เกาะกระแสขัดแย้งเมื่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมต่อต้าน LGBTQ ในอเมริกา

33 9

จริงหรือที่  Target หุ้นตกมูลค่านับหมื่นล้านหลังจากวางจำหน่ายสินค้าเดือนแห่ง pride?


สินค้าเฉลิมฉลอง Pride month อาจจะไม่ได้ฟังคล้ายกับเรื่องสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบใหญ่หลวง แบรนด์ดังทั้งหลายต่างประชันขันแข่งเพื่อสร้างกระแสด้วยสินค้า LGBTQ+ theme ให้เข้ากับเดือนนี้ รวมถึงการโพรโมทภาพลักษณ์ที่ดีด้วยการนำรายได้ไปบริจาคให้กับองค์กรที่สนับสนุนสิทธิชาวเพศทางเลือก แต่ Pride collection ของห้าง Target กลับกลายมาเป็นเป้าหมายการคุกคามของ Conservative Political Action Coalition กลุ่มขวาจัดที่เข้ามาทำลายป้ายและสินค้าอย่างไม่กลัวเกรงกฎหมาย ทั้งยังขู่กรรโชกพนักงานจนตื่นตระหนก ทั้งแชร์วีดีโอภาพความรุนแรงไปทั่วโลกออนไลน์และยังปลุกระดมให้ผู้คนหันมาต่อต้าน Target ด้วยข้อกล่าวหาละทิ้งผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธาในศาสนา ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าสำคัญที่สนับสนุนกันมาเนิ่นนาน และฟันธงว่า ธุรกิจ retail แห่งนี้จะล่มจมไม่ต่างจาก Bud Light จากที่ถูกยกให้เป็นเบียร์ที่ได้รับความนิยมในลำดับต้นๆ ก็ถูก boycott ทำให้สูญเสียรายได้จากกลุ่มอนุรักษ์นิยมจนยอดขายร่วงหล่นไปมหาศาล หลังจากเกิดกระแสต่อต้านแคมเปญที่ดึงตัว Dylan Mulvaney อินฟลูเอนเซอร์สาวข้ามเพศมาโพรโมทเบียร์



ฟังแล้วมันก็อาจจะทำให้อึ้งต่อแนวคิดต่อต้านรุนแรง  เพราะ Target ไม่ได้เพิ่งจะมีไอเดียจัดจำหน่าย pride collection เมื่อเร็วๆนี้ แต่ได้แสดงออกว่าเป็นแนวร่วมของกลุ่มเพศทางเลือกด้วยการนำเสนอสินค้าดีไซน์ใหม่ๆติดต่อกันร่วมสิบปีแล้ว  เหตุใด ในปีนี้จึงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ถึงขนาดต้องตัดสินใจเก็บสินค้าออกจากชั้นวางขายในบางสาขาเพื่อความสวัสดิภาพของพนักงาน?


สื่อหลายเจ้ารายงานว่า เพียงไม่กี่วันหลังจากเกิดกระแสต่อต้านห้าง Target ที่จำหน่าย Pride collection ก็ทำให้เสียหายย่อยยับจนหุ้นร่วงหล่นไปนับหมื่นล้าน แต่นักวิเคราะห์ทางการลงทุนได้ฟันธงว่า แท้จริงแล้ว หุ้นที่ตกราวรูดถึงขนาดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประท้วงจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมตรงๆ แต่บรรดาธุรกิจ retail ต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า เนื่องจากผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยในห้างร้าน ซึ่งเกิดขึ้นจากความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอเมริกา




ผู้ใหญ่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมโกรธแค้น  ห้างดังขายชุดว่ายน้ำ'แต๊บได้' สำหรับเด็ก แต่ความจริงคือ......?


สิ่งที่าพร้อมกับกระแสต่อต้านคือการปล่อยข่าวยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมล่าแม่มด และสิ่งที่เกิดขึ้น Target ก็คือ ข้อกล่าวหาชักนำให้ผู้เยาว์หลงผิดเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ โดยเฉพาะสินค้าชุดว่ายน้ำ 'แต๊บได้' สำหรับเด็กหญิงข้ามเพศ แต่เมื่อมีผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก็พบว่า ชุดว่ายน้ำวันพีซที่ออกแบบให้มีพื้นที่ปกปิดอวัยวะเพศชายนั้นเป็นสินค้าสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีจำหน่ายในแผนกสินค้าเด็ก ส่วนชุดว่ายน้ำสำหรับเด็กๆ จะมีดีไซน์ที่ตอบรับกับรูปร่างที่หลากหลาย และเปิดกว้างเรื่องการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศ



เมื่อวิเคราะห์ถึงต้นเหตุกระแสต่อต้านแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่รุนแรงกว่าเดิม สถานการณ์นี้น่าจะขานรับกับร่างกฎหมายราวๆ 490 ร่างที่ถูกนำเสนอเพื่อควบคุมจำกัดสิทธิเพศทางเลือก ซึ่งก่อให้เกิดข้อพิพาทจากการเปิดศึกทางวัฒนธรรมของผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน ในขณะที่กลุ่มที่เชื่อมั่นในความเสมอภาคของทุกเพศเชื่อว่า นี่คือการละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมโจมตีกลับว่า การสนับสนุนเพศทางเลือกเต็มที่นั้นคือแนวคิดของพวก woke ไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งมันสร้างผลกระทบต่อลูกหลานที่เสี่ยงต่อการก้าวเข้าสู่เส้นทางที่เบี่ยงเบน

แฟนๆของรายการ RuPaul's Drag Race อาจจะงงงันเมื่อได้รู้ว่า มีการสนับสนุนร่างกฎหมายห้ามไม่ให้มีโชว์ของ drag queen ใกล้กับโรงเรียนหรือสวนสาธารณะ รวมถึงห้าม drag queen ร่วมกิจกรรมอ่านนิทานให้เด็กๆฟัง

ยังมีการร่างกฎหมายใดอีกที่ทวีความรุนแรงให้กับสงครามทางวัฒนธรรมใน USA?


ร่างกฎหมายห้ามเยาวชนเข้าสู่กระบวนการข้ามเพศด้วยวิธีทางการแพทย์

 การร่างกฎหมายเพื่อควบคุมหวงห้าม  transgender  ให้เข้าถึงการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆถูกฝ่ายเสรีนิยมโจมตีว่าว่าเป็นกฏหมาย Anti-Trans ที่ลิดรอนสิทธิมนุษยชน    แต่สำหรับฝ่ายตรงข้ามที่สนับสนุนการร่างข้อกฏหมายนี้สุดตัวต่างฟันธงว่า   มันเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์กลุ่มคน cisgender หรือผู้ที่มีเพศกำเนิดตรงกับเพศสภาพ    ซึ่งพวกเค้าต้องวิตกกังวลว่า   การใช้ชีวิตที่ปกติสุขจะถูกคุกคามหากปล่อยให้กลุ่มเพศทางเลือกมีสิทธิเท่าเทียมกัน หรือเชื่อว่าเป็นการให้อภิสิทธิ์ผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างจนละเลยคนหมู่มากที่ต้องใช้ชีวิตลำบากขึ้น   แม้แต่การการแสดงตัวว่าเป็นแนวร่วม (ally) ของกลุ่มชาวเพศทางเลือก ก็ถือเป็นพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัย และผลาญงบประมาณจากภาษีประชาชนไปอย่างสูญเปล่า  






19 ใน 50 รัฐในอเมริกาได้สนับสนุนร่างกฎหมายห้ามมิให้บุคลากรทางการแพทย์สนับสนุนบริการทางการแพทย์ให้กับเยาวชนที่แสดงจุดประสงค์เข้าสู่กระบวนการแปลงเพศ เช่น รับยาบล็อกฮอร์โมนเพื่อชะลอวัยแรกรุ่นในเด็ก การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศ การศัลยฺกรรมตกแต่ง เป็นต้น หากฝ่าฝืน ก็จะพบกับบทลงโทษหนัก ทั้งการปรับเงินจำนวนมาก หรือถอดถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ หรือร้ายกว่านั้น ในบางรัฐ บุคลากรทางการแพทย์ที่ละเมิดกฎหมายนี้อาจจะต้องโทษจำคุก
ผู้ว่าการรัฐเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากพรรค Republican ซึ่งเชิดชูอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม (แน่นอนว่า หลายคนกีดกันชาวLGBTQ+ แบบโจ่งแจ้ง) แม้จะมีรัฐ Kentucky ที่มีผู้ว่าการจากพรรค Democrat รวมอยู่ด้วย แต่ผู้บัญญัติกฎหมาย Republican ก็ยังเอาชนะด้วยได้คะแนนเสียงขาดลอยในสภานิติบัญญัติของรัฐ หรือกล่าวได้ว่า หากถิ่นใดที่มีการปลูกฝังแนวคิดต่อต้านรักร่วมเพศให้หยั่งรากลึกในจิตใจผู้คนจนยากจะเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผู้นำฝ่ายเสรีนิยมที่ได้ชนะการเลือกตั้งก็ยังไม่มีอิทธิพลมากพอจะชักนำให้ลดอคติไปได้



ภาพที่บางคนอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนก็คือ การแสดงออกเพื่อต่อต้านเพศทางเลือกแบบเผชิญหน้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน  แม้แต่ในมหาวิทยาลัยก็เกิดเหตุนี้มาแล้วหลายครั้ง   ดังกรณีของนักศึกษาใน Kentucky ต้องรับมือกับกลุ่มผู้เผยแพร่ศาสนาที่มาพร้อมกับป้ายโจมตีว่ารักร่วมเพศคือบาปหนา รวมถึงถ้อยคำเหยียดหยามสาปแช่งให้ชาวเพศทางเลือกเตรียมตัวลงนรก เพราะรักร่วมเพศนั้นร้ายกาจซะยิ่งกว่าการฆาตกรรม หากใครบางคนเข้าไปเจรจาด้วยเหตุผลว่า เพราะอะไร การแสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเค้าจึงสาสมกับบทลงโทษเป็นไฟเผาผลาญในนรก?  ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สนใจรับฟัง และยิ่งตะโกนด่าแพร่กระจายความเกลียดชังให้ดังลั่น  ส่วนผู้ที่ถูกโจมตีก็เลือกจะโต้กลับด้วยการแสดงแนวร่วม LGBTQ+ ไม่ว่าจะเป็นการโบกธงหลากสี  โชว์ป้ายเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม และแสดงความรักให้ฝ่ายตรงข้ามได้ประจักษ์เต็มตา

เพียงไม่กี่วันก่อน Texas ได้ประกาศผ่านกฎหมายนี้และเริ่มต้นบังคับใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลายคนจะไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใดเมื่อได้รับรู้ว่า รัฐที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศจะสนับสนุนการร่างกฎหมายนี้จนใกล้จะสำเร็จ เพราะแม้ว่าจะมีเยาวชนอายุ 13-17 ปี ที่ระบุอัตลักษณ์ trans ราวๆสามหมื่นคนอาศัยใน Texas แต่ผู้ว่าการรัฐ Greg Abbott ได้แสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อผู้ปกครองที่สนับสนุนให้ลูกหลานรับฮอร์โมนบำบัดในกระบวนการข้ามเพศว่า ถือเป็นพฤติกรรมทารุณกรรมเด็ก และเรียกร้องผู้เกี่ยวข้องแจ้งข้อมูลมายังเจ้าหน้าที่องค์กรหน่วยงานปกป้องคุ้มครองครอบครัวและเด็ก หากพบเห็นเยาวชน trans ที่รับบริการ medical care ดังกล่าว เพื่อจะสอบสวนหาหลักฐานเอาผิดกับผู้ปกครอง

อัยการสูงสุดแห่ง Texas Ken Paxton ได้ขานรับนโยบายนี้แข็งขัน และยังย้ำว่า หากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ แพทย์ พบเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่อได้ว่า เกิดการทารุณกรรมจากการสนับสนุนผู้เยาว์ให้เข้าสู่กระบวนการข้ามเพศทางการแพทย์ จะต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง หากเพิกเฉย จะถือว่าเป็นความผิดทางอาญา

ร่างกฎหมายที่คล้ายคลึงกันจากอีกหลายรัฐ ก่อให้เกิดสร้างเสียงวิจารณ์ใหญ่โตถึงเส้นคั่นที่อยู่ระหว่างเจตจำนงเพื่อคุ้มครองผู้เยาว์จากเส้นทางที่ไม่เหมาะสม หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นการรุกล้ำสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากอคติต่อเพศทางเลือก




และมันไม่ได้เป็นเพียงลมปากของฝ่ายปกครองเพื่อขู่เข็ญกันเท่านั้น แต่มีผู้ปกครองที่ต้องถูกตรวจสอบการกระทำผิดมาแล้วจริงๆ ทนายความของครอบครัวที่ต้องเข้ากระบวนการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเพราะถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องทารุณกรรมเด็กได้ชี้ว่า หากผู้ปกครองได้รับการตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานสนับสนุนให้ลูกเข้าสู่กระบวนการแปลงเพศด้วยวิธีทางการแพทย์ ไม่เพียงแต่ตัวผู้ปกครองจะถูกไล่ออกจากงาน แต่หลังจากถูกลงโทษทางกฎหมาย พวกเค้าจะถูกขึ้นบัญชีรายชื่อเป็นอาชญากรทารุณกรรมเด็ก และยังสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อเยาวชน trans ทั่ว Texas เนื่องจากผู้มีอำนาจรัฐได้เดินหน้าเต็มที่เพื่อปลุกระดมให้ผู้คนต่อต้านตัวตนของพวกเค้า

อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา Texas ก็ได้สั่งยุติกระบวนการตรวจสอบผู้ปกครองเป็นการชั่วคราว    และในเวลาต่อมา ศาลสูงได้ประกาศแล้วว่า ผู้ว่าการรัฐและอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการควบคุมสั่งการหน่วยงานปกป้องคุ้มครองครอบครัวและเด็กในการตรวจสอบหาความจริง  แม้จะมีสิทธิ์เต็มที่ในการแสดงความคิดเห็นและชักจูงให้หน่วยงานให้ปฏิบัติงานตามที่เห็นชอบ  แต่มีเพียงหน่วยงานเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่ซึ่งมาจากการวินิจฉัยของพวกเค้าเอง






หากร่างกฏหมายผ่าน  มีความเป็นไปได้ว่า เยาวชน trans ใน Florida อาจจะถูกพรากจากอกผู้ปกครอง


สถานการณ์ใน Texas มีความคล้ายคลึงกับอีกหลายรัฐ  รวมถึง Florida ที่ผู้บัญญัติกฏหมายฝ่าย Republican ได้เสนอกฎหมายที่จะให้อำนาจหน่วยงานรัฐยึดสิทธิการเลี้ยงดูไปจากพ่อแม่ผู้ปกครอง เมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเด็กเข้าสู่กระบวนการข้ามแพทย์โดยวิธีทางแพทย์ เช่น การใช้ยายับยั้งการเจริญพันธุ์และการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน  ซึ่งการพรากเด็กไปจากอ้อมอกพ่อแม่ก็เป็นการตัดสินใจทำเพื่อ'ปกป้อง' เด็กจากความเสี่ยงต่อความเสียหาย  ซึ่งมาจากมุมมองที่ว่า การตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการข้ามเพศในขณะเป็นผู้เยาว์เป็นเรื่องต้องห้าม  อันมีสาเหตุมาจาก  

  • ความสับสนที่เกิดจากความเยาว์วัย อ่อนประสบการณ์  ซึ่งสมควรจะรอคอยจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะจึงจะยืนยันตัวตนได้อย่างแน่แท้
  • ความหลงผิดจากการถูกชักนำให้เชื่อว่าพวกเค้าเกิดมาในร่างกายที่ไม่ตรงกับตัวตนที่แท้จริง  ซึ่งอาจจะเกิดจากการเสพสื่อ หรืออิทธิพลจากพ่อแม่
  • ความไม่เข้าใจในกระบวนการทางแพทย์อย่างถ่องแท้  เมื่อตระหนักว่า ไม่ได้ต้องการข้ามเพศจริงๆก็สายเกินไปจะเปลี่ยนแปลงร่างกายให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

บางครอบครัวไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันที่สังคมมองพวกเค้าว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ จึงต้องตัดสินใจย้ายที่อยู่ไปอาศัยในรัฐที่ปลอดนโยบาย anti trans ส่วนครอบครัวที่ไม่สามารถหาช่องทางโยกย้ายไปได้ เยาวชน trans บางคนยอมรับว่า ได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก ต้องหวาดผวาว่าจะถูกทางการพรากจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และรู้สึกถูกบีบคั้นจนไร้ทางออก



บางรัฐหันมาห้ามกลุ่มคนข้ามเพศใช้ห้องน้ำและห้องเปลี่ยนชุดที่ตรงข้ามกับเพศตามกำเนิดอย่างเคร่งครัด 


ความขัดแย้งที่นำไปสู่กฎ'ห้ามใช้ห้องน้ำที่ไม่ตรงกับเพศสภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด' โฟกัสไปยังกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศที่ไม่ต้องการจะใช้ห้องน้ำร่วมกับเพศชาย ตามมาด้วยเสียงร้องเรียนถึงความไม่ปลอดภัยและความอึดอัดคับข้องใจของผู้หญิงและครอบครัว บางคนชี้ว่า เมื่อสนับสนุนให้ผู้หญิงข้ามเพศเข้าถึงสิทธิ์นี้ จะนำไปสู่ความเสี่ยงต่ออาชญากรรมทางเพศที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อผู้กระทำผิดยกเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศมาบังหน้าเพื่อก่อเหตุทำร้ายเหยื่อในห้องน้ำที่เป็นสถานที่ลับหูลับตาจากคนภายนอก ส่งผลให้บางรัฐได้ร่างกฎหมายบังคับให้ประชาชนใช้ห้องน้ำให้ตรงกับเพศสภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเท่านั้น

การร่างกฎหมายตัวนี้ถูกจับเป็นประเด็นล้อเลียนผ่านการแสดงตลก stand up หลายครั้ง ล่าสุด Wanda Sykes ก็แสดงตลกเสียดสีใน Netflix Special Show ว่า การแบน drag queen และหนังสือ LGBTQ+นั้นเป็นเรื่องถอยหลังลงคลองและหลงประเด็น หากต้องการจะปกป้องเด็กๆให้ปลอดภัย ก็ควรแบนการครอบครองอาวุธปืนที่ทำร้ายพวกเค้า และเธอก็ยินดีที่จะใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้หญิงข้ามเพศ เพราะห้องน้ำผู้หญิงนั้นสกปรกเลอะเทอะจนเพลียใจ เมื่อผู้หญิงข้ามเพศได้เข้ามาใช้ห้องน้ำด้วย อาจจะทำให้พวกผู้หญิงปรับปรุงพฤติกรรมเพื่อรักษาความสะอาดมากขึ้นก็เป็นได้!




โดยเฉพาะสังคมสมัยใหม่ที่มีการรณรงค์เพื่อสนับสนุน gender fluidity ทำให้บางโรงเรียนและสถานที่สาธารณะบางแห่งผุดไอเดียห้องน้ำ gender-neutral ที่ไม่ว่าจะเพศใดก็เข้ามาใช้ร่วมกันได้ ก็ยิ่งทำให้กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ออกโรงต่อต้านหนักยิ่งขึ้น เพราะแม้จะเปิดใจยอมรับผู้หญิงข้ามเพศว่ามีสิทธิ์เท่าเทียมกับผู้หญิงคนอื่น จากมีอัตลักษณ์ความเป็นหญิงเช่นกัน แต่หากไม่แบ่งแยกเพศสภาพในการใช้ห้องน้ำเลย ก็อาจเสี่ยงต่อเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เป็นคดีที่ได้พบเห็นกันบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น


แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงโต้แย้งด้วยการวิจัยและการสำรวจตัวเลขเคสของวัยรุ่น trans และ nonbinary ที่ผ่านประสบการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศเมื่อใช้ห้องน้ำซึ่งตรงกับเพศโดยกำเนิด ซึ่งองค์กรที่สนับสนุน LGBTQ+ ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้มาแจงให้สังคมรับรู้ว่า เรื่องนักล่าเหยื่อทางเพศที่แฝงตัวในห้องน้ำหญิงคือความเชื่อที่ผิดๆ




หลังจากกลุ่มต่อต้าน LGBTQ+ ที่เรียกตัวเองว่า MassResistance ได้ส่งโฆษณาปลุกระดมให้ผู้คนใน Massachusett ลงคะแนนต่อต้านร่างกฎหมายที่ยินยอมให้คนข้ามเพศเลือกใช้ห้องน้ำตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเค้า แต่กลุ่มนี้ก็ได้ยอมรับว่า ภาพของชายที่ดูน่ากลัวที่แฝงตัวเข้ามาจู่โจมเหยื่อในห้องน้ำหญิง มาจากแต่งเติมเสริมแต่งเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นต่อความปลอดภัยของเพศหญิงที่ใช้ห้องน้ำสาธารณะร่วมกับผู้หญิงข้ามเพศ

องค์กรสนับสนุน trans ได้โจมตีโฆษณาตัวนี้ว่า เป็นการแพร่กระจายเรื่องหลอกลวงเพื่อปลูกฝังความหวาดกลัวที่ส่งกระทบอย่างหนักต่อกลุ่มคนข้ามเพศ และได้ยกการวิจัยจากสถาบัน Williams สถาบันวิจัยนโยบายสาธารณะที่ตั้งอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ UCLA ที่โฟกัสเรื่องรสนิยมทางเพศและประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งผลการวิจัยระบุว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่รองรับคำกล่าวอ้างต่อความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวและอาชญากรรม หากคนข้ามเพศเลือกใช้ห้องน้ำที่ไม่ตรงกับเพศสภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด



เมื่อสิบปีก่อน Nicole Maines เด็กหญิง trans เคยยืนหยัดเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมจนสร้างความฮือฮาไปทั่สประเทศ หลังจากที่ญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนชายร่วมชั้นเกรด 5 ของเธอได้ร้องเรียนไปยังผู้บริหารโรงเรียนว่า เธอล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็กผู้หญิงคนอื่นด้วยจากการเข้าใช้ห้องน้ำหญิง แม้ว่าจะระบุตัวตนว่าเป็นtrans มาตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่ยังมีคนมองเธอเป็นผู้ชายที่ไว้ผมยาวและแต่งกายเลียนแบบเด็กหญิง ทางโรงเรียนจึงออกคำสั่งให้เธองดใช้ห้องน้ำหญิง และจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำพนักงานแทน หลังจาก Nicole ปรึกษากับครอบครัวและองค์กรเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน จึงตัดสินใจร้องเรียนกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาว่าโรงเรียนเลือกปฏิบัติ แต่หน่วยงานดังกล่าวกลับเมินเฉย จนทำให้ครอบครัวเดินหน้าฟ้องร้องสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และจำเป็นต้องก้าวสู่ศาลสูงเพื่อสู้คดี ผลการตัดสินลงเอยที่ลูกขุนลงเสียงข้างมากให้เธอชนะคดี และเป็นครั้งแรกที่ศาลตัดสินว่า การใช้ข้อบังคับให้นักเรียนข้ามเพศใช้ห้องน้ำที่ตรงกับเพศตามกำเนิดเป็นสิ่งที่ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมาย

เด็กหญิงในวันนั้นกลายมาเป็นนักแสดงร่วมทีม superhero ในซีรีส์ Supergirl ในบทของ Dreamer hero สาวข้ามเพศคนแรกทาง TV



ความขัดแย้งที่ถูกเรียกว่า "สงครามห้องน้ำ' ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปี   ทำให้มีผู้เสนอแนะให้สอบถามความสมัครใจของผู้หญิงที่ใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้หญิงข้ามเพศ  ในขณะหลายคนมองว่า  ไม่รู้สึกว่าถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว และห้องน้ำหญิงยังเป็น safe zone ของพวกเธอไม่เปลี่ยนไป    แต่ก็เคยเกิดกรณีที่สร้างเสียงวิจารณ์เกรียวกราว  เมื่อ Lila Perry นักเรียนมัธยมวัย 17 จากรัฐ Missouri ประกาศความประสงค์เพื่อใช้ห้องน้ำหญิงและเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องล็อกเกอร์พร้อมกับเพื่อนนักเรียนหญิง  เพราะไม่ต้องการถูกกีดกันจนแปลกแยกไปจากเด็กสาวในโรงเรียนคนอื่นๆ

 แต่เรื่องราวของเธอนั้นแตกต่างไปจาก  Nicole Maines  อยู่บ้าง    เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เธอระบุตัวตนว่าเป็นเกย์มาหลายปี    เพื่อนนักเรียนต่างมอง Lila จากร่างกายของผู้ชาย ก่อนหน้านี้ก็ใช้ห้องน้ำรวมที่จัดไว้สำหรับเพศหลากหลายมาโดยตลอด    จนกระทั่งเปิดตัวว่าเป็นผู้หญิงข้ามเพศเมื่อขึ้้นชั้นมัธยมปีสุดท้าย ทั้งใช้ชื่อและแต่งกายแบบผู้หญิงเต็มตัว   แม้ว่าเธอจะยืนยันว่า รู้ตัวว่าใจเป็นหญิงมาตั้งแต่อายุ 13 และเพิ่งจะเปิดตัวว่าเป็นผู้หญิงข้ามเพศได้ไม่กี่เดือนก่อนตกเป็นข่าว    เธอก็มีความเชื่อมั่นแน่วแน่ว่า  ตัวเองไม่ควรจะถูกกีดกันจากการใช้ห้องน้ำหญิงและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนคาบพละร่วมกับนักเรียนหญิง นั่นเป็นเพราะเธอคือผู้หญิงเช่นเดียวกัน    แต่เพื่อนร่วมโรงเรียนเกือบสองร้อยคนไม่สามารถทำใจยอมรับคำเรียกร้องนี้ได้  พวกเค้านัดหมายกันประท้วงด้วยการเดินออกจากห้องเรียนพร้อมๆกัน    ทั้งนักเรียนหญิงและผู้ปกครองวิจารณ์ว่า เพียงแค่ Lila เปลี่ยนมาใส่วิกและสวมเดรสมาโรงเรียน ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนให้เป็นผู้หญิงข้ามเพศได้ทันใจ    โรงเรียนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิทธิของเด็กผู้หญิงไม่น้อยไปกว่ากับสิทธิของนักเรียนข้ามเพศ   และควรปกป้องความเป็นส่วนตัวของพวกเธอด้วยการแยกผู้ที่มีร่างกายเป็นเพศชายไม่ให้เข้ามาใช้สุขาร่วมกันอย่าวงเด็ดขาด


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE