ต้อนรับปี 2025 ด้วยการยุติพฤติกรรม Body-Shaming

14 4
ยุคสมัยนี้ หากใครยังเอาแต่ทำร้ายจิตใจคนอื่นด้วย Body-Shaming ก็ควรพิจารณาตัวเองอย่่างเร่งด่วนว่า เพราะอะไรจึงยึดติดกับพฤติกรรมสุดยี้ จนคนอื่นอาจจะไม่อยากเสวนาด้วย และลองปรับเปลี่ยนความคิดซะใหม่เพื่อสร้างพลังบวกให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมโลก
ภาพของ Sydney Sweeney ในขณะกำลังอาบแดดในชุดบิกินี่ได้จุดประเด็นขึ้นมา เนื่องจากรูปร่างของเธอดูจะขัดหูขัดตาชาวเน็ทจำพวกหนึ่ง ถึงขั้นที่รุมจิกกัดว่า ลำตัวของเธอดูเผละหมดคราบนางเอกฮ็อทปรอทแตกแห่ง Hollywood และหยามหยันว่า จนกว่าจะลดน้ำหนักให้เอวบางร่างน้อยได้ เธอก็ไม่ควรจะเปิดเผยความน่าเกลียดแบบนี้ออกสู่สายตาสาธารณชน

แต่พฤติกรรม body-shaming ของคนพวกนี้ได้สะท้อนชัดเจนว่า ฝ่ายใดแน่ที่มีความน่าเกลียดน่ากลัวภายในจิตใจ


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายคนหันมาปลาบปลื้ม Sydney จากเรือนร่างเย้ายวนใจด้วยส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่เมื่อเธอเปิดเผย transformation สัดส่วนที่ดูใหญ่ล่ำขึ้น ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อแสดงให้สมบทบาท ชาวเน็ทกลับรุมถล่มเธอด้วยคำพูดร้ายกาจ

แต่ Sydney ไม่ได้ปล่อยให้คนกลุ่มนี้โจมตีเธอด้วยพลังงานด้านลบเพียงฝ่ายเดียว เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอรวบรวมเอาคอมเมนท์ body-shaming บางส่วนมาโพสต์ใน Instagram เพื่อให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจนี้ และ fight กลับด้วยภาพที่เธอฟาดฟันสร้างกล้ามเนื้อใน gym  ตอกย้ำด้วยเพลงที่เลือกใช้ประกอบวีดีโอเพื่อประกาศว่า "ฉันดูเริ่ด"จนเรียกเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม หลายคนยืนยันว่า เธอสวยจนยากจะเข้าใจว่าพวก body-shamers เอาอะไรมาติเธอ และชี้ว่า เธอเป็นตัวอย่างที่ดีงามในการ empower ให้ผู้คน (โดยเฉพาะผู้หญิง) สร้างความภาคภูมิใจในสิ่งที่เป็น
กลุ่มผู้ร่วมต่อต้าน body- shaming ออกโรงฟาดกลับแทน Sydney ว่า

  • นางเอกดังไม่จำเป็นต้องหาคำอธิบายว่า เธอกำลังเพิ่มกล้ามเนื้อและน้ำหนักตัวจนรูปร่างดูหนากว่าที่เป็นมาเพื่อสวมบทนักมวยปล้ำหญิง เพราะเธอคือคนที่มีเลือดเนื้อไม่ต่างจากพวกนักเลงคีย์บอร์ด ไม่ว่าใครก็เคยเจอกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างด้วยปัจจัยต่างๆ แม้จะเป็นคนดังที่สามารถเข้าถึงตัวช่วยที่ทำให้พวกเค้าดูสมบูรณ์แบบแทบตลอดเวลา แต่จะมีสักกี่คนที่รักษาความเพรียวบางไว้อย่างถาวร?  พวกนักวิจารณ์จึงควรระงับสติก่อนจะไปจุ้นจ้านสั่งให้เธอปรับปรุงรูปลักษณ์เพื่อสนองความพอใจของคนอื่น 

  • ทุกคนควรตระหนักรู้ถึงรูปร่างของผู้ที่มีสุขภาพดี แม้แต่กลุ่มคนที่มีวินัยสูง ฝึกซ้อมใน gym และดูแลอาหารการกินเป็นอย่างดีก็ได้เปิดเผยให้โลกได้รู้ว่า พวกเค้าไม่ได้ดูสมบูรณ์แบบตลอดเวลา ถึงจะพยายามลด body fat ลงไปและสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ แต่ก็เลี่ยงช่วงเวลาที่ดูบวมและมีส่วนเกินไปไม่ได้เช่นกัน ส่วนภาพหุ่นที่ดูลีนสุดๆจนใครๆต่างชื่นชมด้วยความอิจฉาก็มีเรื่องของการใช้มุมกล้องและการจัดท่าทางในการถ่ายภาพมาช่วยเยอะเช่นกัน social media มีอิทธิพลอย่างสูงทีี่ทำให้ผู้คนหมกมุ่นในรูปร่างในมายาคติ แต่พวกเราก็ควรรู้เท่าทันการยัดเยียดแนวคิดบูชาเปลือกนอก และหันมาเปิดใจยอมรับว่า รูปร่างของผู้มีสุขภาพดีนั้นไม่ได้มีเฉพาะความลีนไร้ไขมันส่วนเกิน แม้แต่นักกีฬาโอลิมปิคที่แข็งแกร่งก็ยังดูแตกต่างหลากหลาย

เรากำลังถูกครอบงำด้วยมาตรฐานความงามที่ยากจะเป็นไปได้อยู่หรือไม่?

คุณเป็นอีกคนรึเปล่าที่รู้สึกไม่พึงใจเมื่อเห็นไอดอลในมุมที่ดูไม่ผอม ไม่มี S Line หน้าท้องไม่แบนราบหรือมีร่อง 11 หรือคิดว่า ส่วนไขมันเกินเพียงเล็กน้อยของคนดังเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าไม่ผอมบางตรงตามอุดมคติ K-Pop ก็อนุมานได้ทันทีว่า พวกเค้าขาดความรับผิดชอบ ไม่ทุ่มเทมากพอที่จะสร้างภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบอันเป็นหน้าที่ที่ไอดอลจะต้องแบกรับกันทุกคน

ไม่ใช่ทุกสังคมในโลกนี้จะยึดมาตรฐานความงามสอดคล้องกับแนวคิดของชาวเกาหลีใต้ หลายครั้งหลายคราที่ FC จากต่างประเทศต้องช็อคที่ได้เห็นไอดอลรูปร่างดีต้องถูกด้อยค่าเพราะพวกเค้าผอมไม่พอ รวมถึงสื่อนานาชาติที่ได้ตีแผ่ถึงแรงกดดันจากการสร้าง mindset ให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับความผอมของศิลปินดัง แต่หลังจากติดตามดนตรี K-Pop ไปนานวัน ชาวเน็ทบางคนก็ยอมรับว่า เริ่มหันมายึดติดกับรูปร่างอันสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับ K-Pop ไปแล้ว เมื่อคุ้นเคยกับภาพของไอดอลที่มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ ก็หันมามีอคติกับรูปร่างที่ไม่เป๊ะตามมาตรฐานความงามของเกาหลี สร้างแรงกดดันให้ไอดอลต้องเสาะหาทุกหนทางเพื่อเเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ ไอดอลที่มีรูปร่างสมส่วนและผอมเพรียวแบบไซส์ S ก็อาจจะเคร่งครัดคุมน้ำหนักจนลดลงมาเป็นไซส์ 2XS หากสัดส่วนของพวกเค้าดูเล็กสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า คอยาวระหง เอวมด เรียวขา ก็มีโอกาสจะสร้างกระแสจะเป็นไวรัล หากเป็นคนผอมที่มีทรวดทรงอกสะโพกที่เว้าโค้ง ยิ่งจะเรียกเสียงชื่นชมกระหึ่มยิ่งกว่า แต่ในขณะเดียวกัน หากมีภาพไขมันส่วนเกินเผยแพร่ในโลกออนไลน์ พวกเค้าอาจจะถูกกล่าวหาว่า ปล่อยปละละเลยตัวเองจนดูแย่ทันที

หากเป็นไอดอลที่เพิ่งสร้างชื่อเสียงได้ไม่นาน พวกเค้าอาจจะเก็บงำประสบการณ์ที่ต้องถูกบีบคั้นให้คลั่งผอม ไม่ระบายความในใจออกสื่อแบบเต็มๆ แต่เป็นที่รู้กันมานานว่า จะมีทีมหรือผู้ช่วยคอยจับตามองดูพฤติกรรมการกินของไอดอลเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเค้ากินอาหารที่ชื่นชอบเพราะเสี่ยงที่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ทั้งยังตรวจเช็คน้ำหนักไอดอลสม่ำเสมอเพื่อเตือนใจไม่ให้ปล่อยตัวจนดูอวบอิ่มขึ้นเด็ดขาด ในขณะที่คนภายนอกมองว่า นี่คือราคาที่ต้องแลกกับความมีชื่อเสียง แต่วิถีชีวิตที่ยากลำบากนี้ได้ส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว แค่นึกภาพว่า มีไอดอลต้องทนหิวโหยในขณะที่ต้องทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อนก็น่าสะพรึงแล้ว แต่กลายเป็นว่า เรื่องราวของไอดอลที่เป็นลมเพราะอดอาหารกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมนี้ จนมีเสียงเรียกร้องให้สร้างความเปลี่ยนแปลง ก่อนที่ความคลั่งผอมจะครอบงำความคิดคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่กันไปหมด

เมื่อวันก่อน โซยู ไอดอลสาวแห่งวง SISTAR ที่สร้างความโด่งดังในยุค 2010s ได้แชร์เรื่องราวที่เธอเคยหมดสติกลางถนน และจำเป็นต้องรักษาด้วยการให้น้ำเกลือ แต่เธอกลับกังวลใจว่า เมื่อให้น้ำเกลือแล้วอาจจะอ้วนขึ้น เธอเข้มงวดกับตัวเองมากจนผอมเพรียวอยู่ได้ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตบะแตกกินตามใจปากจนน้ำหนักขึ้นมาเป็น 56 KG ซึ่งเป็นตัวเลขสุดช็อคสำหรับคนดัง เธอต้องหันมาเลือกวิธีสุดโต่งในการลดน้ำหนัก แม้แต่จะกินแตงโมสักชิ้นก็ต้องหักห้ามใจด้วยน้ำตา เธอเคยอดอาหารนานถึงสองเดือน สิ่งที่เลือกเข้าปากมีแต่น้ำ กาแฟและยา ความกดดันที่ถาโถมเข้ามาทำให้เธอเจ็บป่วยเป็นโรค panic


เรื่องราวของโซยูฟังดูไม่ต่างจากไอดอลคนอื่นๆที่ต้องใช้วิธีที่โหดร้ายกับตัวเองเพื่อความผอม หากพวกเค้าไม่มีรูปร่างตรงตามอุดมคติของผู้คน นอกจากจะถูกบริษัทกดดัน ยังต้องรับมือกับ cyberbullying ที่รุนแรง ดังที่หลายคนรู้กันว่า แค่หน้าท้องยื่นออกมาจากขอบกางเกงเพียงนิดเดียว ไอดอลก็ต้องเตรียมใจรับ body-shaming อันหนักหน่วงซะแล้ว

ตั้งแต่เมื่อไรที่คนในสังคมร่วมพิพากษาไอดอลว่า หน้าท้องไม่ราบกระชับสื่อถึงความไม่ทุ่มเท? สัดส่วนที่ไม่ลีนคือความบกพร่องที่ยากจะเปิดใจยอมรับ?  มันเหมือนกับตลกร้ายที่ netizen แสดงความปลาบปลื้มศิลปินระดับโลกที่มีรูปร่างไม่ผอมได้ไม่ต่างจากประชากรที่อาศัยมุมอื่นในโลก แต่หากเป็นไอดอล K-Pop แขนขาเล็กเรียวและหน้าท้องเรียบแบนดูจะเป็นคุณสมบัติสำคัญในการสร้างความโด่งดังไม่ต่างจากทักษะการขับร้องและลีลาการเต้นเลย

ภาพรูปร่างเว้าโค้งอันขึ้นชื่อของ Natty แห่ง Kiss Of Life ได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนใน social media เมื่อ Netizens ได้ยกภาพในอดีตของเธอมาเปรียบเทียบว่า เธอดูอวบอิ่มกว่าก่อนจะสร้างชื่อกับ Kiss Of Life โดยเฉพาะเนื้อหน้าท้องที่ปรากฏชัดเจนในลุค crop top ซึ่งในสายตาของกลุ่ม body-shamers นี่ไม่ต่างจากการล่วงละเมิดกฎศักดิ์สิทธิ์ของวงการ K-Pop บ้างก็กล่าวโทษสไตลิสต์ว่า เลือกสรรเสื้อผ้ารัดรูปเกินไป ทำให้จุดรวมสายตาไปอยู่บริเวณลำตัวที่เป็นข้อบกพร่องของเธอ

ทว่า ในสายตาแฟนๆ ความสดใสมั่นใจของ Natty คือ A breath of fresh air ของวงการนี้ แม้แต่คนที่ไม่รู้จักเธอมากนักก็สัมผัสได้ พวกเค้าเชื่อว่า เธอจะก้าวมา set the new bar ด้วยการฉีกกรอบ beauty standard ที่ไอดอลหญิงทุกคนต้องมีหน้าท้องเรียบแบนดุจแผ่นกระดาน เนื้อส่วนเกินนิดๆดูจะไม่ได้สร้างความกังวลให้กับไอดอลสาวเซ็กซี่จากไทย เธอเคลื่อนไหวอย่างมั่นใจ ไม่ต้องคอยพรางสัดส่วน และเรียกเสียงชื่นชมว่า body type เช่นนี้ยิ่งทำให้เธอดู sexy กว่าเดิม และเธอยังดู happy กับตัวเองจนอดจะยิ้มตามไม่ได้ และหน้าท้องนี้ก็ไม่ได้บดบังออร่าที่น่าดึงดูดใจระหว่างการแสดงบนเวทีของ Natty

แม้จะมีผู้จุดประเด็นเรื่องวินัยไอดอลที่ต้องผอมบาง แต่ netizens เกาหลีหลายรายก็ยังให้ feedback ในแง่ดีกับ Natty ทั้งชื่นชมว่าเธอน่ารัก เซ็กซี่ขี้เล่น ถึงจะมีส่วนเกินอยู่บ้างแต่ก็ดูผอมอยู่ดี และเมื่อได้เห็นไอดอลที่เผยเนื้อหน้าท้องได้อย่างมาดมั่นสุดๆ ก็สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ชวนประทับใจเช่นกัน






ประเด็นหน้าท้องของ Natty ฟังคล้ายกับภาพโพรโมทผลงานโซโล่ของ Jennie จากมุมกล้องที่สร้างข้อถกเถียงในโลกออนไลน์ ทั้งฝ่ายที่วิจารณ์ว่า costume ของเธอดูไม่ส่งเสริมรูปร่างให้เพรียวบางน่ามอง เมื่อใช้มุมนี้ทำให้ลำตัวดูบวมขึ้นราวกับกำลังตั้งครรภ์ และยังตำหนิสไตลิสต์-ทีมงานที่เลือกภาพ'พุงหลาม'มากระตุ้นให้เกิดข่าวในแง่ลบ แต่แฟนๆของเธอเชื่อมั่นว่า อิสระทางการสร้างผลงานโซโล่ของ Jennie ได้ผลักดันให้เธอเลือกนำเสนอตัวตนในด้านที่แตกต่างออกไป เธอไม่จำเป็นต้องขายภาพลักษณ์ไอดอลที่ผอมบางทุกมุมมอง

หลังจาก netizens เกาหลีหลายคนจะโจมตีแฟชั่นของเธอในอีเวนท์ Chanel และกล่าวหาว่า เธอปล่อยตัวให้บวมขึ้นจนดูแย่ (ซึ่งสวนทางความรู้สึกของ FC ที่ไม่ว่ามองมุมไหน เธอก็ดูผอมเพรียวมี thigh gap)  แต่ Jennie ปรากฏกายในลุคที่เผยสัดส่วนกว่าเดิมโดยไม่สนดราม่า สอดคล้องกับเนื้อเพลง Mantra ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงความมั่นใจด้วย action ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดฟาดฟันกลับ

เราไม่รู้เลยว่าผู้ที่ถูก body-shame ต้องพบพานกับสิ่งใดมาบ้าง


Jennie เคยเปิดใจว่า หลังจากประสบความสำเร็จในการเดบิวท์ สมาชิก BLACKPINK ต้องทำงานไม่หยุดพัก ระบบการนอนพังไปหมด ไม่ได้กินอาหารอย่างมีคุณภาพและส่งผลกระทบหนักต่อร่างกายของเธอ ทั้งๆเปราะบางมาก แต่กลับไม่มีกระทั่งเวลาจะเรียนรู้เรื่องการดูแลตัวเอง (แตกต่างจากซุปตาร์ระดับโลกหลายคนที่เชิดชู healthy lifestyle แม้จะมีตารางงานแน่น แต่ก็มีวันหยุดพักผ่อนเพื่อเยียวยาร่างกายจิตใจที่อ่อนล้า หรือแม้แต่ยกเลิกคอนเสิร์ตเมื่อร่างกายไม่พร้อม)

เธอยอมรับว่า เจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจหลังจากสิ้นสุดทัวร์ในปี 2020 ซึ่งแฟนๆเหลายคนเคยแสดงความห่วงใยต่อสัญญาณผิดปกติบางอย่างที่ Jennie ได้แสดงออกมา แม้เธอจะหันมารับคำปรึกษาจากเพื่อนร่วมวงการเพื่อรับมือกับเรื่องสุขภาพจิตและเสาะหาหนทางที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่เมื่อลองนึกถึงความรู้สึกของเธอที่เคยฝ่าฟันเส้นทางอันยากลำบากของศิลปิน K-Pop จนพูดได้ว่า ร่างพังมาหลายปี แทบไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ต้องมาถูกซ้ำเติมซ้ำๆว่า ดูผอมไป อ้วนไป หน้าบวม มีพุงดูเหมือนคนท้อง แม้ฉากหน้าของเธอจะดูเลิศเลอน่าอิจฉาสักเพียงใด body-shaming อาจจะทำร้ายจิตใจที่เปราะบางอยู่แล้วจนสุ่มเสี่ยงที่จะแตกสลาย






ประเด็นรูปร่างของจองยอนแห่ง Twice ทำให้ netizens แตกแยกความเห็นเป็นฝักฝ่ายมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน บางคนเริ่มวิจารณ์ด้วยประโยคว่า 'ไม่ได้เหยียดเธอนะ' แล้วตามมาด้วยคำว่าแต่... เพราะถึงที่สุดแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นก็ยากจะเปิดใจยอมรับสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังที่มีรูปร่างเช่นนี้ ทั้งๆที่มีการเปิดเผยว่า น้ำหนักของจองยอนเพิ่มขึ้นเพราะผลข้างเคียงจากยา steroid รักษาอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กลับมีคำแนะนำที่ฟังดูเสียดแทงใจว่า เธอควรเบรคจากการทำงานไอดอลไปฟื้นฟูตัวเองให้หายดีก่อน (คล้ายกับบอกให้เว้นช่วงไปรักษาอาการบวมให้ผอมเหมือนกับไอดอลคนอื่นแล้วค่อยกลับมาทำงาน) หรือบางคนก็ไม่คิดจะรักษาน้ำใจแม้แต่นิด โจมตีว่าเธอดูอวบเช่นนี้มาเป็นปีๆ ไม่หายจากอาการนี้สักที จนไม่เหมือนกับคนที่พยายามจะฟิตหุ่นให้กลมกลืนไปกับศิลปินร่วมวงการ และตอกย้ำว่า หากเธอไม่สามารถเอื้อมถึงมาตรฐานความงามไอดอลได้อีกต่อไป ก็ควรพิจารณาเรื่องการถอนตัวออกจากอาชีพนี้ เพราะเธอดูแตกต่างจากสมาชิก Twice มากเกินไปจนทำใจสนับสนุนไม่ลง




แต่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบ ยังมี netizens อีกไม่น้อยที่ปกป้องจองยอนอย่างเต็มที่ พวกเค้าได้เรียกร้องให้ผู้คนตระหนักถึงผลร้ายของ body-shaming และหันมาสร้างความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ สำหรับคนที่ประสบปัญหาน้ำหนักเกิน เมื่อหันมาใช้ชีวิตที่ healthy ก็จะช่วยให้มีรูปร่างสมส่วนสุขภาพดีขึ้นได้ แต่คนที่ไม่ได้เจ็บป่วยเหมือนจองยอนอาจจะไม่เข้าใจสักนิดว่า เธอจะต้องรู้สึกย่ำแย่แค่ไหน และยังต้องถูกซ้ำเติมให้ละทิ้งความฝันเพราะรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไป การรักษาโรคอาจจะไม่ใช่แค่กินยาหรือผ่าตัดก็หายเป็นปกติ แต่อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิด หลายคนย้ำว่า หากไม่ชอบ ก็แค่เลิกติดตาม ไม่ต้องตาม shame ว่า ความอวบของเธอดูกวนใจเพราะวงดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียว ไอดอลควรจะมีความเป็นปัจเจกโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ไม่ใช่ product ที่ผลิตออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันเพื่อเติมเต็ม fantasy จนเหมือนกันไปหมด

การตัดสินใจหวนคืนสู่วงการของจองยอนจะต้องใช้ความกล้าหาญเพราะเธอรู้ดีว่าจะต้องพบกับกระแสวิจารณ์ด้านลบ แทนที่จะทำร้ายจิตใจกัน พวกเราควรให้กำลังใจส่งเสริมความมุ่งมั่นของเธอ โดยเฉพาะเมื่อสังคมได้รับรู้ว่า เธอได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการ panic และวิตกกังวลมาก่อน


คุณอาจจะได้ยินคนอ้างเหตุผลว่า คนดังต้องยอมรับเรื่องการถูกจับผิดและการด้อยค่าเรื่องรูปร่างหน้าตาให้ได้ ในเมื่อพวกเค้าได้รับโอกาสให้สร้างชื่อเสียงเงินทองมากมายกว่าคนทั่วไปหลายเท่า การทำหน้ารักษาภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบหัวจรดปลายเท้าย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง และหากบกพร่องต่อหน้าที่นี้ ก็ต้องรับฟังเสียงจากสาธารณชนเพื่อปรับปรุงตัว (พบความเห็นประเภทนี้ตามเว็บบอร์ดเกาหลีได้บ่อยครั้ง)

แต่แท้จริงแล้ว body-shaming ที่ไม่ว่าจะมาจากเจตนา 'ติเพราะหวังดี' หรือมาจากก้นบึ้งหัวใจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง มันก็อาจจะสร้างผลกระทบรุนแรงไม่ต่างกัน คำพูดคึกคะนองหรือการระบายอารมณ์ใส่คนดัง (หรือจะเป็นใครก็ตาม) อาจจะฝากรอยแผลที่หนักหนาสาหัสกว่าที่คาดคิด

  • ทำให้ความภาคภูมิใจในตัวเองของคนที่ถูก shame ถูกบั่นทอนลงไปจนเกิดปัญหาทางสุขภาพจิต เช่น body dysmorphia (หมกมุ่นตั้งข้อรังเกียจกับรูปลักษณ์ของตัวเอง)
  • เป็นสาเหตุสำคัญของพฤติกรรมกินอาหารที่ผิดปกติ เพราะหลายคนเชื่อว่า มันเป็นวิธีที่ช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ให้ตรงกับ beauty standard
  • เกิดความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้า เป็นเรื่องยากเย็นที่จะพอใจในสิ่งที่เป็น ท้อแท้หมดหวังในการดำเนินชีวิต
  • ความเจ็บปวดที่ต้องตกเป็นเป้าหมายพิพากษาจากคนอื่นทำให้พยายามปลีกตัวจากการเข้าสังคม แต่ก็ต้องพบกับความโดดเดี่ยว ขาดที่พึ่งพา
อาการทางจิตเวชเหล่านี้สร้างความเสียหายร้ายแรงถึงชีวิต เมื่อรู้กันเช่นนี้แล้ว ยังจะทักทายคนอื่นในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย body-shaming กันอีกรึเปล่า?


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE