ประสบการณ์ความยากลำบากที่ celeb ต้องแลกกับความโด่งดัง

30 11


ขาดอิสระเพราะต้องวางมาตรการเข้มงวดเพื่อดำเนินชีวิตทุกย่างก้าว

คุณอาจจะจินตนาการ lifestyle ที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ของคนดังระดับ high profile ได้จากเรื่องเล่าที่ชวนตื่นตาตื่นใจ พวกเค้าสามารถใช้เงินเนรมิตความสะดวกสบายอย่างเหนือไปอีกหลายขั้น อย่าง Johnny Depp ที่เดินทางจากบ้านด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อ shopping ในร้านขายของเก่า ไม่เท่านั้น เขาต้องติดต่อให้ผู้จัดการเอื้อความสะดวกด้วยการปิดกั้นพื้นที่ให้เขาสำรวจสินค้าเพื่อจับจ่ายใช้สอยโดยไม่มีใครรบกวน

บางคนฟังแล้วอาจจะพยักหน้ายอมรับกับความ exclusive แต่ก็อาจจะมีรู้สึกแปลกๆ เพราะมันดูเป็นการใช้ชีวิตแบบเท้าไม่ติดดินแม้แต่น้อย ในขณะที่คนดัง Hollywood อีกหลายคนที่ออกไปไหนมาไหนในสถานที่สาธารณะได้เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร สวนสาธารณะ สวนสนุก เทศกาลดนตรี แม้จะตกเป็นเป้าสายตาหรือถูกรุมล้อม แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเค้ายังสามารถใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไปได้ แต่สำหรับคนดังอีกกลุ่ม เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้นานทีปีหนเท่านั้น


แต่แท้จริงแล้ว  การได้รับสิทธิพิเศษนี้อาจจะทำให้คนดังรู้สึกเขาดอิสระที่จะทำอะไรดังใจนึก  เพราะตั้งแต่จะเริ่มก้าวออกจากบ้าน ก็ต้องวางแผนอย่างรัดกุม และมีทีมงานคอยติดตามเสมอ     สำหรับ Johnny Depp  ก็ได้เปรียบเทียบชีวิตเช่นนี้ว่า  เหมือนกับผู้หลบหนี  ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ทำใจให้ชินชากับมันไม่ได้สักที

"การเป็นคนมีชื่อเสียงก็คล้ายกับผู้ลี้ภัย ต้องมีการวางแผนรองรับไปซะทุกความเคลื่อนไหว เดินทางไปโรงแรม ออกจากโรงแรม เดินทางไปร้านอาหาร ออกจากร้านอาหาร"

แม้พระเอกดังจะให้ความสำคัญกับแฟนๆ จนบ้างครั้งเกิดภาพการยื้อยุดกับบอดี้การ์ดคู่ใจที่พยายามปกป้องเขาจากการรุมทึ้งอย่างเต็มความสามารถ ดูเหมือนว่า บอดี้การ์ดจำเป็นต้องใช้ไม้แข็งเพื่อหยุดเขาไม่ให้กระโจนหาแฟนๆที่คลั่งไคล้ แทบจะหอบหิ้วเพื่อหนีจากความชุลมุน แต่นั่นก็เป็นที่เข้าใจได้ Johnny Depp มี fanbase กลุ่มมหึมา ทั้งเด็กๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ทุกเพศวัย เราคงนึกภาพเขาเดิน shopping ในร้านรวงแบบชิลๆไปพร้อมกับลูกค้าคนอื่นไม่ออก เพราะแม้ตอนเหมาพืิ้นที่ร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เหล่าพนักงานก็ปลาบปลื้มและขอร้องถ่ายรูปหมู่ก่อนออกจากร้านไป หากนึกจะแวะร้านใดแบบปุบปับ บรรยากาศก็คงโกลาหลไปด้วยความตื่นเต้นของแฟนๆขึ้นมาทันที

แม้ภายนอกเขาจะดูมนุษยสัมพันธ์ดี และเป็นกันเองกับแฟนๆเสมอ แต่ Johnny Depp ยืนยันว่า จริงๆเป็นคนขี้อายและไม่ได้เข้าสังคมเก่งอย่างที่คนอื่นคิดไว้ เมื่อได้โบกบ้ายมาใช้ชีวิตเงียบๆในคฤหาสน์ชนบทที่หรูหราในอังกฤษ เขาก็พบว่า สามารถเป็นตัวเองได้มากกว่าเดิม เพราะคนอังกฤษจะเคารพในพื้้นที่ส่วนตัว เมื่อเดินในละแวกบ้านก็ทักทายเพื่อนบ้านใกล้เคียงโดยไม่ได้ถูกตามเซ้าซี้







อาจจะมีคนมองว่า การวางแผนตารางชีวิตอย่างรัดกุมนั้นไม่ได้ฟังยากลำบากใดๆ เพราะคนดังชั้นแนวหน้าต่างก็มีทีมคอยดูแลทุกย่างก้าว ใช่ว่าพวกเค้าจะต้องคิดคำนวณทุกอย่างเอง แต่ไม่ใช่ว่า ชีวิตที่เลิศหรูและความ exclusive จะเป็นสิ่งที่เติมเต็มจิตใจได้เสมอไป พวกเค้าอาจจะต้องปิดร้านอาหาร หรือใช้ private area เพื่อพบปะสังสรรค์กัน แต่หากอยากจะปลดปล่อยตัวเองเพื่อลองทำอะไรเหมือนกับคนทั่วไป มันก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญอย่างหนัก (George Clooney เคยเผยว่า รู้สึกโหยหาความสุขเรียบง่ายที่ทุกคนเข้าถึงได้ เขาไม่เคยได้ไป Central Park มาสิบกว่าปี)

หาก Johnny นึกอยากจะไปผับเล็กๆในท้องถิ่น มันก็กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะได้กิน fish and chips เงียบๆ เหมือนกับลูกค้าคนอื่น แต่ต้องใช้เวลาเพื่อทักทายถ่ายรูปหมู่กับสต๊าฟ ถึงพยายามทำตัวเด่นน้อยที่สุด ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เขาก็ต้องมีคนคอยเดินล้อมหน้าล้อมหลัง ภาพปฏิสัมพันธ์ของ Johnny กับ FC นั้นอาจจะชวนอบอุ่นใจ เพราะเขาดูเป็นกันเองอยู่เสมอ แต่อย่าลืมว่า fan culture ย่อมมีความ toxic ที่ทำให้คนดังหวาดผวาอยู่ด้วย ถึงแม้ Johnny จะไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าต้องรับมือกับความคลั่งไคล้เกินเบอร์ของแฟนระดับ die hard มาในรูปแบบใดบ้าง แต่ท่าทางปกป้องที่มี energy แข็งกร้าวของบอดี้การ์ดก็น่าจะอธิบายได้ชัดเจน



ถูกซ้ำเติมเมื่อรู้สึกตกต่ำ

เส้นทางคนดังที่คล้ายว่าไม่เคยขาดแคลนมิตรภาพนั้นอาจจะเปลี่ยวเหงากว่าที่พวกเราคาดไว้ เพราะแม้ว่าจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้าหาพวกเค้า แต่ในยามที่ดำดิ่งกับความทุกข์ หรือทำผิดพลาด ก็ถูกซ้ำเติมจนรู้สึกเจ็บปวดกว่าเดิม

Justin Bieber ได้แชร์ประสบการณ์ไว้ว่า

"แค่จะผ่านวันหนึ่งไปให้ได้มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับผมแล้ว มันทำให้ใจต้องเปลี่ยวหงา ในเส้นทางนี้ คนอื่นมองเห็นแต่ความหรูหราและความยอดเยี่ยมทั้งหลาย แต่พวกเค้ามองไม่เห็นอีกด้านหนึ่ง ชีวิตคนดังสามารถทำให้คุณพังทลาย เมื่อผมได้ดูสารคดีของ Amy Winehouse ก็ถึงกับหลั่งน้ำตา เพราะผมรู้ดีว่าพวกสื่อได้ทำอะไรลงไป พวกเค้าทำร้ายเธอยังไง ผู้คนคิดว่าการล้อเลียนเธอนั้นชวนขำซะเต็มประดา ทั้งๆที่เธอกำลังตกยอู่ในช่วงวิกฤติ พวกเค้ากลับผลักไสเธอให้จนมุมและไม่เหลืออะไรจะโต้ตอบ และนั่นคือสิ่งที่พวกเค้ากำลังทำกับผม"





"ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ตอนที่อยู่ในห้องพักโรงแรม มีแฟนๆรอล้อมรอบ และช่างภาพก็ติดตามไปทุกหนทุกแห่ง จนเกิดความเครียดจัด ไม่สามารถออกไปไหนได้ หรือทำอะไรโดยปราศจากคนอื่นได้เลย ทำให้รู้สึกซึมเศร้า และผมไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"


Justin ได้ถ่ายทอดผลกระทบจากชื่อเสียงความสำเร็จมหาศาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กผ่านเพลง Lonely เนื้อเพลงและMV ตรงกับชีวิตของเขาไม่มีผิด

"มันจะเป็นเช่นไรหากคุณมีทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่กลับไม่มีใครที่จะโทรหาได้"
"ถ้าคุณเคยผ่านมาแล้วก็คงเช้าใจความรู้สึกของผม"
"ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีใครเลยที่คอยรับฟัง"
"และมันช่างเป็นความโดดเดี่ยวเดียวดาย"
"ผมเหงาเหลือเกิน"

"ใครๆต่างก็รู้ว่าผมผ่านอะไรในอดีตมาบ้าง"
"เหมือนกับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเรือนกระจกใส"
"มันอาจจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายไปเพื่อจะมีชื่อเสียงเงินทองตั้งแต่อายุน้อย"
"ใครๆต่างก็รู้ว่าผมเจ็บป่วย แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่มีคนที่ใส่ใจจริงๆ"
"พวกเค้าต่างวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่ผมทำตอนที่ยังเป็นเด็กงี่เง่า"




"ผมเคยตัดสินใจพลาดจนทำเรื่องแย่ๆมาแล้วทุกรูปแบบ  จากที่เคยเป็นศิลปินที่ผู้คนชื่นชมมากที่สุดในโลก กลายมาเป็นคนที่ถูกเย้ยหยัน ถูกพิพากษา และเป็นที่จงเกลียดจงชังมากที่สุดในโลก"

"มันเป็นเรื่องยากที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้า เพราะกังวลว่า มันมีปัญหาทับถมกันไม่สิ้นสุด บางครั้งมันก็ย่ำแย่ไปถึงขั้นที่ไม่อยากจะมีชีวิตต่อไป เพราะเชื่อว่ายังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้"


Justin ได้ค้นพบที่พักพิงทางใจ และคู่ชีวิตที่ทำให้เขารู้ถึงคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ และพยายามปรับปรุงตัวให้เข้ารูปเข้ารอย แต่แม้ว่า ภาพลักษณ์ superstar เจ้าปัญหาจะจางหายไปบ้างแล้ว แต่ชีวิตของเขาก็ยังพัวพันกับดราม่าในโลกออนไลน์ไม่เปลี่ยน




แบกรับแรงกดดันจากความคาดหวังให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ

บท Harry Potter คือโอกาสที่เปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของ Daniel Radcliffe ความสำเร็จของ franchise หนังโลกเวทย์มนต์สุด iconic ได้ตราตรึงใจแฟนๆมาเนิ่นนานนหลายปี แม้ว่าเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่หลายคนก็ยังมองเขาในภาพของ Harry Potter เสมอ ชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายนั้นไม่ได้มาพร้อมกับพลังงานด้านบวกเสมอไป สิ่งที่ฝังใจเขาก็คือ พวกล่าลายเซ็นต์ที่ปะปนมากับแฟนๆ ถึงบางคนจะรักษามารยาทไว้บ้าง แต่ Daniel ที่ยังเป็นเพียงเด็กวัยใสก็เคยถูกโห่และตะคอกใส่จนรู้สึกท้อใจ

แต่เหตุการณ์เหล่านี้ฟังดูไม่ร้ายแรงมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ต้องเจอในช่วงที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่ม เพราะถูกจับผิดตลอดเวลา จึงหันไปพึ่งพาเหล้าให้ลืมความกดดัน ถึงคนรอบข้างจะจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น และคิดว่าเขาเป็น Harry Potter ขี้เหล้า เขาก็ยิ่งดื่มเพื่อให้เลิกกังวลกับสายตาคนอื่น

"สาเหตุของปัญหาคือการตั้งความคาดหวังว่า เราจะต้องม่ีความสุขอยู่ตลอดเวลา เพราะว่างานแสดงไปได้สวย มีฐานะร่ำรวย ไม่มีสิทธิ์ทำเหมือนไม่ตื่นเต้นดีใจกับสิ่งที่มีอยู่ ผมว่ามันคือความกดดันในรูปแบบหนึ่ง   ในใจมันคิดว่า ผมก็มีความรู้สึกเศร้าเสียใจเหมือนมนุษย์ทั่วไปนะ หรือนี่หมายความว่าผมทำไม่ถูก? ผมรับมือกับชื่อเสียงได้ไม่ดีใช่มั้ย?"









ด้วยเหตุนี้ Daniel จึงมองคนที่ประสบชะตาเดียวกันอย่างเข้าใจ "มันไม่ได้มีตัวอย่างให้พวกเราเรียนรู้ว่า เมื่อเข้าวงการตั้งแต่เด็กแล้วจะต้องหาทางรับมือยังไง เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนโจมตี ๋Justin Bieber ตอนที่เขาไปแข่งรถหรือทำอะไรแรงๆ ผมถึงคอยบอกว่า พวกเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เขาอาจจะเผชิญกับปัญหาหนักหน่วงอยู่ก็เป็นได้

"ผมชอบอาชีพของผม แต่สิ่งที่มาพร้อมกับอาชีพนี้คือความมีชื่อเสียง ตอนที่มีคนบอกว่าพวกเค้าอยากเป็นคนดัง ผมกลับคิดว่า การที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักนั้นเป็นเรื่องที่ดีจะตายไป เพราะถึงจะตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง แต่ก็ไม่ต้องกังวลกับภาวะความเสี่ยงจะสูญเสียตลอดเวลา"

Daniel ยังเผยว่า หากลูกของเขาได้เข้ามาตักตวงประสบการณ์ในกองถ่ายนั้นคงเป็นไอเดียที่ดี แต่เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นคนมีชื่อเสียง เพราะมองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด




สมาชิกครอบครัวถูกจับผิดไปด้วย
สถานะคนสาธารณะทำให้หลายคนถือสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ชีวิตคนดังทุกแง่มุม ไม่ละเว้นสมาชิกครอบครัว   หากมีภาพใดที่ไม่ถูกจริต ก็ไม่ลังเลจะพิพากษาจากมาตรฐานตนเอง    เด็กๆในครอบครัว KarJenner อาจจะยังไไม่รู้ตัวว่า พวกเค้าถูกลากมาวิพากษ์วิจารณ์นับครั้งไม่ถ้วน   เมื่อไม่นานที่ผ่านมา   Kylie Jenner ก็ถูกชาวเน็ทรุมกล่าวหาว่า เธอคลั่งความงามสมบูรณ์แบบจนให้ลูกสาวใส่ฟันปลอมอะครีลิคแบบถอดได้      จากการตั้งข้อสังเกตว่า  ฟันของน้อง Stormi ดูสวยเป๊ะเกินไป  ไม่เหมือนกับฟันน้ำนมเด็กเล็กวัย 5 ขวบ

"เธอไม่คิดสักนิดเลยเหรอว่า ลูกสาวของเธอก็สวยแบบที่เธอเป็นอยู่แล้ว"

"ฉันหวังจริงๆว่า Kylie ไม่ได้ให้ลูกวัยแค่นี้ทำทันตกรรมเพื่อความงาม เพราะมันดูน่ารังเกียจมาก"

"เธอยังเป็นเด็กวัยฟันน้ำนมอยู่เลยนะ ไม่เข้าใจเลยว่า Kylie จะอยากให้ฟันของลูกสาวสวยสุดเป๊ะไปทำไมกัน"

"น่าเป็นห่วงลูกเธอจริงๆ โตขึ้นก็ก็จะเอาแต่ห่วงสวยเหมือนแม่ ไม่ยอมสนใจเรื่องที่มีสาระ"

แม้แฟนๆของ Kylie จะชี้ว่า Stormi มีฟันขาวเรียงตัวกันและฟันไม่ห่างอยู่แล้ว และฟันน้ำนมเรียงตัวสวยตรงของเด็ก  ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้    แต่ดูเหมือนคนที่กล่าวหาเธอจะปักใจแล้วว่า  Kylie หมกมุ่นกับรอยยิ้มสมบูรณ์แบบของลูกสาวตัวน้อยจนต้องพึ่งพาทันตกรรมเพื่อความงาม 

หรือจะเป็น Khloe ที่ถูกชาวเน็ทโจมตีมาหลายครั้งว่า เธอใช้ filter ปรับภาพของลูกสาว ไม่ยอมเผยให้ใครเห็นภาพตามธรรมชาติ ดังภาพที่น้อง True มีแก้มชมพูเปล่งปลั่ง

"ฉันรู้สึกแย่แทนลูกๆของเธอ หากพวกเค้าโตขึ้นแล้วอยากจะได้รูปที่ไม่ได้รีทัช ก็คงหมดโอกาส"

"เธอได้ปลูกฝังให้ลูกๆไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะไม่ยอมพอใจในสิ่งที่เป็น"

"น่าเศร้านะ พอโตขึ้น ลูกๆของเธอก็จะสับสน เพราะแม่พยายามเปลี่ยนลุค ไม่ให้เป็นตัวเอง"

"จะแต่งหน้าหรือใช้ filter ก็แย่พอกัน"


คำพูดว่าร้าย Khloe เรื่องสีแก้มลูกสาวอาจจะทำให้คุณงงว่า มันเป็นเรื่องร้ายแรงหรือชวนให้สมเพชต่อชีวิตของเด็กวัยใสจริงหรือ?

ที่ผ่านมา ชาวเน็ทไม่เคยเห็นคนรอบข้างใช้ filter เล็กๆน้อยๆกับคนในครอบครัว หรือปล่อยให้เด็กๆทดลองแต่งหน้าในโอกาสพิิเศษบ้างอย่างนั้นหรืออย่างไร?


หรือเป็นเพราะว่า  ถึงจะเป็นสิ่งที่หลายคนปล่อยผ่านได้ในชีวิตจริง  แต่เมื่อได้เห็นจากครอบครัวคนดัง  ก็กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้?
วิธีการเลี้ยงดูลูกของครอบครัวนี้กลายเป็น topic ที่ชาวเน็ทวิจารณ์แบบ nonstop  บางคนพูดด้วยน้ำเสียงเวทนาว่า ลูกหลานบ้าน KarJenner หมดโอกาสที่จะเติบโตเป็นคนมีคุณภาพ  และคงดำเนินรอยตามแม่ที่คลั่งสวยและโฟกัสกับการขายรูปร่างหน้าตาอันเย้ายวนใจ  รวมถึงกลุ่มคนที่ดูจะสนุกกับการตามจับผิดทักษะความเป็นแม่ของพวกเธอว่า ดูต่ำกว่ามาตรฐานที่เหมาะสมเช่นใดบ้าง    หรือหนักกว่านั้นก็ถูกกล่าวหาว่าเอาแต่โชว์ภาพเซ็กซี่ ไม่ยอมดูแลลูก  โดยเฉพาะ Kim K ที่เผชิญกับ Mom-shaming มาหลายปี  ถึงจะมีภาพที่เธอเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆกับลูกอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด   แต่กลับถูก call out ว่าเป็นแม่ที่เสพติดชื่อเสียง ปล่อยปละละเลยให้ลูกใช้ชีวิตกับพี่เลี้ยง

แต่หากถามว่า  มีชาวเน็ทสักกี่คนที่ได้ไปร่วมใช้ชีวิตจนรู้ดำรู้แดงว่าบ้านนี้เค้าเลี้ยงลูกกันแบบไหน?   ไม่ต้องมีใครตอบก็คงรู้กันอยู่แล้ว    แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พวกเค้าไม่คำนึงแต่อย่างใดว่า  การโจมตีคุณแม่คนดังจะส่งพลังงานด้านลบกระทบไปถึงเด็กๆ  หากสักวันพวกเค้าโตพอจะเข้าถึง social media และค้นพบว่า  ชาวเน็ทมีอคติต่อครอบครัวมากถึงขนาดไหน   ก็เสี่ยงที่จะเกิดความกระทบกระเทือนจิตใจที่ยังไร้เดียงสา

ถูกคนเป็นล้านๆ  bully

Megan Fox พยายามเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ขอบเขตการ bully ที่คนดังจะต้องเจอมันไปไกลขนาดไหน

"ฉันว่ามีหลายคนที่ไม่เข้าใจ พวกเค้าบอกให้พวกเราหุบปากไปซะ เพราะว่าคนดังได้ใช้ชีวิตในบ้านหลังโต และขับ Bentley ชีวิตของเราย่อมแสนดีไปหมดทุกอย่าง แต่ผู้คนไม่รู้จักถึงการมีชื่อเสียง ประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในโรงเรียนมัธยมของคุณอาจจะเกิดจากเด็กสิบคนที่มารุม bully แต่หากมีชื่อเสียง ขอบเขตที่จะถูกกกระทำมันไปถึงระดับโลก คนเป็นล้านๆจะ bully คุณอย่างไม่หยุดหย่อน"




FC ของตัวเองตามไปราวีคนอื่น
พฤติกรรมไม่เหมาะสมของ FC มักทำให้คนดังต้องมัวหมองไปด้วยอย่างยากจะหลีกเลี่ยง  แม้ว่าพวกเค้าจะไม่ได้ยั่วยุให้แฟนๆตามไปล่าแม่มดเป้าหมายที่สร้างความไม่พอใจ    แต่ก็จะถูกมองว่า ควรแสดงความรับผิดชอบต่อการแสดงออกย่ำแย่ของแฟนๆ   อย่างกรณี Selenators ด้อมที่ขึ้นชื่อลือชาว่าหวงศิลปิน ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง เมื่อใดก็ตามที่พวกเค้าตามไปคุกคามคนที่มีเรื่องมีราวกับ Selena   เธอก็ต้องออกมาเรียกร้องให้ FC ยุติการกระทำที่อยู่ตรงข้ามกับอุดมการณ์สนับสนุนความรักและเมตตาที่เธอยึดมั่นมาโดยตลอด   แต่ดูเหมือนว่า คำพูดของตัวศิลปินเองก็ยังไร้ความหมาย  

ล่าสุด Francia Raisa (อดีต?) เพื่อนสนิทที่บริจาคไตช่วยชีวิต Selena จากโรคร้ายได้เล่าเรื่องราวสุดเพลียใจว่า เธอถูกแฟนๆ Selena คุกคาม และความเห็นเกลียดชังก็รุนแรงจนเธอเครียดจัด

"ข้อความที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดน่าจะเป็น ฉันขอให้มีคนล้วงของลับของหล่อนแล้วก็ฉีกไตออกมาซะ นางร่าน!"


มิตรภาพของสองสาวที่ห่างเหินกันไปนั้นกลายมาเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อ Selena เล่าว่า เธอมีเพื่อนเพียงคนเดียวในวงการคือ Taylor Swift ทำให้ผู้คนตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจจะบาดหมางกับ Francia ที่คบหากันมาตั้งแต่ยังเด็ก และตัดสินใจทำเรื่องยิ่งใหญ่ด้วยการสละไตให้เธอ เมื่อ Francia โพสต์ตัดพ้อ และถูก Selena ประชดกลับ ก็ยิ่งทำให้ชาวเน็ทมั่นใจว่าพวกเธอเกิดความขัดแย้งบางอย่างจนไม่สนิทสนมกันเหมือนเดิม ในสายตา Selenators กลุ่มหนึ่ง Francia เป็นเพื่อนประเภทชอบลำเลิกบุญคุณ และสร้างความลำบากใจให้กับไอดอลของพวกเค้า เพราะหลงคิดไปว่า ในเมื่อบริจาคไตให้แล้ว เพื่อนจะติดค้างไปตลอดชีวิต แต่ความจริงไม่มีใครบังคับให้ทำแบบนั้น เมื่อออกอาการไม่พอใจ Selena ออกสื่อ ก็ดูเหมือนคนหิวแสง

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีชาวเน็ทที่รู้สึกแย่กับ Toxic fan culture เพราะแม้แต่ผู้บริจาคไตให้กับ Selena ยังต้องทุกข์ใจกับความเห็นเกลียดชัง


Francia ได้บอกเล่าถึงผลกระทบจาก cyberbullying จากน้ำมือแฟนๆของ Selenaไว้ว่า

"สิ่งที่ฉันจะขอฝากไว้ก็คือ ไม่มีใครที่สามารถยอมรับ bullying ได้ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด โดยเฉพาะ Selena เธอได้ก่อตั้งองค์กรเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิต และฉันคิดว่า Rare Beauty เพิ่งจะจัดอีเวนท์เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตไปไม่นานมานี้ ซึ่งกรณีที่ฉันถูก bully จนสุขภาพจิตเสียไปหมด  สำหรับฉันแล้ว ไม่ควรมีใครอยากเห็นคนอื่นต้องมาถูกกระทำ ทั้งๆเธอออกมาประกาศว่า 'กรุณาหยุดการกระทำนี้ด้วย'แท้ๆ แต่ทำไมมันจึงเกิดขึ้นไม่หยุด"


พฤติกรรมของแฟนๆบางกลุ่มทำให้แฟนน่ารักๆถูกเหมารวมว่าย่ำแย่ไปด้วย  ส่วนด้านคนดังก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน  ถึงจะไม่ใช่คนก่อเรื่อง แต่ก็ต้องมาคอยรับหน้า  อย่างตอนที่ Selena ขอบคุณแฟนๆที่ได้ให้ความรักและสนับสนุน  ซึ่งอยู่ในช่วงที่เกิดดราม่าความขัดแย้งกับ Hailey Bieber และ Kylie  Jenner  ชาวเน็ทที่ไม่ปลื้มเธอและพฤติกรรมของแฟนๆของเธอก็ตั้งข้อกล่าวหาว่า   แทนที่ Selena จะพยายามเตือนให้แฟนๆมีสติ ไม่ใช้พลัง Team Selena คุกคามคนอื่นในโลกออนไลน์  เธอกลับแสดงออกว่าเห็นดีเห็นงามด้วยคำขอบคุณ    ไม่นานต่อมา  เมื่อ Selena ได้รับแจ้งจาก  Hailey ว่าได้รับคำขู่ฆ่าจากแฟนของเธอ   จึงประกาศเตือนให้แฟนหยุด bully  ซึ่งเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งกับจุดยืนของเธอ  แต่บางคนก็ยังเชื่อว่า   Selena จะออกมาพร่ำเตือนกี่ครั้งก็คงลดพลังงานด้านลบจาก fandom ไปไม่ได้


ไม่ค่อยมีเพื่อน

ถึงผลงานดนตรีจะช่วยให้ Billie Eilish จะก้าวสู่เส้นทาง superstar แต่เธอเผยว่า ชีวิตของเธอไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมนัก ถึงเธอจะซื้อบ้านเป็นสมบัติส่วนตัว แต่ก็ยังกลับมากินอยู่ที่บ้านเดิมที่อาศัยกับครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก

"ที่จริง ฉันรู้สึกว่า อะไรๆก็ไม่ได้ต่างไปจากสมัยเด็ก ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ ตอนนี้ฉันไม่มีเพื่อนสักคน"

Billie ขยายความว่า นอกจากบรรดาเพื่อนร่วมงานดนตรีของเธอได้กลายมาเป็นเพื่อนซี้ ก็ไม่ได้คบหากับใครคนอื่น ซึ่งดูแตกต่างจากสาวคนดังวัยใกล้ๆกันที่มักรวมตัวเป็นแกงค์อิทเกิร์ล

 เพราะอะไร  สาวที่ดูเนื้อหอมจึงขาดแคลนเพื่อน?  

Gigi Hadid ได้อธิบายประสบการณ์ที่ต้องเหินห่างจากเพื่อนสนิทหลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังว่า

"มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับมิตรภาพเกิดขึ้นหลายอย่าง มันช่วยทำให้เรียนรู้ได้ว่า มันจะดีกว่าถ้ามีเพื่อนดีๆแค่ไม่กี่คน แทนที่จะเป็นเพื่อนฝูงมากมายก่ายกองแต่คุณไม่แน่ใจในตัวของพวกนั้น ฉันมีเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจ รู้ว่าฉันยังรักพวกเค้า เมื่อฉันเดินทางกลับมาก็จะโทรหากัน แต่หลายครั้ง ฉันก็ติดต่อกลับไม่ได้ เพราะสถานที่ไม่สะดวกนัก"

"ฉันเสียเพื่อนไปหลายคน เพราะฉันจะมีช่วงการทำงานที่ยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้ และพวกเค้าก็ไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อมาหา และถ้าฉันไม่ได้ติดต่อกลับ มันก็ดูเหมือนกับว่า ฉันไม่ใช่เพื่อนคนเดิมอีกต่อไป แค่ตอนนี้เพื่อนๆที่คบกันอยู่ก็ทำให้ฉันสบายใจแล้วค่ะ"


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE