Celeb ที่แสดงออกทางการเมืองอย่างไม่หวาดหวั่น

27 12
อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างเป็นหนึ่งใน topic ที่หลายคนเลี่ยงไม่พูดถึง   เพราะแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันที่เห็นต่าง  ก็อาจขัดแย้งจนมองหน้าไม่ติด   สำหรับวงการบันเทิงในโลกเสรี   คนดังที่มี platform ที่มีผู้ติดตามขนาดใหญ่อาจจะต้องพบกับแรงกดดันให้ออกแสดงจุดยืนที่ชัดเจน   หากเปิดเผยว่า 'เลือกข้าง'ใด ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ  อาจจะถูกฝั่งตรงข้ามตามราวีด้วยข้อความเกลียดชังและเสียแรงสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้ไป  คนดังจำนวนหนึ่งจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบและไม่ร่วมเคลื่อนไหวในการเมืองเพื่อสื่อถึงความเป็นกลาง  

แต่ยังมีคนดังกลุ่มหนึ่งที่มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าในการใช้ชื่อเสียงเป็นพลังขับเคลื่อนสร้างความเปลี่ยนแปลง และเรียกร้องให้ผู้คนหันมาตระหนักต่อปัญหาสังคมการเมือง โดยไม่หวั่นต่อเสียงโจมตีต่อผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง เรามาติดตามจุดยืนของ superstar เหล่านี้กันได้เลยค่ะ





Taylor Swift กับความคาดหวังจากสังคมให้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา Taylor ต้องเข้าไปพัวพันกับ controversy ทางการเมือง เมื่อสื่อต่างพร้อมใจตีข่าวว่า นอกจากจะได้รับความนิยมล้นหลามจากแฟนๆวัยรุ่น เธอยังเป็นขวัญใจพวกขวาจัด ถึงขนาดที่กลุ่ม Neo Nazi ตั้งฉายาให้เธอว่า เทพธิดา Aryan สืบเชื้อสายมาจากเชื้อชาติที่ Hitler เชื่อว่า เป็นชนชั้นปกครองสายเลือดบริสุทธิ์ จากรูปลักษณ์ของสาวงามผิวขาว ผมสีทอง ตาสีฟ้า สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงในสังคม

" Taylor เป็นเทพธิดา Aryan สายเลือดบริสุทธิ์ ราวกับว่าเธอออกมาจากบทกวีคลาสสิคของกรีก เธอคือเทพี Athena ที่มาเกิดใหม่ และมันเป็นความจริงที่เธอเแอบซ่อนตัวตน Nazi ไว้และเฝ้ารอให้ถึงเวลาที่ Donald Trump สามารถทำให้เธอมั่นใจออกมาเปิดตัวสืบต่อภารกิจของชาว Aryan ต่อคนทั้งโลก มีความเป็นไปได้สูงว่า เธอจะจับคู่หมั้นหมายกับลูกชายของ Trump และสถาปนาเป็นราชวงศ์ American"

คำพูดจากพวก White Supremacist ฟังดูเป็นทฤษฎีสมคบคิดไร้สาระ แต่มันก็ถูกแชร์จนเป็นไวรัล เลยเถิดจนมีคนสร้าง meme ด้วยการจับรูปเธอไปบรรยายด้วยคำพูดของ Hitler

จะมี superstarคนใดที่แสดงความปลาบปลื้มกับคำกล่าวอ้างว่าเป็นพวกเดียวกันกับลัทธิที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนเป็นล้านได้บ้าง? Taylorต้องส่งทนายออกมาโต้ตอบว่า แนวคิดที่นำเธอมาเชื่อมโยงกับผู้นำ Nazi คือการหยามหยัน หมิ่นประมาทกันอย่างร้ายกาจ ทั้งอันตรายและสร้างความเสียหาย จนเกิดความกระทบกระเทือนใจในเรื่องเชื้อชาติ และเรียกร้องให้ Pinterest ลบข้อความพวกนี้ออกไป





แต่ action ของเธอดูจะไม่เพียงพอต่อกลุ่มผู้มีอุดมการทางเมืองประชาธิปไตยเสรีนิยม บางคนได้กล่าวหาศิลปินสาวสวยว่า เธอเมินเฉยที่จะร่วมต่อต้านกลุ่ม white supremacy เพราะห่วงว่าจะสูญเสียแรงสนับสนุนจาก fanbase หัวรุนแรง   โดยเฉพาะเมื่อเธอได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ที่ Tennessee ตอนใต้ของ USA ที่เป็นฐานสำคัญของกลุ่ม Neo Nazi และกลุ่มชาตินิยมขวาจัด   และยังมีชาวเน็ทที่ call out เธอที่ไม่ได้ออกโรงต่อต้านนโยบายของ Donald Trump เต็มที่   แม้ว่าเธอจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านความรุนแรงที่จากอาวุธปืน และองค์กรเพื่อสังคมมาโดยตลอด


หลังจากที่ถูกกล่าวโทษมานาน ในวัย 29 ปี Taylor ได้ตัดสินใจเปิดเผยว่า เธอพร้อมแล้วที่แสดงจุดยืนทางการเมือง

"ฉันกำลังค้นหาแนวคิดของตัวในเรื่องการเมือง ฉันได้ใช้เวลามากมายไปกับการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในระบบการเมืองและการแยกใช้อำนาจรัฐเพื่อออกกฎหมาย ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของผู้คนในทุกเมื่อเชื่อวัน มีปัญหาหลายประการที่ทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง และฉันเชื่อว่าตัวเองต้องการออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง สำหรับคนที่อายุจะเข้า 30 ฉันคิดว่าตัวเองได้รู้เห็นมามากพอที่จะแสดงความคิดเห็นกับผู้ติดตามทาง social media เป็นร้อยล้านคน การแบ่งแยกทางเชื้อชาติและสร้างความหวาดกลัวจากการทำงานของผู้นำประเทศของเราไม่ใช่สิ่งที่ฉันคาดหวังขะได้เห็น ฉันได้ตระหนักว่า การใช้อิทธิชื่อเสียงของตัวเองเพื่อต่อต้านวิธีการพูดชักชวนเชื่อแสนน่ารังเกียจแบบนั้นเป็นทำหน้าที่รับผิดชอบองฉันด้วย ฉันจะออกโรงเพื่อช่วยเหลือให้มากยิ่งขึ้น"





เมื่อ Taylor ก้าวออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกก็ตกเป็นข่าวเกรียวกราว ในสารคดี เธอได้อธิบายถึงเหตุผลที่รั้งรอที่จะเปิดเผยอุดมการณ์เชิดชูความเสมอภาคว่า เธอเคยกังวลถึงการรักษาภาพลักษณ์ที่ทำให้ทุกคนพอใจ

"สาวแสนดีจะไม่ยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่น สาวแสนดีเพียงแค่ยิ้มและโบกมือพูดว่า ขอบคุณค่ะ ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดใจในเรื่องทัศนคติของเธอ ฉันหมกมุ่นกับการหลีกเลี่ยงไม่เอาตัวเองไปเจอปัญหา ฉันเอาแต่คิดว่า ฉันจะยอมไม่ทำสิ่งที่คนอื่นเอาไปเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์"
Taylor ได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่ศิลปินเพลง country ชื่อดัง Dixie Chicks วิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี George W. Bush ที่สั่งการให้กองทัพรุกราน Iraq แต่แฟนๆของพวกเธอกลับโจมตีอย่างรุนแรงว่าพวกเธอเป็นพวกชังชาติและบังอาจล่วงเกินผู้นำประเทศที่พวกเค้าเชิดชูว่าเป็นฮีโร่   กระแสต่อต้านได้บีบคั้นให้พวกเธอต้องขอโทษ  มันเคยทำให้ Taylor หวาดหวั่นว่า อาจจะต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายจากการแสดงออกทางการเมืองเหมือนกับศิลปินร่วมวงการ

แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ผลจากสงครามก็ทำให้หลายคนเข้าสู่สภาวะ 'เบิกเนตร' จากที่ Dixie Chicksถูก cancel ไปเมื่อหลายปีก่อน คนรุ่นใหม่กลับยกให้พวกเธอเป็นวีรสตรี!



แต่การตัดสินใจเพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองไม่ใช่สิ่งที่คนรอบตัวเธอสนับสนุนอย่างเต็มใจอย่างเอกฉันท์ ผู้เป็นพ่อวิตกถึงความปลอดภัยหากฝ่ายตรงข้ามเล็งเป้าหมายมาที่ลูกสาวคนดัง ส่วนทีมงานก็มีน้ำเสียงไม่เห็นด้วยเพราะไม่ได้แสดงท่าทีเกี่ยวข้องกับการเมืองมานานถึง 12 ปี แ ต่เมื่อ Taylor เห็นคำโฆษณาหาเสียงของผู้สมัครจากพรรค Republican ในการเลือกตั้งส.ว.ในรัฐ Tennessee ถิ่นของเธอ มันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่สามารถนิ่งเฉยไปต่อไป เพราะนักการเมืองคนดังกล่าวได้ลงคะแนนเสียงต่อต้านกฎหมายที่ว่าด้วยความรุนแรงต่อสตรีและกฏหมายสนับสนุนสิทธิ LGBTQ เธอจึงขอขัดกับพ่อ ออกตัวสนับสนุนนักการเมืองพรรค Democrat และโจมตีการบริหารบ้านเมืองของ Trump

เธอเผยว่า

"ฉันลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่ร่วมกันปกป้องและต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่ประเทศนี้คู่ควรมาโดยตลอด และฉันจะทำต่อไป ฉันเชื่อมั่นในการต่อสู้เพื่อสิทธิชาวเพศทางเลือก การเลือกปฏิบัติ ไม่ว่ามาจากเพศวิถีหรือเพศสภาพเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันเชื่อว่ากระบวนการเหยียดสีผิวเชิงโครงสร้างในประเทศเราเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเหลือประมาณและเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น"
"ฉันไม่ขอลงคะแนนให้กับคนที่ไม่ปรารถนาจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นคนของชาว American ทุกๆคน ไม่ว่าจะมีสีผิวหรือเพศใด ไม่ว่าพวกเค้าจะรักใคร"

ในตอนนั้น ชาวเน็ทที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Taylor ต่างทำนายไว้ว่า อาชีพศิลปินของเธอได้จบลงไปแล้ว เพราะเธอต้องพึ่งพาพลังสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยู่มาก แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็น่าจะพิสูจน์แล้วว่า ความสำเร็จของเธอยิ่งทะยานไปสูงขึ้น ยากจะหยุดยั้งได้




John Legend:   พวกเค้าบอกให้ผมหุบปาก แล้วร้องเพลงต่อไปซะ

ผู้คนอาจจะจดจำความเคลื่อนไหวทางการเมืองของศิลปินหนุ่มชื่อดังจากการฟาดฟันกับ Donald Trump ทาง Twitter แต่ความจริงแล้วเขาคือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทำงานแบบคลุกวงใน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และเขาก็ต้องต่อสู้กับอคติที่เกิดขึ้น

"ผมทำงานด้านปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญามาเป็นสิบปี และบ่อยครั้งก็ถูกเปรียบว่า กระทำการชวนเชื่อด้วยเจตนาแบบหัวรุนแรง






"แ่นอนว่า พวกเค้าบอกให้ผมหุบปากและร้องเพลงไปซะ ใน Hollywood นักแสดงและศิลปินทั้งหลายโอนเอียงเข้ามาอยู่ฝ่ายซ้ายมากกว่าฝ่ายขวา และมันทำให้คนเกิดความคิดว่า คนดังควรจะหยุดแสดงความคิดเห็นทางการเมือง คนพวกนั้นอยากให้คนดังเห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่ถ้าเป็นคนดังที่เห็นต่าง ก็สั่งให้นิ่งเงียบ"


พวกนั้นที่ John พูดถึงคือฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือผู้สนับสนุน Trump นั่นเอง เขาชี้ว่า ขอเพียงได้ดาราระดับ B List มาเชียร์ออกหน้าออกตา ฝ่ายตรงข้ามก็ดีอกดีใจ และยิ่งปลาบปลื้มเมื่อ Kanye ใส่หมวก MAGA ออกสื่อ เห็นได้ชัดว่า คนพวกนี้ไม่ได้อยากให้คนดังหุบปากไปหมดวงการ ขอแค่ให้เห็นด้วยทุกอย่าง แต่เขาชัดเจนตลอดว่า ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

ด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างทำให้ John ขาดการติดต่อกับ Kanye และประนามคำพูดเหยียดยิวของอดีตเพื่อน  เขามุ่งมั่นที่จะเชิดชูประชาธิปไตยเสรีนิยมไม่เปลี่ยนแปลง


เรียกร้องให้คืนสิทธิ์เลือกตั้งให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุก
งานปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมคือสิ่งที่ศิลปินรางวัล  Grammy ผู้นี้ทุ่มเทมาหลายปี    อาจจะมีคนเข้าใจว่า เขาเพียงรับงานการกุศลเพื่อแสดงดนตรีสร้างความเพลิดเพลินใจให้กับนักโทษ   แต่ที่จริง John เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสร้างโครงการ Free America เดินทางไปยังเรือนจำตามรัฐต่างๆ เพื่อรับทราบถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ของนักโทษรวมถึงบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม  และศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดการกระทำผิดซ้ำจนไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรการกักขัง เพื่อเสาะหาวิธีทางแก้ไขปัญหานักโทษล้นคุกในระยะยาว   เขาถึงกับไปดูงานที่เรือนจำใน Portugal เพื่อเรียนรู้เรื่องระบบการจัดการต่างๆ

ไม่เพียงแต่นักโทษที่อยู่หลังกรงกักขัง  เขายังมองเห็นความสำคัญกับผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกและโทษอื่นๆว่า  พวกเค้าควรจะได้รับการสนับสนุนให้กลับคืนสู่สังคมอย่างสุจริต  นักโทษที่ไม่ได้ก่อคดีร้ายแรง และกระทำความผิดทางเพศ ควรจะได้มีสิทธิ์เลือกตั้งเช่นเดียวกับพลเมืองคนอื่น

"ผมเติบโตที่ Springfield ในรัฐ Ohio พ่อของผมเป็นคนงานในโรงงาน ส่วนแม่เป็นแม่บ้านดูแลเราและทำงานเย็บผ้าเป็นอาชีพเสริม ผมเติบโตไปพร้อมกับการไปโบสถ์ ผมรู้จักคนเหล่านั้นดี ผมมาจาก America ตอนกลาง และมีพื้นเพความเป็นมาเดียวกันกับคนมากมายใน America ตอนกลาง หากจะบอกว่าผมเป็นชาว Hollywood ที่มีอุดมการณ์เสรีนิยมอย่างเดียว มันก็คล้ายกับจะลบช่วงชีวิตครึ่งแรกของผมออกไป"

"ผมรู้ว่าชีวิตชนชั้นแรงงานในตอนกลางประเทศเป็นอย่างไร และผมได้เก็บเกี่ยวมันไว้ในความทรงจำเสมอ มันเป็นเหตุผลที่ผมพยายามเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปทางการศึกษา และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และผมผ่านประสบการณ์จากการใช้ชีวิตในครอบครัวที่ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้และได้รับผลกระทบจากมัน"

"แม่ของผมเข้าออกคุกในช่วงเวลาที่ผมเป็นวัยรุ่น เธอเคยมีปัญหาเรื่องการใช้ยาเสพติด และถูกตำรวจจับกุมจนต้องรับโทษจำคุก ญาติสนิทและเพื่อนฝูงต่างก็เคยเข้าไปสู่กระบวนการนี้ และสมาชิกครอบครัวต่างได้รระส่ำระสายกับผลที่ตามมา เมื่อใครสักคนได้รับโทษจำคุก ไม่เพียงแต่พวกเค้าต้องชดใช้ความผิด แต่ครอบครัวต้องมาร่วมชดใช้ด้วย"





เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาอาสาตัวเป็นผู้สนับสนุน campaign เรียกร้องให้ผ่านกฎหมาย Amendment Four 4 ที่จะคืนสิทธิ์การเลือกตั้งให้กับอดีตนักโทษที่ไม่ได้ก่อคดีอุกฉกรรจ์และคดีทางเพศใน Florida เพราะเชื่อมั่นว่า เมื่อพวกเค้าได้ชดใช้ความผิดไปแล้ว ทั้งยังมีผู้กระทำความผิดเล็กน้อยที่ไม่ได้รับการตัดสินจำคุกอีกจำนวนมากที่ถูกพรากสิทธิ์การเลือกตั้งไป และก็ผ่านการร่างกฎหมายได้สำเร็จในปี 2019 ด้วยคะแนนเสียงเกิน 64% ส่งผลให้ให้ผู้ที่เคยต้องคดี1.4 ล้านคนสามารถลงคะแนนเลือกตั้งได้อีกครั้ง


เมื่อJohn ได้รับคำถามว่า เหตุใด เขาจึงทุ่มเทเวลาและเงินทองไปกับการเคลื่อนไหทางการเมือง เขาก็ตอบว่า

"ผมอดนิ่งเฉยไม่ได้จริงๆ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับการทำธุรกิจเท่าใดนัก และการทำเรื่องทำให้บางคนถูกกีดกันหมางเมิน และผมก็เข้าใจดี แต่ผมคิดว่า มันคุ้มค่าจะเอาตัวไปเสี่ยง เพราะผมใส่ใจในปัญหาพวกนี้เกินกว่าจะนิ่งเฉย ผมให้ความสำคัญกับตัวตนของผมที่เป็นคนซื่อสัตย์ จริงใจ และใช้ชีวิตภายใต้หลักสัจธรรมที่ตัวเองยึดมั่น มันเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับผมหากจะปิดปากเงียบกับปัญหาต่างๆ ผมทำไม่ได้ มันไม่อยู่ในจิตสำนึกของผม"

Billie Eilish:  เราอย่าได้เพิกเฉย และนิ่งเงียบ

ทุกวันนี้ หลายคนได้เห็นพ้องต้องกันว่า เสียงจาก Gen Z มีความสำคัญไม่แพ้กับ Gen อื่น เพราะพวกเค้าคืออนาคนที่จะร่วมสร้างความเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่เพียงเด็กไร้ประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องรับฟัง แต่ Billie Eilish ยืนยันว่า

"ผู้คนปรามาสพลังของจิตใจคนวัยเยาว์ว่า เป็นพวกที่เห็นอะไรแปลกใหม่ไปหมด เพิ่งจะเริ่มมีประสบการณ์เป็นครั้งแรก ความเห็นของเราถูกละเลยเพิกเฉย และมันเป็นเรื่องงี่เง่ามาก เพราะเรารู้เรื่องรู้ราวทุกอย่าง"

"วัยรุ่นนั้นฉลาดรู้เกี่ยวกับประเทศที่พวกเราอาศัยอยู่มากกว่าใครซะอีก"





Billie เป็นอีกคนที่ยินดีต่อความพ่ายแพ้การเลือกตั้งของ Trump ย้อนไปเมื่อเธออายุเพียง 18 ก็ได้วิจารณ์ประธาธิบดีผู้อื้อฉาวว่า

"Donald Trump กำลังทำลายประเทศของเราและทุกสิ่งทุกอย่างที่เราให้ความห่วงใย พวกเราจำเป็นต้องมีผู้นำที่แก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ COVID  ไม่ใช่คนที่เอาแต่เอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมรับมัน เราต้องเลือกผู้นำที่ต่อสู้กับปัญหาการเหยียดสีผิวเชิงโครงสร้าง และความไม่เท่าเทียม"



Billie ไม่หวั่นเกรงต่อกระแสต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนให้ตัดสิทธิ์การทำแท้งที่ถูกกฎหมายในหลายรัฐ  เธอแสดงความรู้สึกสิ้นหวังที่เห็นความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวถอยหลังว่า

"มันเป็นวันที่มืดมนสำหรับผู้หญิง US" และนำประเด็นยกเลิกกฎหมาย Roe v. Wade.มาบรรยายในบทเพลง

"มันช่างเหลือเชื่อ ทำให้ฉันโกรธจนหน้าแดง หัวร้อนเหมือนกับมีไอน้ำลอยจากหู ผู้หญิงสมควรที่สิทธิ์จะพูด ทำ มีความรู้สึกนึกคิด และเป็นในสิ่งที่พวกเธอต้องการ"

"ไม่ควรมีใครที่จะมาสั่งว่าพวกเธอต้องใช้ชีวิตแบบไหน ต้องทำตัวอย่างไร มันทำให้ฉันโกรธจัด หากได้พูดถึงมันแล้วก็หยุดไม่ได้"

"พวกผู้ชายไม่ใช่คนที่เข้ามาตัดสินใจแทนผู้หญิง นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก"


ดนตรีที่โดนใจวัยรุ่นของ Billie ยังได้สอดแทรกด้านที่เป็น political movement อย่าง your power ที่เรียกร้องให้ยุติการใช้อำนาจกดขี่เพศหญิง ด้วยการบรรยายถึงนักเรียนญิงที่ถูกชายอายุมากกว่าล่อลวงล่วงละเมิด และปัญหาความรุนแรงในครอบครัว



ก็คงมองออกว่า  ฝ่ายสนับสนุน Trump คงไม่อยากออกเงินให้ลูกหลายซื้อตั๋วชม  Billie ของเธอนัก  เมื่อเธอได้เรียกร้องให้แฟนๆลงคะเสียงให้กับ Biden และยึดมั่นในการสร้างความเท่าเทียมในสังคม   กลุ่มคนเห็นต่างก็ออกมาโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด  บอกให้เธอสนใจแต่กับการทำงานดนตรี ไม่ใช่เสนอหน้ามาพูดเรื่องการเมือง   และการันตีว่า จะไม่พาเด็กๆไปชมคอนเสิร์ตของเธออีก  และสั่งให้เธอไปศึกษาหาความรู้มาใหม่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา  เพราะนี่คือประเทศยิ่งใหญ่ที่เด็กอย่างเธอกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้จากอาชีพนักดนตรี  และด้อยค่าเธอจากความอ่อนเยาว์  เหมารวมว่า วัยรุ่นไร้ประสบการณ์อย่างเธอ ขลาดเขลาจนถูกล้างสมองได้ง่าย  


แต่เธอยืนยันว่า เธออาจจะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองที่ชวนท้อใจมาก่อน แต่ก็ได้รู้สึกตัวว่า จะต้องใช้ platform ของตัวเองให้เป็นประโยชน์

"มันเป็นความรับผิดชอบของฉันที่จะแสดงความเห็นทางการเมือง"

"ฉันเคยเป็นคนที่เคยชินที่จะเงียบงันกับเรื่องนี้ ไม่อยากจะพูดถึงมัน หรือได้ยิน ไม่อยากรับมือหรือแม้แต่จะนึกถึงมัน"

"แล้วมันก็มาถึงจุดที่เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อไป ฉันปิดปากเงียบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีชื่อเสียงแบบฉัน ฉันไม่อยากให้มันเสียเปล่า และมันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะออกมาเป็นปากเป็นเสียง ไม่เช่นนั้นเราก็คงถึงจุดจบ"


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE