เจาะความหมาย Gaslight จาก scandal คนดัง

30 11

ข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการ K -Pop ในขณะนี้ย่อมหนีไม่พ้น Lucas Wong ประกาศถอนตัวจากวง NCT และ WayV หลังจากที่เส้นทางอาชีพบันเทิงที่กำลังรุ่งโรจน์ต้องชะงักงันเรื้อรังมาราวๆสองปี ซึ่งต้นเหตุเริ่มมาจาก users ทาง social media ได้อ้างว่า เธอคืออดีตคนรักที่ต้องทนทุกข์ใจกับพฤติกรรม Gaslighting ของไอดอลหนุ่มผู้โด่งดัง และหลังจากนั้น ก็ยังมีผู้หญิงอีกคนก็ได้เผยว่า เธอเคยผ่านประสบการณ์เดียวกัน และเชื่อว่า นอกจากพวกเธอจะถูกปั่นหัวหลอกใช้จนเจ็บฝังใจ ยังถูกคบซ้อนโดยไม่รู้ตัว





ภาพลักษณ์ดีงามจากการรักษาศีลธรรมจรรยาคือสิ่งสำคัญล้นเหลือของวงการนี้   ผู้คนต่างคาดหวังให้ศิลปินแสดงความสมบูรณ์แบบทุกแง่มุม  หากก้าวหลุดออกจากกรอบแม้แต่นิดก็เสี่ยงตกเหวไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด     แม้แฟนๆจำนวนมากจะมีความเชื่อว่า Lucas อาจจะตกเป็นเหยื่อของการใส่ร้ายป้ายสี และพยายามหาข้อมูล ตั้งข้อสังเกตเพื่อหักล้างคำพูดของผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นอดีตคนรักของเขา รวมทั้งผู้ที่ขอวางตัวเป็นกลางเพื่อรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนกว่า he said, she said   เพื่อจะยืนยันว่า scandal นี้เกิดขึ้นจากการปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อทำลายอนาคตของศิลปินมีชื่อเสียง หรือเขามีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจตามที่ถูกกล่าวหาจริงๆ   แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ประกาศว่า  แม้จะเคยเป็น FC มาก่อน ก็ขอหันหลังให้ไม่หวนกลับไปชื่นชมหลงไหล Lucas อีก  และคนที่แสดงออกว่าเป็น hater เต็มขั้น   เมื่อได้เห็นประเด็นฉาวของ Lucas ก็ไม่ลังเลใจเข้าไปร่วมฟาดหนักๆ


เมื่อเจ้าตัวได้ประกาศขอโทษจากพฤติกรรมในอดีต แต่เห็นได้ชัดเจนว่า เนื้อหาของแถลงการณ์มาจากการใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง ซึ่งเป็นแพทเทิร์น PR เกาหลีที่พวกเราคุ้นเคย เขาไม่ได้ระบุว่าอยากจะขอโทษใครอย่างเจาะจง แม้จะขอโอกาสเพื่อจะพูดขอโทษกับผู้ที่ต้องเจ็บปวดจากพฤติกรรมที่ผิดพลาดด้วยตัวเขาเอง แต่ Lucas ไม่ได้อธิบายว่า ข้อกล่าวหาที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์นั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพียงแต่ขอเวลาเพื่อไปใคร่ครวญถึงพฤติกรรมของตัวเอง และยืนยันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก ถึงแถลงการณ์ของศิลปินและต้นสังกัดจะเต็มไปด้วยความนอบน้อม ดูสำนึกผิดที่สร้างความกังวลใจให้กับแฟนๆ แต่ตกลงผิดเรื่องอะไร? ผู้คนยังอยู่ภายใต้เมฆหมอกความคาใจต่อไป


ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา netizens ได้แบ่งแยกความคิดเห็นกันเป็นสองฝักฝ่าย

นั่นคือ...
กลุ่มที่เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับ Lucas เพราะเชื่อมั่นว่า เขาคือผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี และไม่เชื่อถือหลักฐานที่อ้างอิงข้อกล่าวหาของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันคนรัก การหว่านล้อมให้ฝ่ายหญิงรับผิดชอบค่าใช้จ่าย หรือหากปฏิบัติกับอดีตคนรัก และพฤติกรรมคบซ้อน
ส่วนอีกกลุ่มโอนเองไปเชื่อถือข้อมูลจาก users ที่อ้างว่าเป็นเหยื่อ  และเป็นไปได้ว่า พวกเธอจะเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Lucas จากหลักฐานคลิปเสียง  รูปถ่าย   ข้อความแชท และการบอกเล่าข้อมูลที่ดูสอดคล้องกัน

แม้ว่าช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะเกิดข่าวลือหนาหูว่า เมื่อกระแส scandal เริ่มเบาบางลง Lucas จะได้หวนคืนสู่วงการ หลังจากที่ต้องเผชิญมรสุมจนชื่อเสียงมัวหมองมาสองปี เมื่อบอสแห่ง SM Entertainment ถ่ายรูปคู่กับเขาด้วยบรรยากาศแบบสบายๆ ก็ทำให้แฟนๆ ที่เฝ้ารอผลงาน come back ต่างตื่นเต้นดีใจ เพราะมันเปรียบกับสัญญาณไฟเขียวจากผู้ใหญ่เพื่อสนับสนุนเขาต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน ชาวเน็ทจำนวนไม่น้อยก็ออกอาการรับไม่ได้หาก Lucas จะคว้าโอกาสเพื่อกลับมาสร้างความโด่งดังอีกครั้ง ทั้งๆที่ยังไม่เคลียร์ตัวเองจากข้อกล่าวหาใช้เสน่ห์ล่อลวงหญิงสาวให้มาติดกับความสัมพันธ์ toxic เพื่อตอบสนองความใคร่และใช้ประโยชน์จากพวกเธอ



trending ในไทย  หลายคนออกปากว่าถูกเบิกเนตรเข้าไปเต็มๆ

หากสำรวจกระแสตอบรับจาก Tnetizens  ก็จะได้เห็นคำว่า  'เบิกเนตร' หลายครั้งเลยทีเดียว   หลายคนยอมรับว่า  ที่ผ่านมาปิดหูปิดตาไม่รับฟังข้อมูลจากฝั่ง users จีนและเกาหลีที่ระบุว่าเป็นเหยื่อที่ถูก Lucas ปั่นหัว เพราะเชื่อว่าเป็น fake news ที่ไม่เนียนจนถูกจับโป๊ะ แต่เมื่อมีผู้เรียบเรียงและแปลข้อความให้เกาะติด ก็ถึงกับตาสว่างขึ้นมา  และยังเตือนคนอื่นให้มีสติกันได้แล้ว!   แบ่งฝักฝ่ายกับกลุ่ม loyal fans ที่ยังแสดงเจตนารมณ์เชื่อใจเขาไม่แปรเปลี่ยน  

** ตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิด scandal มีผู้สันนิษฐานวา ภาพส่วนตัวของ Lucas ขณะนอนหลับหรือนั่งชิลที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานความสัมพันธ์ อาจจะมาจากฝีมือสต๊าฟในหอแอบถ่ายไอดอลแล้วนำมาขายคนนอก  หรือ Timeline เหตุการณ์ที่ผู้กล่าวหายกมาไม่สอดคล้องกับตารางงานของเขา  
ท่ามกลางเสียงถกเถียงในโลกออนไลน์ว่า แท้จริงแล้ว Lucas คือผู้ร้ายตัวจริงหรือไม่? หรือเขาอาจเป็นคนที่เคยทำผิดพลาดและควรได้รับโอกาสให้พิสูจน์ตัวเอง?  ฝ่ายต้นสังกัดยักษ์ใหญ่ที่เคยได้รับการเรียกร้องจากแฟนๆ ให้แสดงความชัดเจนเกี่ยวกับ project ในอนาคตของ Lucas ก็ได้แถลงการณ์  Lucas แยกตัวจากวง NCT และ WayV เพื่อเดินหน้าใหม่เพื่อผลงานแบบเดี่ยว  ทำให้ FC ของเขารู้สึกช็อค    แต่ที่ผ่านมา ก็เคยมีผู้ตั้งคำถามมาแล้วหลายครั้งหลายหนถึงความเป็นไปได้ที่ Lucas จะกลับมาร่วมวง NCT และ WayV   บางคนชี้ว่า  น่าเห็นใจสมาชิกทั้งสองวงที่ต้องได้รับผลกระทบจาก scandal นี้ไปด้วย  หากจะดันให้ Lucas  กลับมาร่วมงานกับเพื่อนทุกคนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงไม่ใช่การตัดสินใจที่เข้าท่านัก   การลาออกจากวงจึงไม่น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด  



คงไม่ต้องแปลกใจว่า SM จะถูกครหาอย่างหนักในการรับมือกับปัญหานี้   พวกเค้าไม่ได้สร้างความกระจ่างให้ผู้คนคลายความข้องใจ    จับศิลปินพักงานเหมือนกับการเก็บตัวรอเช็คกระแสสังคม  พอเรื่องเริ่มเงียบลงก็แสดงสัญญาณออกมาว่า  Lucas มีโอกาส come back  แต่กลับหักมุมด้วยการประกาศเดินหน้าทำงานเดี่ยว   ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเกิดขึ้น  เขาอาจจะถูกดองยาวไปจนหมดสัญญา    แต่ก็มีเสียงแย้งว่า  ถึง Lucas ออกจากวง ก็ไม่ได้ถูกฉีกสัญญาแต่อย่างใด   ส่วนแฟนๆ ก็พร้อมจะสนับสนุนเขาในฐานะศิลปินเดี่ยวเพื่อจะได้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง

มีการวิเคราะห์ว่า  come back ของ  Lucas ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

แต่แม้ว่าทางต้นสังกัดและตัว Lucas จะเอ่ยถึงก้าวใหม่ในฐานะศิลปินเดี่ยว และแฟนๆก็ยังรอคอยให้เขากลับมา แต่ได้มีเสียงเล่าเรื่องสถานการณ์ในแผ่นดินใหญ่ที่ดูจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ยากจะกู้ชื่อเสียงให้กลับมาได้ ในสังคมขึ้นชื่อลือชาเรื่องการแสดงออกทางศีลธรรมจรรยาเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับประชาชน ถึงขนาดที่รัฐบาลสร้างกฎเกณฑ์ศีลธรรมให้ดาราศิลปินปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากคนดังก้าวพลาดไป ก็อาจหมายถึงอนาคตในวงการที่ดับถาวร ไม่มีทางจะกลับมารุ่งโรจน์ได้ ทั้งๆ มันอาจจะเป็นเรื่องคนนอกประเทศมองว่าไม่ได้เสียหายใหญ่โต
  นอกจากข้อกล่าวหาเรื่อง Gaslighting และนอกใจจากผู้หญิง 3-4 คน  ซึ่งต้นสังกัดไม่ได้คำเนินการฟ้องร้องหมิ่นประมาท user ต้นเรื่อง  และปล่อยให้คลุมเครือยืดเยื้อจนมีคนมองว่า  หากไม่ฟ้องหรือเจรจาให้กับผู้กล่าวหา ก็เปรียบได้กับการยอมรับความผิดไปโดยปริยาย    Lucas ยังต้องพบกับมรสุมข่าวลือเสียหายต่างๆนานา    นายทุนย่อมต้องคำนวณถึงความเสี่ยงต่อกระแสต่อต้านที่เสียงจะถูก cancel     หากเขากลับมาร่วมรายการ TV  หรือเปิดการแสดงดนตรี  ก็คาดเดาไว้เลยว่า แรงกดดันจากกระแสสังคมนั้นน่าจะโหดหินเลยทีเดียว



 ที่มาของ term  Gaslight ที่ถูกยกให้เป็นคำศัพท์แห่งปี

หากติดตามซีรีส์เกาหลี หรือเว็บตูน term นี้ถกนำมาใช่แพร่หลายขึ้น แต่ก็ยังมีเสียงไถ่ถามกันเรื่องความหมายของพฤติกรรม Gaslight บางคนอาจจะคิดว่า มันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ toxic หรือการถูกล่อลวงให้เชื่อใจแล้วหักหลัง แต่ที่มาของคำนี้คืออะไรกันแน่?  

ในปี 1938 นักประพันธ์นิยายและนักเขียนบทละครชื่อดังชาวอังกฤษ Patrick Hamilton ได้นำเสนอ Gas Light ผลงานละครเวทีคลาสสิคที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตคู่ของคู่สามีภรรยาชนผู้มีอันจะกิน เมื่อฝ่ายสามีเล่นสงครามประสาทบีบคั้นปั่นหัวภรรยาจนเธอแทบเป็นบ้า โดยสัญลักษณ์สำคัญในเรื่องราวคือตะเกียง เขาพยายามครอบงำเธอให้สับสนด้วยการจัดฉากย้ายสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน และหรี่ไฟจนสลัวลงไป แต่เมื่อภรรยาแสดงความประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น   เขากลับยืนยันว่า เธอจินตนาการไปเอง ซึ่เกิดขึ้นจากความผิดปกติทางจิต ทำให้แยกแยะไม่ถูกว่า เธอจิตวิปลาสไปแล้ว หรือเกิดเรื่องประหลาดภายในบ้านจริงๆ จนกระทั่งที่เธอได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาเปิดโปงว่า ตัวจริงของสามีเธอเป็นอาชญากรปั่นประสาทเหยื่อ เขาพยายามทำให้เธอเป็นบ้าเพราะหวังฮุบสมบัติ

 

ต่อมา Hollywood ได้นำบทละครดังกล่าวมาสร้างหนังที่ทำให้นางเอกชั้นนำ Ingrid Bergman คว้ารางวัล Oscar และหนังยังเข้าชิงอีกหลายสาขา เมืาอถึงในยุค 90s จากบทความ Liberties;The Gaslight Strategy ใน The New York Times จากปลายปากกาของ Maureen Dowd สื่อเจ้านี้ได้ใช้คำนี้ย้ำอีกหลายครั้งจนทำให้ Gaslight/Gaslighting เริ่มใช้แพร่หลายกันจนถึงปัจจุบัน


Gaslight จึงเป็นพฤติกรรมการควบคุมบงการจิตใจผู้อื่น  ซึ่งเกิดจากการปั่นหัวให้อีกฝ่ายเกิดความสั่นคลอนในจิตใจ ค่อยๆ หมดความเชื่อมั่นในตัวเอง และโทษตัวเองว่าเป็นตัวการของปัญหาที่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ และมันไม่ใช่การครอบงำที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบคนรักเท่านั้น  ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน  ครอบครัว  หรือกลุ่มเพื่อน ก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกเราอาจจะได้พบกับ 'ผู้หรี่ไฟตะเกียง' จนไม่สามารถแยกแยะความจริงอย่างเป็นเหตุเป็นผล ต้องทนทรมานในวงจรอุบาทว์

เป็นคำที่ถูกใช้เกลื่อน แต่ก็ถูกเข้าใจความหมายไปผิดๆเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำนี้บ่อยครั้งเข้า ก็อาจจะทำให้บางคนสับสนว่า ตกลงควรจะต้องใช้มันในสถานการณ์ใด Washington Post ได้อธิบายความนิยมในการใช้ Gaslight ในหลากหลายสถานการณ์ เพราะมันเป็นคำสุดแสนจะ trendy กลายเป็นว่าใช้พร่ำเพรื่อหมดจนผิดแผกไปจากความหมายของมันจริงๆ เพียงแค่มีใครทำสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็บอกว่าถูก Gaslight

ดูจากกรณีของ Kylie Jenner ที่ชาวเน็ทตั้งข้อสังเกตแบบจับโป๊ะ เมื่อเห็นเธอใส่เสื้อกาวน์ห้องปฏิบัติการโพสกับส่วนผสมผลิตภัณฑ์ และบรรยายภาพว่า เธอกำลังสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่สุดวิเศษเพื่อลูกค้าใน lab แต่ makeup artist รายหนึ่งได้วิจารณ์ Kylie อย่างเผ็ดร้อนว่า เธอ Gaslight ให้คนอื่นหลงเชื่อว่าเธอเข้าร่วมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใน lab ทั้งๆ ที่ในอุตสาหกรรมความงามนี้มีระเบียบข้อบังคับเพื่อรักษาอนามัยอย่างเคร่งครัด การแต่งกายต้องมีหมวกเก็บผม ถุงมือ หน้ากาก และอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ (Kylie ยอมรับว่าไม่ได้ถ่ายภาพในพื้นที่ส่วนผลิตแต่อย่างใด) แต่ถึงจะบอกว่าKylie จัดฉากสร้างภาพ  มันก็ดูจะไม่ได้ตรงกับพฤติกรรมครอบงำจิตใจให้คนอื่นรู้สึกด้อยค่านัก




Time magazine ระบุว่านี่ Gaslight ถูกตีความหมายผิดบ่อยที่สุดในโลก ผู้คนนำมันไปบรรยายพฤติกรรมที่ขาดความเห็นอกเห็นใจ การโกหก หรือแม้แต่เจอคนเห็นต่างก็บอกถูกกล่าวว่า gaslight แล้ว!
Elisa Martinez นักจิตบำบัดได้ให้สัมภาษณ์ว่า เธอได้ยินคำนี้ตลอด คนมักจะกล่าวโทษผู้อื่นที่ไม่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปด้วยคำนี้ แต่แท้จริงแล้ว พฤติกรรมในรูปแบบ Gaslighting นั้นเลวร้ายกว่ามาก


FC ควรทำเช่นไรเมื่อดาราศิลปินคนโปรดถูกกล่าวหาเรื่อง Gaslighting ?

เพราะพวกเราได้ยินคำนี้กันบ่อยจนอาจจะสร้างความสับสนว่า ทุกความสัมพันธ์ที่เกิดปัญหาจะต้องเกิดจากพฤติกรรมปั่นหัวให้อีกฝ่ายชอกช้ำใจ แต่เบื้องหลังอาจจะซับซ้อนกว่านั้น เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับ คิม ซอนโฮพระเอกหนุ่มที่กำลังรุ่งสุดๆในปี 2021 แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันของสังคม หลังจากอดีตสาวคนรักได้กล่าวหาว่าเขาลวงเธอให้หลงเชื่อว่าจะได้แต่งงานกัน ทำให้เธอต้องเสียสละหลายอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้เป็นความลับ ถึงขนาดต้องทำแท้ง เพราะต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของคนรัก แต่เมื่อเขาโด่งดังขึ้นมา กลับเปลี่ยนท่าทีทำตัวร้ายกาจกับเธอ คนอื่นที่มองเขาจากในจออาจจะคิดว่าเขาเป็นคนอบอุ่น แต่ตัวตนจริงเย็นชาขัดแย้งกับภาพลักษณ์อย่างสิ้นเชิง รวมถึงพฤติกรรม Gaslight ทำให้เธอเป็นฝ่ายขอโทษเสมอทั้งที่ไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด ถูกตำหนิแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ สุดท้ายก็ตีจาก ความเจ็บปวดที่ถูกหลอกใช้ทำให้จิตใจกระทบกระเทือนอย่างหนัก



แต่ในเวลาต่อมา สื่อทรงอิทธิพลของเกาหลีก็ขุดคุ้ยพฤติกรรมของฝ่ายหญิง ทั้งเคยปกปิดเรื่องการหย่าร้างและโกหกนอกใจซ้ำๆ แต่เขาก็ให้อภัยและยังประคับประคองความรักมาได้ แม้ว่าตกลงใจเรื่องทำแท้ง แต่พระเอกหนุ่มก็ดูแลเธอเป็นอย่างดี ปรนเปรอด้วยของใช้ราคาแพงที่เธอต้องการ และพาเธอไปทำความรู้จักกับพ่อแม่แล้ว แต่เพราะไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันเพราะขาดความเชื่อใจ จึงตัดสินใจแยกทางกันราวๆสิบเดือนหลังจากที่เธอทำแท้ง ซึ่งในขณะนั้น คิม ซอนโฮกำลังอยู่ในช่วงที่รุ่งสุดๆ ด้วยความแค้นใจ เธอได้ส่งข้อความมาขู่ว่าจะประจานเรื่องราวของเขาให้อับอาย แต่เมื่อคดีพลิกจนกระแสสังคมตีกลับจนเธอกลายมาเป็นคนที่ถูกพิพากษาซะเอง เธอกลับออกมาชี้แจงเรื่องราวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ราวกับว่าไม่ใช่คนเดียวกันที่ออกมาแฉคนเคยรัก เธอยืนยันว่า ไม่ได้ตั้งใจทำให้ชีวิตของอดีตหนุ่มคนรักพังทลาย เมื่อได้รับคำขอโทษจากเขาแล้ว ก็พบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความเข้าใจผิด และขอลบโพสต์ออกไป แต่เธอก็ถูกตีตราไปแล้วว่า เป็นผู้หญิงใจอาฆาตที่แต่งเสริมเติมเรื่องราวให้ตัวเองดูเป็นเหยื่อ ในขณะที่ คิม ซอนโฮ เกือบจะพังไปแล้ว การยุติ scandal ด้วยการอ้างว่า แค่เข้าใจผิด นั้นสามารถชดเชยสิ่งที่เขาสูญไปแม้แต่น้อย

เมื่อเกิด scandal ทำนองนี้ขึ้นมา เราควรจะวางตัวอยู่ในจุดใดดี?



 

แน่ล่ะว่า FC ต่างต้องการจะเห็นดาราศิลปินคนโปรดในแง่มุมที่สวยงามเสมอ เมื่อใดก็ตามที่พวกเค้าถูกกล่าวหาอย่างรุนแรง ก็เป็นเรื่องยากเย็นว่าที่จะยอมรับ และพยายามหาเหตุผลเพื่อปกป้องพวกเค้าให้พ้นมลทิน   แต่สำหรับเส้นทางความติ่งแบบมีวุฒิภาวะ   หลักการที่เรียบง่ายที่สุดที่ควรระลึกไว้ก็คือ   ถึงจะประกาศได้อย่างมั่นใจว่าเป็น FC ผู้ภักดี   แต่เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยได้พบปะคบหากับคนดัง  ไม่เคยสัมผัสตัวตนที่แท้จริงเบื้องหลังภาพลักษณ์ดีงามที่น่าชื่นชม   เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า พวกเค้าจะแสนดีมาจากภายในหรือมันเป็นการแสดงที่ต้องทำไปตามหน้าที่   หากพยายามทำใจให้เป็นกลาง ไม่ด่วนพิพากษาใครด้วยใจลำเอียง รอติดตามเรื่องข้อมูลหลักฐาน  ก็คงไม่ต้องเกิดความรู้สึกละอายใจเพราะเข้าข้างหรือโจมตีผิดคน


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE