เส้นทางความรักสุด private ของ Taylor Swift
candy 30 11ข่าวลือความรักที่ถึงจุดจบของ Taylor Swift และ Joe Alwyn ย่อมดึงดูดความสนใจจากแฟนๆจนกลายเป็น topic ร้อนในสังคมออนไลน์ เพราะแม้ว่าพวกเค้าพยายามรักษาprivacy ท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็นของชาวเน็ท แต่ก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อกันผ่านผลงานดนตรี และทำให้หลายคนสัมผัสได้ถึงสายใยรักที่ผูกพันแนบแน่นของคู่รักผู้โด่งดัง เกิดเป็นแรงสนับสนุนพวกเค้าพัฒนาความสัมพันธ์ที่จริงจังไปถึงขั้นสร้างครอบครัว รวมถึงเสียงเล่าลือว่าพวกเค้าแอบหมั้นหมายและแต่งงานกันอย่างลับๆ แต่ล่าสุด สื่อหลายเจ้าต่างยืนยันข้อมูลจาก 'แหล่งข่าววงใน' ว่าเส้นทางความรัก 6 ปีของ superstar สาวและพระเอกหนุ่มอังกฤษได้สิ้นสุดลง ไม่ต้องสงสัยว่า ข่าวนี้จะปลุกเร้าผู้คนให้ตามขุดคุ้ยและใช้ทฏษฎีต่างๆเพื่ออธิบายความสงสัยในต้นสายปลายเหตุของการเลิกรา
พัฒนาการความสัมพันธ์แบบ low profile
นับตั้งแต่แจ้งเกิดจนโด่งดังในวงการในฐานะเจ้าหญิงเพลง country วัยทีน เรื่องราวชีวิตรักของ Taylor วนเวียนปรากฏบนหน้าข่าว tabloid และเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มามากมายหลายครั้ง ข่าคราวความสัมพันธ์ที่สาธารณชนจับจ้องซึ่งธอใช้เป็น source เพื่อสร้างสรรค์ผลงานดนตรีทำให้เธอถูกกล่าวหาเสียๆหายว่า เป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งผู้ชายให้อยู่เคียงข้างได้ ซ้ำร้ายยังเจอเรื่อง slut-shaming ว่าเป็นพวกเปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ด้อยค่าทักษะทางการแต่งเพลงของเธอว่าเป็นเพียงวิธีสร้างกระแส (แน่นอนว่า เธอใช้ความคับแค้นใจมาเขียนเพลงเสียดสีกลับได้อย่างเจ็บแสบและประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายมาแล้ว)
แต่กระแสโจมตี Taylorในเรื่องชีวิตรักเริ่มเบาบางลงไป เมื่อเธอได้เริ่มต้นคบหาดูใจกับ Joe Alwyn พระเอกชาวอังกฤษแห่ง The Favourite แฟนๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือความแตกต่างที่ไม่เคยเกิดกับ Taylor มาก่อน เรื่องราว romance ที่สร้างกระแสในโลกออนไลน์จนเป็นไวรัลมาหลายครั้งดูนิ่งสงบลง ไม่ว่าสื่อจะพยายามเค้นข้อมูลจากฝ่ายชายมากเท่าไร เขาก็บอกปัดอย่างสุภาพ ส่วนตัวศิลปินสาวชื่อก้องโลกได้ยืนยันว่า เธอขอขีดเส้นกั้นไม่ให้ผู้อื่นได้เข้าถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว เพราะต้องการจัดการชีวิตของตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย
"ฉันได้พบว่าหากได้ปริปากพูดเรื่องความสัมพันธ์ออกไป คนอื่นๆจะถือว่าพวกเค้าจะเอาไปวิจารณ์ยังไงก็ได้ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนอื่นคอยวิจารณ์กัน
เธอได้เผยความรู้สึกผ่านสารคดี Miss Americana ถึงความรักครั้งนี้โดยไม่ได้ระบุชื่อฝ่ายชายว่า อธิบายว่า เขาได้เข้ามาให้เธฮมีความสุขหลังจากที่ต้องนับมือกับช่วงเวลาที่ย่ำแย่จากชีวิตที่โลดแล่นท่ามกลาง spotlightและการจับผิดของผู้นคน
"ฉันได้ตกหลุมรักใครคนหนึ่งที่ดำเนินชีวิตด้วยความปกติสุข เป็นชีวิตที่มีเสถียรภาพและติดดิน เราได้ตัดสินใจร่วมกันว่าเราอยากจะรักษาความสัมพันธ์ให้เป็นส่วนตัว"
ภาพของ Taylor ที่ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ กับคนรักหนุ่มที่อังกฤษได้สร้างความประหลาดใจให้กับชาวเน็ทที่คุ้นเคยกับเรื่องราวความรักแบบ high profile ของเธอ จาก lifestyle สุดเลิศหรูแบบฉบับ superstar พวกเค้าเช่าแฟลตที่ย่านหรูใน London และควงคู่ไปตามสถานที่ต่างๆ คล้ายกับคู่รักทั่วไป (แตกต่างที่ต้องมีการ์ดคอยประกบเพื่อรักษาความปลอดภัย) เธอยอมรับว่า ความสัมพันธ์ครั้งนี้ทำให้เธอสัมผัสกับการใช้ชีวิตแบบปกติขึ้นมาบ้าง
"ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตให้เหมือนกับเป็นชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่ได้เป็นเพียงหัวข้อข่าวที่ถูกกล่าวขวัญบนแทบลอยด์"
"ฉันจะกำหนดเรื่องที่อยู่อาศัย จะคบหาพบปะกับใครบ้าง ตอนไหนที่จะไม่ยอมให้ถูกถ่ายภาพ ถ้าจะให้ชี้แจงแนวคิดการรักษาความเป็นส่วนตัวอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ฉันก็แค่พยายามจะไขว่คว้าหาสิ่งที่เป็นปกติเท่านั้น"
Joe กับสถานะ muse boyfriend
Taylor สร้างผลงานที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายจากการใช้ประสบการณ์ความรักเป็น material นับตั้งแต่อัลบั้ม reputation แฟนๆต่างมั่นใจว่า เธอกำลังอินเลิฟสุดๆกับคนรักใหม่ที่ช่างแตกต่างไปจากผู้ชายทุกคนที่เธอเคยคบหา จากเนื้อเพลงที่ชี้ชัดว่า เธอหลงไหลหนุ่มตาสีฟ้าดุจท้องทะเลคนนี้มากแค่ไหน ยิ่ง Taylor ได้เปิดเผยว่า Joe คือนักแต่งเพลงที่ใช้นามแฝงว่า William Bowery ร่วมสร้างสรรค์ผลงานด้วยกันติดต่อกัน 3 อัลบั้ม (และยังร่วมครองรางวัลอัลบั้มแห่งปีจากเวที Grammyด้วยกัน) ก็เหมือนกับการยืนยันว่า เขาคือ muse คนสำคัญของเธอ
รายละเอียดในการร่วมทำงานดนตรีด้วยกันกับ Taylor ดูจะเป็นเพียง topic ที่ Joe ยอมเปิดเผยกับสื่อ เขาเล่า ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจที่ตัวเองได้กลายมาเป็น muse ที่คนรักสาวนำมาใช้ร้อยเรียงบทเพลง แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเกิดปลาบปลื้ม
แม้จะไม่ได้บรรยายความรู้สึกออกสื่อมากนัก แต่เพียงมองจากภายนอกก็ทำให้หลายคนเชื่อว่า พวกเค้าช่างเป็นคู่สร้างคู่สม เป็นครั้งแรกที่ Taylor ได้มีความสัมพันธ์ยาวหลายปีโดยไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก social media หนักหนาเหมือนประสบการณ์ความรักในอดีต และข่าวลือเรื่องการหมั้นหมายก็แพร่ะพัดออกมา แฟนๆของเธอพยายามตีความข้อมูลจากบทเพลงและภาพที่ปรากฏใน MV เพื่อยืนยันความเชื่อว่า คู่รักสุด private ได้เลื่อนสถานะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวกันแบบลับๆ
แต่เนื้อเพลง Lavender Haze กลับดูฟังดูย้อนแย้งกับข่าวลือเหล่านี้
"
Taylor อธิบายว่า Lavender Haze หรือม่านหมอกสีลาเวนเดอร์คือคำพูดที่ใช้เปรียบเปรยอาการอินเลิฟที่ใช้กันในยุค 50s แต่สำหรับยุคแห่ง social media เมื่อผู้คนเห็นว่าเธอกำลังมีความรัก ก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่างๆนานา ในขณะที่พวกเค้าพยายามเมินเฉยต่อข่าวลือประหลาดๆ เพลงนี้จึงสื่อถึงความหวงแหนพื้นที่ในหมอกลาเวนเดอร์ไม่ให้ถูกล่วงล้ำด้วยคำวิจารณ์ให้เสียความรู้สึก
แต่เนื้อเพลงที่ชี้ว่า ผู้คนเอาแต่ตัดสินเธอในรูปแบบเดิมๆ มองว่าเป็นผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืน หรือเป็นได้เพียงเจ้าสาวหรือภรรยาเท่านั้น คนเหล่านั้นเอาแต่รุมถามเธอว่า เมื่อไรจะะแต่งงานกับคนรักหนุ่มสักทีจนเกิดความกดดัน ซึ่งโทนเสียงของเพลงนี้ได้แปรเปลี่ยนไปจากอัลบั้ม Lover ที่นำเสนอบทเพลงที่บรรยายถึงความสัมพันธ์ที่มั่นคงและการแต่งงาน แม้อัลบั้มนี้จะมีเพลงน่ารักๆ อย่าง Sweet Nothing ที่ พวกเค้าช่วยกันสร้างสรรค์ขึ้นมา แต่เพลงอื่นกลับฟังเป็นเพลงที่ใช้ break up theme หรือจะเป็นเพลงอื่นที่่ฟัังแล้วเหมือนกับ break up theme นั่นทำให้หลายคนฉุกคิดว่า หรือ Taylor รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องถูกบีบให้ตอบว่าเมื่อไรจะสละโสด? หรือเป็นเพราะว่าความรักของเธอได้จืดจางลงไปแล้ว ??
แฟนๆเสาะหา Easter Eggs บอกใบ้เรื่องรักร้าว
หลังจากสื่อหลายเจ้าได้ยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวคนใกล้ตัวของทั้งสองว่า พวกเค้าปิดฉากความสัมพันธ์หกปีไปแล้ว (บางคนอนุมานว่า แหล่งข่าวคนใกล้ตัวที่ว่าคือ ผู้ทำหน้าที่ represetative ที่ไม่ต้องการประกาศชื่อนั่นเอง) กิจกรรมตามหา Easter Eggs ก็เกิดขึ้น! ในเมื่อ Taylor คือศิลปินที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการทิ้งคำใบ้ไว้ใน MV และบทเพลงให้แฟนๆ ช่างสังเกตได้วิเคราะห์เจาะลึก พวกเค้าต่างคาดเดาว่า จะต้องเจอร่องรอยบางอย่างที่จะนำไปสู่คำตอบของเรื่องราวความรักของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นท่าทางที่เศร้าสร้อยระหว่างการแสดงคอนเสิร์ตในเพลง Champagne Problems ที่เธอร่วมแต่งกับJoe หรือการเปลี่ยน list เพลง Invisible String ที่บรรยายถึงความผูกพันของคนรักที่สามารถเยียวยาจิตใจจากความเจ็บปวดในอดีต มาเป็นเพลงThe 1 ที่พร่ำเพ้อถึงความรักครั้งเก่า แม้แต่เสื้อพิมพ์ประโยคจากเพลงดัง We Are Never Ever Getting Back Together ก็ถูกตีความว่าเป็นการส่งสารฟาดฟันไปที่ Joe อย่างหนักหน่วง
ในขณะที่หลายคนมั่นใจว่า นี่ต้องเป็นการส่งสัญญาณจาก Taylor อย่างแน่แท้! แต่สิ่งเหล่านี้คือการแสดงออกเพื่อบอกใบ้ถึงความสัมพันธ์ที่แตกสลาย หรือว่าเป็นเพียงจินตนาการของชาวเน็ทกันแน่?
นั่นเป็นเพราะว่า Taylor เคยเปิดเผยแรงบันดาลใจของผลงานอัลบั้มล่าสุดว่ามีที่มาหลายอย่างด้วยกัน เธออาจจะนำเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองมาเป็นวัตถุดิบชั้นดีสร้างสรรค์ผลงานดนตรีหลากรสชาติมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผลงานของเธอจะต้องหมุนวนรอบตัว Joe ไปซะหมด
ส่วนการตีความจากภาษาร่างกายและการแสดงสีหน้าของเธอระหว่างการแสดงบนเวที ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ชวนแตกตื่นกันถึงขนาดนั้น เพราะศิลปินก็ต้องถ่ายทอดความอารมณ์สอดคล้องกับบทเพลงกันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจที่จะได้เห็น ท่าทางหม่นเศร้าของ Taylor ระหว่างที่ขับร้องเพลงบัลลาดอกหักรักสลาย แฟนๆที่ได้ไปชม The Eras Tour ยืนยันว่า เมื่อขับร้องเพลงที่ปลุกอารมณ์สนุกสนานเร้าใจ Taylor ก็มาพร้อมกับ energy สดใสเกินร้อย ไม่ได้มีลักษณะของคนอกหักช้ำรัก หรือเจ็บปวดจนเก็บงำความรู้สึกไว้ไม่อยู่เหมือนกับที่หลายคนเม้ามอย
ทฤษฎีสาเหตุการเลิกราที่ผุดขึ้นมาในโลกออนไลน์
- Joe พยายามยกระดับความสัมพันธ์ให้จริงจังถึงด้วยการแต่งงาน แต่ Taylor ไม่พร้อม จากเนื้อเพลง Midnight Rain ที่บรรยายถึงฝ่ายชายที่ต้องการเจ้าสาวและชีวิตที่สงบสุข แต่ฝ่ายหญิงต้องการชื่อเสียงและความก้าวหน้าแม้จะแลกกับความเจ็บปวด ทำให้เธอต้องจากมาจนทำให้เขาเจ็บปวด
- ในทางกลับกันก็มีเสียงถกเถียงว่า Taylor น่าจะอยากจะแต่งงานมาก ในขณะที่ Joe ไม่คิดจะสร้างครอบครัวในตอนนี้ ส่วนอดีตคนรักของ Taylor อย่าง Tom Hiddleston, Joe Nonas และ Calvin Harris ต่างก็หมั้นหมาย แต่งงานและมีลูกกันไปแล้ว ส่วนเพื่อนสาวของเธออย่าง Gigi Hadid, Emma Stone, Blake Lively ต่างมีความสัมพันธ์จริงจังและกลายเป็นคุณแม่ ทำให้เธอท้อถอยกับความสัมพันธ์ที่ไม่เลื่อนระดับไปถึงขั้นร่วมชีวิตสร้างครอบครัวด้วยกัน
- เนื้อเพลง Bigger Than The Whole Sky ทำให้หลายคนเชื่อว่า Taylor ผ่านประสบการณ์การแท้งบุตรที่แสนเจ็บปวด และความโศกเศร้าจากความสูญเสียได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อความสัมพันธ์จนไม่สามารถไปต่อ (นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของชาวเน็ท Taylor ไม่เคย confirm เรื่องตั้งครรภ์แล้วแท้งแต่อย่างใด)
- ทฤษฎีสมคบคิดเรื่อง Taylor ปกปิดตัวตนที่เป็นเลสเบี้ยนไว้ก็ยังไม่หายไปไหน บางคนฟันธงว่า Taylor ใช้ความสัมพันธ์จอมปลอมกับพระเอกหนุ่มไว้บังหน้า แต่ความจริงเธอแอบคบหากับผู้หญิงด้วยกัน ทั้งๆที่ Tay คบหากับ Joe มาถึงหกปี ทั้งเช่าบ้านอยู่ด้วยกันและติดตามไปให้ให้กำลังใจเขาในกองถ่ายหนังที่ต่างประเทศ รวมถึงถูกติดตามถ่ายภาพตอนใช้เวลาตามประสาคู่รักแบบส่วนตัวด้วยกัน แต่ก็ยังมีคนมองอย่างไม่เชื่อถือ โดยเฉพาะคนที่ ship เธอกับเพื่อนสาว Karlie Kloss แม้ว่าอีกฝ่ายแต่งงานมีลูกเต้าไปแล้ว แต่ชาวเน็ทเหล่าน้้นก็ยังปักใจว่าพวกเธอแอบรักกันอยู่
แฟนๆอีกกลุ่มยืนยันว่า นี่คือ fake news!
ในขณะที่มีเสียงถกเถียงทั่ว social media ถึงสาเหตุของความรักที่ปิดฉากลงไป และมั่นใจว่า แหล่งข่าววงในที่สื่อดังหลายเจ้าเอ่ยถึงหนีไม่พ้นทีม PRแต่ยังมีแฟนๆจำนวนไม่น้อยที่ประกาศว่า หากไม่มีคำยืนยันจากทั้งสองคน ก็จะไม่ยอมรับว่าพวกเค้าเลิกกันไปแล้ว ชาวเน็ทกลุ่มนี้ได้นำเสนอทฤษฎีหักล้างว่า
- ที่ผ่านมาบรรดาสื่อพยายามขายข่าวลวงของคู่นี้มาตลอด เดี๋ยวก็บอกว่า Taylor ตั้งครรภ์ เดี๋ยวก็บอกว่าพวกเค้าแอบเข้าพิธีวิวาห์ แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงสักที ข่าวแยกทางจึงฟังไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
- Taylor เคยปล่อยเพลงที่มีเนื้อหาอกหักรักสลายในอัลบั้ม Folklore ทำให้แฟนๆ เป็นห่วงเป็นใยว่าเธอกำลังประสบปัญหาความสัมพันธ์หรือไม่ แต่กลายเป็นว่า มันเป็นบทเพลงที่เธอเขียนขึ้นมาระหว่าง quarantine โดยที่มี Joe อยู่เคียงข้าง และเขาก็ร่วมเขียนบางเพลงกับแฟนสาว superstar ซะด้วย จากนั้นพวกเค้าก็ยังอยู่ด้วยกันเสมอ มันได้ชี้ชัดว่า เนื้อเพลงเศร้าๆไม่ได้เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงเสมอไป เธออาจจะเขียนเพลงจากประสบการณ์ของคนใกล้ตัวหรือเรื่องราวความสัมพันธ์เก่าก่อน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตรักของเธอกับ Joe
- หลายคนยังเชื่อว่า Taylor อาจจะเลือกปล่อยข่าวนี้เพื่อปกป้องความสัมพันธ์ที่เธอหวงแหน เพราะเมื่อคนอื่นเข้าใจว่าพวกเค้าเลิกรากันแล้ว ก็จะไม่ถูกตามจับผิดให้เหนื่อยหน่ายใจอีก
- บ้างก็บอกว่า นี่อาจจะเป็นยุทธการ PR stunt เพื่อกระต้นกระแสความสนใจไปยังผลงานดนตรีในระหว่างเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต หลายเพลงของเธอมียอด streaming สูงขึ้น และแน่นอนว่าจะต้องมีเพลงที่แฟนๆเชื่อกันว่าเธอกำลังบรรยายความรู้สึกที่มีต่อ Joe (เพลง Cornelia Street มียอด streaming เพิ่มขึ้นถึง 106%)
- คำกล่าวอ้างจากสื่อที่ว่า Joe ไม่ยอมมาให้กำลังใจเธอที่คอนเสิร์ตเพราะเพิ่งจะเลิกกันไปไม่กี่สัปดาห์นั้นมีคำอธิบายชัดเจน เนื่ิองจาก Joe กำลังถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ที่ฮังการี เขาย่อมไม่มีเวลาว่างพอจะคอยเกาะติดคนรักที่เดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตตามเมืองต่างๆ
เป็นอีกครั้งที่สื่อพยายามโทษความสำเร็จของฝ่ายหญิงว่าเป็นต้นเหตุปัญหาความสัมพันธ์
ปัญหาความสัมพันธ์ของคู่รักคนดังที่ฝ่ายหญิงประสบความสำเร็จในอาชีพการงานจนถูกยกให้เป็นดาราศิลปินชั้นนำในวงการและมีชื่อเสียงเงินทองมากกว่าฝ่ายชาย มักจะถูกสื่อจับมาเชื่อมโยงหาสาเหตุในรูปแบบ 'หญิงข่มชาย' ดังกรณีของอดีตคู่รักแห่ง Hollywood อย่าง Reese Witherspoon & Ryan Phillippe, Uma Thurman & Ethan Hawke, Mariah Carey & Nick Cannon เมื่อเธอได้พบรักกับ Joe ก็หนีไม่พ้นถูกเม้าว่า ความโด่งดังระดับ superstar ของเธอคืออุปสรรคสำคัญของความรัก
DailyMail แทบลอยด์ทรงอิทธิพลจากอังกฤษได้อ้างแหล่งข่าววงในไว้ว่า
"เหตุผลสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเค้าเกิดอุปสรรคก็คือ การงานของ Taylorก้าวหน้าไปมากกว่า Joe ซึ่งมันก่อตัวเป็นความอึดอัดคับข้องใจสำหรับคู่รักที่ความสำเร็จทางอาชีพไม่ทัดเทียมกัน มันทำให้พวกเค้าค่อยๆห่างเหินกันและในที่สุดก็ได้ค้นพบว่า พวกเค้าไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกต่อไป ในช่วงเวลาหกปีที่ผ่านมา สำหรับ Joe ที่พยายามสร้างชื่อเสียงใน Hollywood แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จจากภาพลักษณ์ของนักแสดงนำ มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่คบหาดูใจกับผู้หญิงที่โด่งดังมากที่สุดในโลก"
ส่วนสื่อฝั่งอเมริกา นิตยสาร People ชี้ว่า
" Joe ลำบากใจกับความโด่งดังของ Taylor ที่ทำให้ตกเป็นเป้าความสนใจ อุปนิสัยที่แตกต่างกันกลายมาเป็นสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ จนพวกเค้าค่อยๆเหินห่างกันไปหลังจากที่คบกันมาหลายปี"
Us Week ได้นำเสนอไปในทางที่สอดคล้องกันว่า
"ความโด่งดังคือปัจจัยที่นำไปสู่การเลิกรา Joe มีนิสัยขี้อายมาก และไม่ปลื้มกับความสนใจที่หลั่งไหลเข้ามาเมื่อเขามีความสัมพันธ์กับศิลปินหญิงที่โด่งดังที่สุดในโลก" และแม้เขาจะไม่ได้โทษว่า Taylorมีส่วนผิดที่เป็นได้ประสบความสำเร็จจนได้รับความนิยมสูงลิบลิ่ว แต่เขาก็ไม่ชอบใจที่ต้องถูกจับจ้องตลอดเวลา
เหตุผลเหล่านี้ฟังดูย้อนแย้งกับท่าทีของสื่อในช่วงหกปีที่ผ่านมา แทบลอยด์ต่างชื่นชมที่คู่นี้ที่ประคับประคองความรักแบบ low profile โดยที่ไม่คอยจับผิดเรื่องชื่อเสียงและความสำเร็จทางอาชีพที่ไม่ balance กัน แต่เมื่อมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าพวกเค้าตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ ประเด็นนี้กลับถูกยกมาเป็นสาเหตหลักที่ทำให้ไปต่อไม่ได้
โดยเฉพาะสื่อเจ้าแรกที่บรรยายเรื่องราวเหมือนกับจะชี้ว่าฝ่ายชายไม่สามารถทำใจยอมรับและยินดีกับความสำเร็จของคนรักได้เพราะมีอีโก้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Taylor ต้องเผชิญกับข่าวลือเช่นนี้ หลายปีก่อน ช่วงที่เธอแตกหักกับแฟนหนุ่ม Calvin Harris สื่อก็ปล่อยข่าวออกมาตอกย้ำว่า DJ ชื่อดังอิจฉาในความสำเร็จของเธอและรู้สึกเหมือนกับถูกข่มให้ดูด้อยกว่าอยู่เสมอจนนำไปสู่ความขัดแย้ง
ข่าวลือประเภทนี้ไม่ต่างจากจากการเหมารวมว่า หากผู้หญิงโด่งดังมีชื่อเสียงเงินทองมากมายกว่าหนุ่มคนรัก มันก็อาจจะกลายเป็นคำสาปหรือเรื่องต้องห้าม ในที่สุดแล้วก็จะสร้างรอยร้าวจนไม่สามารถประสานกลับคืนมา
(อย่างไรก็ตาม ยังมีคู่รัก Hollywood ที่ได้พิสูจน์แล้วว่า ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงและสถานะทางเงินสูงกว่าคนรักก็สามารถดำเนินความสัมพันธ์ที่ยืนยาวได้เช่นกัน)
Swifties ไปแสดงความเศร้าใจที่อพาร์ทเมนท์เก่าของ Taylor ที่ Cornelia Street
ความเคลื่อนไหวของ FC ที่ทำให้งุนงงไปทั่วโลกออนไลน์ก็คือ กลุ่มวัยรุ่นที่นำดอกไม้ไปวางไว้อาลัยหน้าอพาร์ทเมนท์ที่พำนักเดิมของ superstarสาวที่ตั้งอยู่บน Cornelia Street แม้จะเป็นการนำเสนอผ่านอารมณ์ขัน แต่ก็เริ่มมีคนทำตามกันมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ปรากฏตอนที่เธอแยกทางกับอดีตแฟนคนอื่นๆ คำอธิบายถึงภาพที่แปลกประหลาดเหล่านี้ก็คือ Swifties กลุ่มนี้มองว่า Taylor และ Joe คือคู่รักที่เหมาะสมกันเป็นที่สุด จึงต้องร่วมแสดงความอำลาอาลัยความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ!
แม้หลายคนจะจะมองว่า นี่คือการแสดงออกด้วยอารมณ์ขัน และสร้าง content ในรูปแบบแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็มีเสียงเตือนว่า You Need To Calm Down! แม้แต่ Swifties หลายคนก็ยอมรับว่า นี่เป็นเรื่องที่น่าอายแทนมากกว่าจะสร้างความภูมิใจ และไม่ต้องการให้ข่าวนี้มาแย่งซีนทัวร์คอนเสิร์ตที่Taylor ทุ่มเทสุดตัว เพราะแทนที่จะโฟกัสถึงความสามารถของเธอ ชาวเน็ทก็หันมาล่า Easter Eggs และจับผิดทุกอากัปกิริยาบนเวที
พวกเราจะได้ยินการคำแถลงการณ์ชี้แจงจากคู่รักคนดังรึเปล่า?
เห็นทั้งสองคนยึดมั่นในการรักษาความเป็นส่วนตัวขนาดนี้ ขอเดาว่า พวกเค้าอาจจะเลือกนิ่งเงียบและปล่อยให้กระแสข่าวซาลงไปเอง ส่วนคำถามว่า เลิกหรือไม่เลิก? อีกไม่สักพักก็คงมีบางอย่างที่ช่วยเฉลยให้หายข้องใจ ส่วนบรรดาทฤษฎีต่างๆที่ชาวเน็ทวิเคราะห์และพยายามแกะรอยหา Easter Eggs มาปะติดปะต่อความเชื่อ อาจจะต้องรอฟังการถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านผลงานอัลบั้มต่อไปของ Taylor น่าจะกระจ่างกว่าคาดเดากันไปเอง