อได้เสนอข่าวว่า เจ้าหน้าที่ผู้ร้องเรียนเรื่องนี้ได้เซ็นข้อตกลงที่จะไม่ออกมาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
- Meghan ได้ให้สัมภาษณ์กับ Opera ว่า ข่าวลือเรื่องความขัดแย้งกับสะใภ้ใหญ่ที่บอกว่าเธอแรงใส่ Kate จนร้องห่มร้องไห้นั้น ที่จริงแล้วเป็นเรื่องตรงข้าม และ Kate ก็ยังส่งดอกไม้มาขอโทษเธอด้วยซ้ำ
- แต่คำร้องเรียนจากผู้ช่วยก็ทำให้หลายคนมั่นใจว่า Meghan มีพฤติกรรมแบบคางคกขึ้นวอ เพราะเมื่อเธอกลายมาเป็นดัชเชสที่โลกให้ความสนใจ ก็วางมาดเป็นนางพญาคุกคามคนรอบข้าง และไม่ไว้หน้าแม้แต่พี่สะใภ้ที่จะก้าวสู่ตำแหน่งราชินีในอนาคต
เรื่องราวจากฝั่งเจ้าชาย Harry
มีความเชื่อกันว่า เจ้าชายกำลังบอกใบ้ถึงตัวตนของผู้ที่บีบคั้นให้เขาพาครอบครัวแยกจากราชวงศ์ แต่เขากำลังชี้ไปที่ใคร?
- ในระหว่างพูดคุยเพื่อหารือเรื่องการเตรียมตัวสำหรับพิธีเสกสมรส Kate รู้สึกถูกจาบจ้วงอย่างหนัก เมื่อ Meghan แสดงความเห็นว่า Kate ที่เพิ่งคลอดโอรสน่าจะเข่าข่ายอาการ Baby brain หลังจากที่เธอบอกว่าหลงลืมอะไรบางอย่างที่ไม่สำคัญนัก
- Meghan สับสนงุนงงเมื่อรับรู้ว่า Kate โกรธจัด เพราะเธอหมายถึง Baby brain คำที่ใช้บรรยายปัญหาเรื่องความจำที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งหลายคนได้พบกับปัญหาหลงๆลืมๆมากกว่าปกติ หรือตั้งสมาธิจดจ่อกับเรื่องหนึ่งได้ยาก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ว่า อาจจะเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปมาก และจิตใจที่จดจ่ออยู่ที่ลูกน้อยในครรภ์เพียงเท่านั้น ทั้งยังนอนไม่หลับ วิตกกังวลทำให้ลืมเรื่องราวอื่นๆไป
- เมื่อต้องมาพบกันอีกครั้งเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ แม้เริ่มต้นจะดูไปได้ดี แต่ก็กลับมาทะเลาะกันอีก เพราะ Kate เข้าใจผิดไปตั้งแต่แรกเริ่มรู้จักกันว่า Meghan ต้องการจะได้ connection ด้าน fashion ของเธอ แต่ที่จริงแล้ว Meghan มี connection ของตัวเองอยู่แล้ว
- ประเด็นชุดเพื่อนเจ้าสาวนั้นยิ่งทำให้ความขัดแย้งที่คุกรุ่นอยู่แล้วยิ่งร้อนแรงขึ้นอีก Kate แจ้งว่าชุดเพื่อนเจ้าสาวไม่พอดีตัวเด็กๆ และจะต้องแก้ไขในเวลาสี่วันก่อนพิธีเสกสมรส แต่ไม่ยินยอมพาเจ้าหญิง Charlotte ไปพบช่างตัดเย็บเสื้อผ้าของ Meghan
- Kate รู้สึกไม่พอใจและทวงถามคำขอโทษจาก Meghan ที่ออกความเห็นเรื่องฮอร์โมนคุณแม่หลังคลอดว่าอาจจะกระทบกับเรื่องความจำ
- Meghan อธิบายว่า นี่เป็นคำพูดที่เธอใช้กับเพื่อนฝูง แต่ Kate สวนกลับว่า ทั้งสองไม่ได้สนิทกันมากพอจะพูดถึงเรื่องฮอร์โมนของเธอ
- William โมโห Meghan ไปด้วยและชี้หน้าตำหนิเธอว่า คนที่นี่เค้าไม่แสดงพูดคำพูดจาบจ้วงแบบนี้กัน ภรรยาของเขาจึงตอบกลับไปว่า หากคุณไม่ถืออะไร ก็เลิกชี้หน้าฉันด้วย
- พวกเค้ายังขัดกันเรื่องเล็กๆน้อยๆ จน Harry ต้องรำพึงรำพันว่า ถึงขนาดได้มาถึงจุดที่ตะโกนใส่หน้ากันเพราะเรื่องฮอร์โมนและการเปลี่ยนตำแหน่งวางการ์ดวันวิวาห์แล้วหรือ?
- Meghan พยายามแก้ไขความบาดหมางว่า เธอไม่ได้ตั้งใจทำให้ Kate รู้สึกแย่ พวกเค้ารักษามารยาทสวมกอดลากันตรงนั้น เพราะ Harry เชื่อว่า ยิ่งอยู่ต่อก็อาจจะต้องทะเลาะกันไปมากกว่าเก่า
- ในวันต่อมา Kate ได้มาพบเพื่อมอบดอกไม้และการ์ดเพื่อส่งคำขอโทษ แต่กลับมีข่าวออกมาว่า Meghan กดดันเธอหนักจนร้องไห้ เมื่อทั้งสองคู่ได้พบหน้ากันอีก Kate เป็นฝ่ายพูดเองด้วยซ้ำว่า "ฉันรู้ค่ะ Meghan เรื่องที่ฉันเป็นฝ่ายทำคุณร้องไห้"
- ดูเหมือนว่าพวกเค้าจะเคลียร์ข้อพิพาทกันได้ แต่ใน documentary ทาง Netflix เจ้าชาย Harry ได้กล่าวหาสำนักราชวังว่า ปกปิดความเป็นจริงเพื่อปกป้องพี่ชายของเขา เขาได้ให้นิยามว่าเป็นการปั่นหัวจากสถาบัน และความสัมพันธ์ของพวกเค้าก็ยิ่งร้าวฉานของพวกเค้าไปยิ่งขึ้น
"ถ้าพูดความจริงกับคนที่มีอำนาจ เขาก็จะตอบโต้เราเช่นนี้"
เจ้าชาย Harry
มีความเชื่อกันว่า เจ้าชายกำลังบอกใบ้ถึงตัวตนของผู้ที่บีบคั้นให้เขาพาครอบครัวแยกจากราชวงศ์ แต่เขากำลังชี้ไปที่ใคร?
เผยความทรงจำฝังใจ King Charles ไม่ได้กอดปลอบขวัญเมื่อได้รับรู้ว่าเจ้าหญิง Diana จากไปจากอุบัติเหตุรถยนต์
ในอดีตเจ้าหญิง Diana เคยเปิดใจถึงชีวิตที่โดดเดี่ยวและขาดที่พึ่งพิงเมื่อเผชิญกับปัญหาที่รุมล้อมเข้ามานับตั้งแต่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ Windsor และนำไปสู่ความเจ็บป่วยทางจิตใจ จนกระทั่งโศกนาฏกรรมที่พรากเจ้าหญิงไปจากโลกนี้ ผู้คนก็ยังโจษจันถึงภาพของสถาบันที่เย็นชา ความทรงจำที่เกิดจากความสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักของเจ้าชาย Harry ก็ไม่ได้สัมผัสอ้อมกอดเพื่อปลอบโยนจากพ่อที่ขณะนั้นดำรงสถานะผู้ที่จะครองบัลลังก์ในอนาคต
"พ่อนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ท่านจับเข่าของฉัน ลูกรัก แม่ของลูกประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์"
"ฉันครุ่นคิดว่า อุบัติเหตุรถชน โอเค แต่แม่จะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? ความคิดนี้วนเวียนในหัว ฉันรอคอยอย่างอดทนเพื่อจะได้ยินพ่อยืนยันว่าแม่ยังสบายดี แต่พ่อไม่ได้พูดแบบนั้น"
"พ่อไม่ได้กอดฉัน แม้แต่ในสถานการณ์ปกติทั่วไป ท่านก็ยังไม่ค่อยจะถนัดในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกอยู่แล้ว จะคาดหวังให้ท่านเปิดเผยมันในช่วงเวลาแห่งวิกฤตินี้ได้อย่างไร? "
"พ่อเอื้อมมือมาแตะที่เข่าของอีกหนึ่งครั้ง แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวมันจะดีขึ้นเอง สำหรับท่านก็เป็นนับว่าเต็มที่แล้ว ทั้งแสดงความเป็นพ่อ มีความหวัง อ่อนโยน แต่ที่บอกมามันไม่ได้เป็นจริงเลย"
เจ้าชายหวนคิดถึงความรู้สึกในวันที่ต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนในพิธีศพของแม่ว่า
"ร่างกายของสั่นสั่นไหวไปหมด ฉันก้มหน้าต่ำแล้วก็ร่ำไห้ใส่มืออย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ฉันรู้สึกละอายใจที่ละเมิดแบบแผนธรรมเนียมของครอบครัว แต่ฉันไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก"
แบบแผนที่ว่าคือ การกลั้นน้ำตาไว้แม้จะโศกเศร้าปานใด ก็จะต้องไม่ร้องไห้ให้คนภายนอกเห็น
"ร่างกายของสั่นสั่นไหวไปหมด ฉันก้มหน้าต่ำแล้วก็ร่ำไห้ใส่มืออย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ฉันรู้สึกละอายใจที่ละเมิดแบบแผนธรรมเนียมของครอบครัว แต่ฉันไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก"
แบบแผนที่ว่าคือ การกลั้นน้ำตาไว้แม้จะโศกเศร้าปานใด ก็จะต้องไม่ร้องไห้ให้คนภายนอกเห็น
ประสบการณ์ในวัยต่อต้าน ก้าวสู่โลกแห่ง party และริลองโคเคน
ช่วงวัยรุ่นที่เจ้าชายกลายเป็นหัวข้อข่าวรายวันจากภาพลักษณ์เชื้อพระวงศ์แหกคอก สื่อหลายเจ้ากล่าวหาว่าเขาเป็น bad boy เต็มขั้น ทั้งคลั่ง party และติดยางอมแงม แต่เจ้าชายได้แย้งในหนังสือเล่มนี้ว่า เมื่ออายุ 17 ปี เขาเคยทดลองเสพโคเคนใน party และตามมาอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เพลิดเพลินใจไปกับสิ่งนี้้แต่อย่างใด
"มันไม่ทำให้สนุกและไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขเหมือนกับที่คนอื่นๆที่เล่นยานี้แสดงท่าทางออกมา แต่มันก็สร้างความรู้สึกที่แตกต่าง ซึ่งมันเป็นจุดประสงค์หลักที่ทำเรื่องนี้ ผมเป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ที่พร้อมจะพร้อมจะลองทุกอย่างที่แตกต่างไปกฎระเบียบที่ถูกปลูกฝังมา"
เขาเล่าว่า เคยริลองกัญชามาตั้งแต่เข้าเรียนใน Eton College ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับหน้าที่บอดี้การ์ดของเขาออกไปเดินตรวจตรานอกตึกก็จะแอบสูบในห้องน้ำ
ในปี 2002 King Charles ตัดสินใจส่งโอรสคนรองไปยังคลีนิคบำบัดผู็ติดยาเสพติดเมื่อเขายอมรับสูบกัญชาและดื่มเหล้า
ช่วงเวลาของวัยต่อต้านได้นำเขาไปสู่มลทินติดตัวตลอดกาล นั่นคือชุดเครื่องแบบติดสัญลักษณ์ของนาซีเพื่อร่วม party ที่ตั้งธีม Native and Colonial (แค่ชื่อธีมก็ผิดอย่างแรงแล้ว) เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และกลายเป็นพ่อคน เขาก็ได้เปิดเผยใน documentary ว่า นี่คือหนึ่งในความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่ได้เพิ่มเติมข้อมูลใหม่ในหนังสือว่า ผู้ที่ออกไอเดียให้เขาเลือกชุดนี้ไปร่วมงานคือพี่ชายและพี่สะใภ้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการจุดประเด็นเรื่องผู้ที่เป็นต้นคิดชุดนาซี เพราะ Robert Lacey นักประวัติศาสตร์ราชวงศ์เจ้าของผลงานหนังสือขายดีได้บรรยายไว้ว่า เจ้าชายสองพี่น้องได้เลือกเสื้อผ้าแฟนซีเพื่อไปสนุกใน party ด้วยกัน แต่กระแสต่อต้านที่เกิดขึ้นกับเจ้าชายผู้น้องทำให้เขาเริ่มสัมผัสถึงความแปลกแยกจากครอบครัว เพราะพี่ชายเป็นผู้ชักนำให้เขาเดินสู่เส้นทางผิดและลงเอยด้วยการแพ้ภัยตัวเอง แต่พี่ชายไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากนัก จากนั้นพวกเค้าก็แทบไม่พูดจากัน โดยเฉพาะเมื่อเจ้าชาย Harry ถูกนำเสนอด้วยภาพของตัวตลกที่ถูกรับความผิดไปเต็มๆ ส่วนเจ้าชาย William คือฮีโร่ผู้เปล่งประกาย
King Charles เคยนำประเด็นข่าวลือเรื่องพ่อทางสายเลือดที่แท้จริงมาหยอกเย้าโอรสจนฝังใจ
"พ่อชื่นชอบเล่านิทานต่างๆ และหนึ่งในบทละครที่โปรดปรานที่สุดของท่านก็คือ จะต้องปิดท้ายการเล่าเรื่องด้วยปรัชญาเมธีนี้ ใครจะไปรู้แน่ล่ะว่าฉันเป็นเจ้าชายแห่ง Wales ตัวจริง? ใครเล่าจะรู้ว่าฉันเป็นพ่อแท้ๆของเธอหรือไม่?"
"พ่อจะเอาแต่หัวเราะ แม้ว่ามันจะเป็นมุกที่ช่างไม่ขำขันแม้แต่น้อย เพราะมันยิ่งตอกย้ำข่าวลือที่ว่าความจริงแล้วพ่อทางสายเลือดของฉันคือหนึ่งในคนรักเก่าของแม่ พันตรี James Hewitt ต้นตอของข่าวลือนี้มาจากผมแดงส้มของพันตรี Hewitt แต่มีอีกอย่างก็คือความชอบทรมานจิตใจคนอื่นนั่นเอง"
เจ้าชาย Harry ได้สันนิษฐานถึงสาเหตุที่สื่อมักเล่นข่าวโจมตีเรื่องชาติกำเนิดของเขาว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ Windsor
"อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเค้ารู้สึกว่าชีวิตตัวเองดูดีขึ้นเมื่อได้นำเสนอชีวิตของเจ้าชายวัยเยาว์ให้ดูน่าหัวเราะเยาะ โดยที่ไม่ใส่ใจว่า กว่าที่แม่ของฉันจะพบเจอกับพันตรี Hewitt ก็หลังจากที่ฉันเกิดมาเป็นปี"
"พ่อจะเอาแต่หัวเราะ แม้ว่ามันจะเป็นมุกที่ช่างไม่ขำขันแม้แต่น้อย เพราะมันยิ่งตอกย้ำข่าวลือที่ว่าความจริงแล้วพ่อทางสายเลือดของฉันคือหนึ่งในคนรักเก่าของแม่ พันตรี James Hewitt ต้นตอของข่าวลือนี้มาจากผมแดงส้มของพันตรี Hewitt แต่มีอีกอย่างก็คือความชอบทรมานจิตใจคนอื่นนั่นเอง"
เจ้าชาย Harry ได้สันนิษฐานถึงสาเหตุที่สื่อมักเล่นข่าวโจมตีเรื่องชาติกำเนิดของเขาว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ Windsor
"อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเค้ารู้สึกว่าชีวิตตัวเองดูดีขึ้นเมื่อได้นำเสนอชีวิตของเจ้าชายวัยเยาว์ให้ดูน่าหัวเราะเยาะ โดยที่ไม่ใส่ใจว่า กว่าที่แม่ของฉันจะพบเจอกับพันตรี Hewitt ก็หลังจากที่ฉันเกิดมาเป็นปี"
เจ้าชายทั้งสองพี่น้องขอร้องไม่ให้พ่อเสกสมรสกับ Camilla
"ฉันเคยเฝ้าสงสัยว่า เธอจะทำตัวร้ายกาจกับฉันรึเปล่านะ เหรือว่าเธอจะเป็นเหมือนกับแม่เลี้ยงใจร้ายในนิทาน" เจ้าชาย Harry ได้อธิบายความรู้สึกในช่วงที่ได้รับรู้ว่า พ่อกำลังมีความสัมพันธ์จริงจังกับหญิงในดวงใจที่เคยมีสถานะเป็นชู้จนตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ในอดีต
"Willy นึกระแวงสงสัยเรื่องผู้หญิงอีกคนของพ่อมาเนิ่นนาน และเรื่องนี้ได้สร้างความสับสนและทุกข์ทนในใจเขา"
แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับความสัมพันธ์ของพ่อและ Camilla
"Willy และฉันให้สัญญากับพ่อของเราว่า เราจะเปิดใจต้อนรับ Camilla เข้าสู่ครอบครัว มีเพียงข้อแม้เดียวที่พวกเราขอร้องพ่อเพื่อแลกเปลี่ยนกันก็คือ ไม่แต่งงานใหม่กับเธอ"
"พ่อไม่จำเป็นต้องแต่งงานอีกครั้งหรอกครับ พวกเราขอร้องท่าน"
"ทั้งๆที่เราขอร้องท่านไม่ให้แต่งงานใหม่ พ่อก็ยังจะแต่งอยู่ดี พวกเราบีบมือท่าน อวยพรให้ท่านโชคดี ไม่ได้ผูกใจเจ็บกัน พวกเราได้รับรู้ว่า ในที่สุดพ่อก็จะได้เคียงคู่กับผู้หญิงที่ท่านรักมาโดยตลอด"
เจ้าชาย Harry อาจเปิดเผยใน documentary ว่า ทั้งพ่อและพี่ชายไม่ได้แสดงท่าทีเต็มใจในการหันมาปรับความเข้าใจเพื่อเยียวยาความสัมพันธ์ แต่เมื่อสื่อได้เปิดเผยเรื่องราวเพียงบางส่วนจาก Spare ก็เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงจนทำให้หลายคนมองว่า มันอาจจะเป็นเรื่องยากเย็นที่พวกเราจะได้เห็นภาพความปรองดองของครอบครัวกลับคืนมาอีกครั้ง