มีทั้งเห่อของใหม่ และ ใช้แล้วมาบอกต่อ

         ก่อนอื่นต้องบอกว่าพี่มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับริมฝีปากหลายอย่าง คือ 1) ริมฝีปากคล้ำ ทั้งๆ ที่ผิวขาวเหลือง  2) ปากแห้งตลอดเวลา  3) มีอาการแสบร้อนริมฝีปากด้านนอก แบบเรื้อรังมากคือตั้งแต่เด็กยันล่วงเข้าใกล้ชราภาพ สงสัยน้ำลายจะกรดสูงกว่าชาวบ้านเค้า ทำให้ต้องทาลิปมันตลอดเวลา และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะไม่เจอยี่ห้อไหนแก้ปัญหาได้แบบครบถ้วน

          นี่คือ "ส่วนหนึ่ง" ในบรรดาลิปมันที่เคยใช้ ลองมาแล้วทั้งถูกทั้งแพง


      จะลองรีวิวผลการใช้ให้ทราบนะ
      ดูจากซ้ายไปขวา + ล่างขึ้นบน ปิโตรเลียมเจลลี่ของ Watsons ได้แค่ความมันเคลือบริมฝีปากอย่างเดียว แต่ปากยังแตกอยู่เหมือนเดิม แสบร้อนก็ไม่หาย, ปิโตรเลียมเจลลี่ของ Vaseline อันนี้เคลือบริมฝีปากกับช่วยเรื่องปากแห้งได้นิดหน่อย ไม่ช่วยอะไรเรื่องการแสบร้อนเลย, ที่เป็นลิปมันปลอกรูปหมูนี่ไม่รู้ยี่ห้ออะไร กล่องมีแต่ภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออก ซื้อจากร้าน Loft เคลือบริมฝีปากได้ดี ช่วยเรื่องปากแห้งแตกได้ดีกว่า Vaseline แต่ก็ยังคงไม่ช่วยเรื่องแสบร้อนปาก, แล้วก็มาถึงลิปบาล์มที่ใครๆ ก็ว่าขั้นเทพ คือ Khiel’s Lip Balm ปรากฏว่าไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมทาแล้วเยิ้มยังกะกินขาหมูแล้วลืมเช็ดปาก รำคาญมั่กๆ แถมไม่ช่วยเรื่องปากแตกเลย ที่แย่ที่สุดคือปากทั้งแสบและร้อนมากกว่าเดิมอีก ตอนนี้อันนึงเหลือครึ่งหลอด อีกอันยังเต็มหลอดอยู่เลย (มันมากับ Promotion Set ไม่มีทางเลือกเลยต้องเอามา),  อันต่อไป New Zealand Manuka Honey ซื้อจากนิวซีแลนด์ เป็นขี้ผึ้งผสมน้ำผึ้ง ทาแล้วเยิ้มแหยะกว่า Khiel’s อีก และแสบร้อนปากมากๆ (อาจแพ้เกสรดอกไม้) ทาไม่กี่ครั้งก็เลิกใช้, ต่อไป คือ Grapella lip treatment & lip balm ซื้อจาก Watsons เคลือบริมฝีปากได้ระดับหนึ่ง ช่วยเรื่องปากแห้งและแตกได้บ้าง แต่เนื้อหนืดไปหน่อย  ทาเสร็จเม้มปากแล้วอ้าปากไม่ออก, อันสุดท้าย Blistex รุ่นกันแดด อันนี้เนื้อกำลังดี ไม่เยิ้มและไม่หนืด เคลือบริมผีปากได้ดีประมาณหนึ่ง ช่วยเรื่องปากแห้งแตกได้ แต่ไม่ช่วยเรื่องแสบร้อนน้ำลายกรด    (จริงๆ แล้ว ยังมีอีก แต่ลืมเอามาถ่ายรูป) เท่าที่นึกออกก็เช่น ยี่ห้อ  e.l.f.,  Shiseido,  Chapstick  หรือแม้แต่สีผึ้งแม่เลียบ ในกระบวนที่ไม่ได้ถ่ายรูปมานี้ ที่พอจะโอหน่อยก็คือ Chapstick ส่วนสีผึ้งแม่เลียบนี่ เหนียวตึ้บ หนืดสุดๆ แถมกลิ่นไทยโบราณวังเวงมากๆๆ เหมือนวิญญาณคุณยายมาเยี่ยม แถมไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย

           จนกระทั่ง มาเจอตัวนี้ โดยบังเอิญ 


          

             ชื่อ Lipcare ค่ะ ส่วนผสมประกอบด้วย Curcuma (ขมิ้น), Vitamin E, Mangostin Extract (สารสกัดจากมังคุด), และ Clinaconthus Nutans (ว่านพญายอ)  ที่ซื้อก็เพราะเคยใช้ยาแก้แผลร้อนในในปากที่ทำจากว่านพญายอแล้วมันดีมากๆๆ เลยคิดว่านำมาผสมทำเป็นลิปมันก็น่าจะดี แล้วก็ดีจริงๆ ค่ะ แก้ปัญหาทุกอย่างที่เป็นอยู่ได้หมด แก้ปัญหาปากแห้งแตก อาการแสบร้อนที่ทรมานมานับสิบๆ ปี ก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย แถมพอใช้ไปได้สัก 2-3 อาทิตย์ พบว่าปากหายคล้ำด้วย กลับมาเป็นสีชมพูตามธรรมชาติ (ย้ำว่าสีตามธรรมชาตินะคะ เหมือนตอนเป็นเด็กเล็กๆ อ่ะค่ะ  ไม่ได้แดงกว่าเดิม) เนื้อลิปก็กำลังดี  ไม่หนืดจนอ้าปากไม่ออกและไม่เยิ้มจนดูน่ากลัว (แม้ว่าจะเนื้อคล้ายๆ ปิโตรเลียมเจลลี่ก็ตาม แต่ไม่เยิ้มเลย)  ที่สำคัญราคาถูก แค่ 69 บาทเอง ซื้อมาทีแรกแท่งเดียว  ใช้เกือบหมดแล้วอย่างที่เห็น

         


          เป็นโรคจิต ใช้ผลิตภัณฑ์อะไรดีแล้วกลัวเค้าเลิกผลิต ว่าแล้วก็ไปสอยมาเพิ่มอีก 5 แท่ง ไปไว้ที่ทำงาน 1 แท่ง   (เวลาใช้จะต้องหมุนตรงปลายเพื่อผลักเนื้อลิปมาที่พู่กันอีกด้านหนึ่ง -- แท่งหนึ่งจะใช้ได้ประมาณเดือนกว่าๆ ค่ะ)

            รายการต่อไปค่ะ
 



          เป็น skin care สำหรับบำรุงกลางวัน ทั้งสองอันนี้คือผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน อยู่ในชุด Dermatologist Solutions เพียงแต่ด้านซ้ายเป็นของที่ผลิตส่งขายในโซนเอเชีย จะใช้ชื่อว่า Kiehl’s Ultimate White – Intensive Whitening Essence ปริมาตร 50 ml. ตัวนี้ซื้อจาก shop ที่พารากอน ราคา 2,500 บาท   ส่วนตัวที่อยู่ด้านขวา ฝากเพื่อนซื้อจากอเมริกา จะใช้ชื่อว่า Kiehl’s Bright – Brightening Botanical Moisture Fluid  ประมาตร 75 ml. ราคารวมภาษีแล้ว 44.38 US$ หรือประมาณ 1,490 บาท (ถูกกว่าและปริมาตรเยอะกว่าของที่ซื้อเมืองไทย) คุณสมบัติเมื่อใช้ต่อเนื่องคือทำให้หน้าขาวขึ้น ฝ้าจางลงค่ะ



       เป็น skin care สำหรับบำรุงกลางคืน ซื้อจากอเมริกาทั้งสองอัน ด้านซ้าย คือ Kiehl’s Midnight Recovery Concentrate ตัวนี้เพิ่งซื้อ ราคารวมภาษีแล้วอยู่ที่ 45 US$ กว่าๆ  หรือประมาณ 1,535 บาท ไม่แน่ใจว่าตัวนี้เข้ามาเมืองไทยหรือยังค่ะ  เนื้อมีลักษณะเป็นเหมือน oil ใสๆ ค่ะ แต่ไม่มันมาก  ซึ่งได้เปิดใช้แล้วระยะหนึ่ง คือ ประมาณ 20 วัน ต่อเนื่อง โดยใช้เป็นด่านแรก ตามคำแนะนำเค้าให้ใช้ครั้งละ 2-3 หยด (เป็นก้านหยอดเหมือนยาหยอดตาค่ะ) แต่พี่เป็นกลุ่ม plus size พื้นที่เยอะหน่อยเลยใช้ครั้งละ 4 หยด เอาให้ชุ่ม แล้วทาครีมกลางคืนทับ ผลจากการใช้พบว่าหน้าใสขึ้น แต่ไม่ถึงกับใสมากจนต้องอึ้ง+ทึ่ง  นอกจากนี้ พี่เป็นคนที่นอนเกลือกกลิ้งพอสมควร สังเกตได้ว่าหลังจากใช้ตัวนี้แล้ว ตื่นมาหน้าไม่ยับตามรอยพับของปลอกหมอน (เมื่อก่อนยับประจำ) แต่ถ้าถามว่าประทับใจมั้ย คิดว่ายังเฉยๆ นะ อาจจะเพราะเพิ่งใช้ไม่นาน  
         
ส่วนตัวด้านขวาคือ
Kiehl’s Biological Overnight Peel ราคารวมภาษีอยู่ที่ 46 US$ กว่าๆ หรือประมาณ 1,560 บาท (ในเมืองไทยมีขายค่ะ ราคาขวดละ 2,600 บาท แพงกว่ากันจมเลย)  ตัวนี้ตามคำแนะนำเค้าไม่ได้ให้ใช้ทุกวันค่ะ เพราะมันเป็นตัวผลัดเซลล์ชั้นนอกที่ตายแล้วเพื่อเผยผิวใหม่  ก็ใช้มาได้ประมาณ 3-4 เดือนแล้วค่ะ ทาไว้ตอนกลางคืนแบบเดี่ยวๆ ไม่ต้องทาอะไรทับ พอตอนเช้าจะรู้สึกว่าหน้าสะอาดมากๆๆๆๆๆ ค่ะ แค่เอาน้ำเปล่าลูบหน้าก็เหมือนล้างหน้าด้วยโฟมแล้วเลยค่ะ มันคงผลัดเซลล์ออกไปจริงๆ แหละ  แต่พอตอนมาทาครีมบำรุง บางทีจะยังมีขุยๆ เซลล์ที่ถูกผลัด หลุดออกมาเหมือนเป็นขี้ไคลน่ะค่ะ  แต่ก็แก้ไขได้ด้วยการที่คืนไหนใช้ตัวนี้แล้ว  ตอนเช้าเวลาล้างหน้าให้ใช้โฟมล้างหน้าของ Kiehl’s ตัวที่เป็นเม็ดสครับ เพื่อขัดขุยเซลล์ที่ยังตกค้างออก แค่นี้ก็เรียบร้อย ผลจากการใช้คือหน้าใสขึ้นมากๆๆๆๆ เป็นตัวที่ประทับใจที่สุด ตอนนี้ฝากเพื่อนซื้อมาตุนไว้อีกขวดนึง และคงใช้ไปเรื่อยๆ ค่ะ (เพิ่งมาเจอคุณสมบัติใหม่ของตัวนี้เมื่อคืนนี้เอง คือ ช่วงนี้มีสิวยักษ์เกิดขึ้น ต่อเนื่องมาแบบไม่หาย 3 จุด เอาเบนแซคแต้มแล้วกลายเป็นปะทุขึ้นมา แต่อยู่ๆ ก็แห้งแบบฝังในไปเฉยๆ หัวสิวไม่หลุด ที่ผ่านมาเวลาทาครีมก็ไม่กล้าเอาครีมทาทับหัวสิว เมื่อคืนคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตัวนี้มันช่วยผลัดเซลล์ ลองทาทับหัวสิวดู เมื่อเช้าหัวสิวหลุดเลยค่ะ) 



      ภาพไม่ค่อยชัดเลย มันคือโฟมล้างหน้าของ Kiehl’s  สองตัวนี้มาจากคนละ line นะคะ ตัวซ้ายซื้อในเมืองไทย ที่พารากอน เป็น line กลุ่ม Dermatologist Solutions  ชื่อ  Kiehl’s Ultimate White – Brightening Cleansing Cream ราคา 1,200 บาท ใช้มาเป็นหลอดที่สองแล้วค่ะ หลอดนึงใช้ได้ตั้งเกือบๆ 8 เดือน เพราะตีครีมได้เยอะมาก ใช้คราวละแค่เม็ดถั่วเขียวก็ฟอกได้ทั้งหน้าแล้วค่ะ  ล้างหน้าได้สะอาดมากๆ ค่ะ 
             
ส่วนตัวขวาฝากเพื่อนซื้อจากอเมริกา เป็น
line กลุ่ม Rare Earth ค่ะ ชื่อ Kiehl’s Rare Earth – Deep Pore Cleanser ราคารวมภาษีอยู่ที่ 24 US$ กว่าๆ หรือประมาณ 820 บาท ตัวขวานี่ในเมืองไทยมีเหมือนกัน ราคาคงน่าจะประมาณ 1,200 มั้งคะ ไม่ทราบเหมือนกัน (ดูจากราคาตัวซ้ายน่ะค่ะ โฟมล้างหน้าเหมือนกันน่าจะราคาพอๆ กัน) ตัวนี้ยังไม่ได้ใช้ค่ะ เลยไม่รู้จะเป็นยังไง แต่เห็นหลายคนบอกว่าดีเลยลองซื้อมาใช้ดูบ้าง

       ต่อไป ...



ภาพบนเหมือนไม่ค่อยชัด มีภาพใกล้ให้อีกภาพ



        สองตัวบนนี้คือ Toner ตัวเดียวกัน  ตัวซ้ายผลิตส่งขายเอเชีย  ซื้อในเมืองไทย ใช้ชื่อว่า Kiehl’s Ultimate White – Clarifying Whitening Toner ราคา 1,600 บาท  ส่วนตัวขวาฝากเพื่อนซื้อมาจากอเมริกา ใช้ชื่อว่า Kiehl’s Ultra Facial Toner ราคารวมภาษีแล้วอยู่ที่ 17 US$ กว่า หรือประมาณ 560 บาท  เนื้อผลิตภัณฑ์มีลักษณะคล้ายนม ตัวซ้ายจะข้นกว่า ส่วนตัวขวาจะค่อนข้างใส ใช้เข้าคู่กับซีรั่มและโฟมล้างหน้าแล้ว ช่วยเสริมกันในเรื่องความขาว ลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ



           อันนี้เพิ่งซื้อมาได้ 5-6 วันค่ะ เป็นครีมรอบดวงตา ยี่ห้อ Ecorre ของเกาหลี ซื้อจากร้านบู๊ทส์ ค่ะ ราคารู้สึกจะประมาณเกือบๆ 1,200 มั้ง จำไม่ได้ (ทิ้งใบเสร็จไปแล้ว)  เห็นจากโฆษณาใน Ray อ่ะค่ะ พอดี eye cream ที่ใช้อยู่หมดก็เลยลองซื้อมาใช้ดู  ซึ่งก็ได้ลองใช้แล้ว แต่เนื่องจากยังใช้ไม่นานนักยังไม่สามารถรายงานผลได้ บอกได้แต่ว่า หอม..มาก...ก...ค่ะ 
 
       คราวนี้ถึงคิวแป้งพัฟฟ์แล้วค่ะ  พี่ลองใช้มาหลายยี่ห้อแล้วก็ยังไม่เจออะไรที่ถูกใจจริงๆ  เคยใช้ Chanel แต่รู้สึกว่าสีมันออกเหลืองเกินไป ไม่ชอบ  แล้วก็เคยใช้ Yves Rocher รุ่น Yria อันนี้ชอบค่ะ ใช้อยู่ตั้งหลายตลับ แต่มีปัญหาว่าเค้านำเข้าของมาแบบไม่อยู่กับร่องกับรอย บางครั้งซื้อพร้อมกัน 3 ตลับ พลิกดูด้านหลังปรากฏว่าผลิตจาก 3 ประเทศเลยก็มี ทำให้ผสมสูตรต่างกันและสีไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ ตอนหลังรุ่นนี้ก็เลิกผลิต เปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่มาแทน  สวยดีเหมือนกันค่ะ แล้วก็เคยใช้ล่าสุดคือ Lola ต้องบอกว่าไม่ประทับใจเลย ทาแล้วรู้สึกหน้าหนักๆ หนาๆ ยังไงไม่รู้ แล้วก็ระแวงด้วยว่าทำไมใช้ไปๆ แล้วแป้งมันขึ้นเป็นเม็ดๆ อะไรไม่รู้ มีคนบอกว่าเป็นเม็ดวิตะมินที่เค้าผสมไว้ แต่เห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ดูมันขรุๆ ขระๆ ไม่สวยงาม กลัวหน้าจะขรุขระตามไปด้วย จนมาเจอตัวนี้ ตอนไปสิงคโปร์เมื่อต้นปีนี้เอง



         เป็นแป้งพัฟฟ์ของ Benefit ค่ะ รุ่น Hello Flawless  ชื่อสี Champagne ตลับแรกซื้อจากสิงคโปร์อย่างที่บอก ราคาอยู่ที่ 65 สิงคโปร์ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,560 บาท ใช้แล้วชอบมากๆ ค่ะ เลยฝากเพื่อนซื้อจากอเมริกามาตุนไว้อีก 2 ตลับ ราคาที่อเมริการวมภาษีแล้วอยู่ที่ 37 US$ หรือประมาณตลับละ 1,250 บาท เนื้อแป้งจะเป็นสีออกเนื้ออมชมพูและอมทองอ่อนๆ ค่ะ ดูสวยและมีมิติดี ไม่โพลนและไม่เหลืองเกิน  ที่สำคัญ เนื้อแป้งบางเบามากแต่กลับปกปิดยอดเยี่ยมเลย
      
        ตลับทำเป็นลิ้นชัก มีพัฟฟ์ให้ 1 อัน และแปรงให้ 1 อัน แปรงไว้สำหรับเวลาต้องการทาเป็นแป้งฝุ่น แต่ไม่แนะนำให้ทาเป็นแป้งฝุ่นค่ะ เพราะว่าแป้งเนื้อละเอียดมาก พอเอาแปรงกวาดออกมา มันเลยออกมาเยอะเกินไป ถ้าปัดไม่ดีอาจจะทำให้เป็นคราบหรือไม่เรียบเนียนเสมอกัน ใช้เป็นแป้งพัฟฟ์ดีกว่า ( แป้งของ Benefit นี่ เค้าจะมีสโลแกนบ่งบอกบุคลิกของสีด้วยค่ะ สำหรับสี Champagne นี่ สโลแกน คือ “me, vain?” = “อย่างฉันน่ะเหรอไร้สาระ?”  แปลแล้วดูดีนะ แต่เสียงอ่านนี่สิ ตอนแรกต๊กกะใจ นึกว่า มีเวร )
  
          เอาอะไรต่อดีล่ะ ลิปสติกแล้วกัน เป็นของยี่ห้อ Sephora ค่ะ



         ดูเบอร์นะคะ  No.6 ค่ะ เผื่อใครเห็นสีแล้วสนใจจะซื้อตาม  ราคาจำไม่ได้แล้วค่ะ แต่คุ้นว่าไม่แพงเท่าไหร่ อาจจะเป็นเงินไทยสัก 500 – 600 มั้ง


         

            เค้ามีสีอยู่บนฝาปิดให้รู้ว่าข้างในสีอะไร



        ส่วนสีจริงเป็นแบบนี้ค่ะ สีออกส้มอมชมพู วิ้งทองเล็กน้อยพองาม

 

         กลับมาหาของที่ช็อปในบ้านเราอีกครั้ง ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อันแรกคือ Concealer ของ Yves Rocher ชื่อรุ่น Couleurs Nature ค่ะ




          ดูใกล้ๆ  นะคะ





        สีมีให้เลือก 2 สี ที่เอามาโชว์นี่ เป็นสีเนื้ออมชมพูชิมเมอร์   ต้องบอกว่าชอบมากๆ เลยค่ะ ปกปิดสุดยอด จุดด่างดำ รอยสิว ขี้แมลงวัน อะไรเนี่ยเก็บได้หมดเลยค่ะ ราคาเต็มรู้สึกจะ 500 – 600 แต่ซื้อตอนเดือนเมษายนซึ่งเค้ามีลดราคาค่ะ ลดไปประมาณ 30 หรือ 40 เปอร์เซ็นต์ค่ะ (ใช้สิทธิวันเกิดด้วยค่ะ)

 

           ต่อไปจะเข้าสู่เสื้อผ้าและบรรดา accessories และของกระจุกกระจิกแล้วนะคะ จริงๆ แล้ว ช่วงนี้ซื้อเสื้อผ้า (รวมทั้งจ้างช่างตัดด้วย) เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ จะเรียกว่าช็อปรายวันเลยก็ได้ แต่ขอโชว์ตัวนี้แล้วกัน (เพราะถ่ายรูปมาตัวเดียว หุหุ)  ดูด้านหน้าก่อนนะ เป็นแบบนี้  ราคาถูกมากค่ะ เพราะซื้อจากหน้าเมเจอร์ปิ่นเกล้า  รู้สึกว่าจะประมาณ 400 - 450 บาทมั้ง จำไม่ได้   




             สีม่วงแสบสันสะใจไทยพาณิชย์ (เอ๊ะ! ธนาคารมาเกี่ยวอะไรด้วยหว่า)


              ทีนี้ก็ดูด้านหลัง......โหดเหี้ยมมาก.....คว้านไปถึงไหนๆ 


       
         กะว่าที่ซื้อมานี่อาจจะใส่ไม่ได้หรอก  -- plus size อย่างเราคงปลิ้นเป็นแหนมป้าย่นแน่ๆ -- แต่เอามาเป็นแบบให้ช่างตัดชุดดำหรือดำ-ขาว แบบเป็นไซส์ตัวเอง เพียงแต่ย่อ scale ให้วาบหวิวน้อยลงนี๊ดส์ส์ส์นึง กลัวใส่ไปงานศพแล้วพระกระเจิง ศพกระโจนหนีออกจากโลง

        เสื้อตัวอื่นๆ ไว้คราวหน้านะคะ มันไม่รู้จะแขวนกับอะไรเพื่อถ่ายรูป จะวางบนเตียงก็ไม่ถนัด (ตัวสีม่วงข้างบน อาศัยหุ่นโชว์เสื้อของช่างตัดเสื้อเค้าค่ะ)    

        


             ต่อด้วยนาฬิกาที่ใช้อยู่ประจำ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ใช้ในการทำงาน ทั้งเก่าและใหม่ ก็เลือกที่ดูเป็นทางการหน่อย  (จากซ้ายไปขวา ล่างขึ้นบน)  อันแรกยี่ห้อ Bucherer ซื้อจากสวิตเซอร์แลนด์ หลายปีแล้วค่ะ แบบเรียบๆ คลาสสิค, ถัดขึ้นไปเป็นของ Morgan ซื้อผ่านเว็บไซต์ค่ะ ไม่ค่อยได้ใส่เท่าไหร่ เพราะหนักข้อมือมากๆๆๆ เลย หนักเหมือนนาฬิกาผู้ชายเลยค่ะ, สีน้ำตาลนี่ซื้อเมืองไทย ไม่แพงค่ะ พันกว่าบาทเอง ของยี่ห้อ Julius เห็นสีน้ำตาลโทนนี้สวยดี ไม่เข้มเกิน ไม่อ่อนเกิน เลยสอยมา, ถัดขึ้นไป สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์อีกแหละ ยี่ห้อ Henley  ชอบดีไซน์ว่าแปลกดี (เคยใส่แล้วมีคนร้องทักแบบตกอกตกใจว่านาฬิกากำลังจะหลุดด้วย 555++), ถัดลงมาอันนี้เป็นนาฬิกาที่ใช้มานานมาก..ก...ก... ยี่สิบปีเห็นจะได้แล้วค่ะ ขอแอบเอามาร่วมขบวนแสดงตนด้วย  เป็นของ Citizen ค่ะ อดีตคนรู้ใจซื้อให้ ทุกวันนี้ยังใช้การได้ดีอยู่เลยค่ะ ถึกมากๆ



            ส่วนกลุ่มนี้เป็นนาฬิกาใส่เล่นวันหยุดหรือไปเที่ยว จริงๆ มีเยอะกว่านี้ค่ะ บ้านาฬิกามากถึงมากที่สุด แต่เลือกเอากลุ่มนี้มาโชว์เพราะว่าเป็นกลุ่มที่ซื้อตอน ผีลิเก เข้าสิงในบางช่วงเวลา ไม่ได้ซื้อพร้อมกันนะคะ แต่ที่เหมือนกันคือทุกเรือนในกลุ่มนี้ราคาถูกมากๆ  (เฉลี่ยประมาณเรือนละ 350 ) อันซ้ายสุดซื้อจากตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง อันเขียวตรงกลางซื้อจากแพลตตินั่ม ส่วนอันขวาเป็น OTOP จากตลาดน้ำดำเนินสะดวก ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยวาว แต่ตอนใส่นี่วิ้งสาดกระจายเลยค่ะ




          กระเป๋าเป้หลัง ของ HOW ค่ะ  ซื้อจากเดอะมอลล์ท่าพระเมื่อประมาณกลางเดือนเมษา ใช้แล้วก็เลยเสียรูปทรงไปเล็กน้อย  กับกระเป๋าใบนี้จุดประสงค์หลักไม่ได้อยากเอามาเห่อหรอกค่ะ แต่มีปัญหาถามสมาชิกจีบันหน่อย ใครรู้ช่วยบอกด้วยว่าไอ้ห่วงข้างล่างน่ะ มันมีไว้ทำอะไร



 

          
              อ้ะ! ดูใกล้ๆ นะ มันมีไว้ทำไมน่ะ (แอบโง่)



          ทีนี้ก็รองเท้าล่ะ คู่ซ้ายมือเป็นของ Senso ตั้งฮั่วเส็งธนบุรีเอามาลดราคา เห็นว่าเป็นสีเทาเมทัลลิกแปลกตาดีเลยซื้อมา ส่วนคู่ขวาเพิ่งซื้อเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จาก Union Mall เห็นมันหลากสีดี มีพู่เด้งๆ ด้วย ราคา 290 บาทเองค่ะ ถูกมาก...ก....ก...ทั้งสองคู่นี้สำหรับใส่ไปใกล้ๆ   ถ้าพวกใส่ไปทำงานจะยึดคัทชูแบบเรียบๆ เป็นหลัก  และจะค่อนข้างลงทุนซื้อยี่ห้อแพงหน่อยเพราะมันมีผลกับสุขภาพองค์รวม  แล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มใส่เที่ยวแบบเป็นเรื่องเป็นราว (ไปไกล) ก็ค่อนช้างลงทุนเหมือนกัน    รองเท้าเป็นอีกอย่างที่มีเยอะมากๆๆๆๆๆ  เยอะพอๆ กับกระเป๋า 



        ที่ Union Mall เดินมาเจอกระเป๋าใส่ดินสออีก ลดราคาเหลือ 89 บาท สอยมาโลด ช่วงนี้อบรมสัมมนาบ่อย คงได้ใช้  
 



      ส่วนอันนี้ เป็นปลอกแขนที่พอใส่แล้วจะเหมือนกับรอยสัก เห็นรูปมันหวีดสยองดี เลยเอามา ลดราคาเหลือแค่คู่ละ 59 บาท  ยังนึกไม่ออกหรอกว่าจะได้ใส่งานไหน แต่ซื้อไว้ก่อน ( เห็นมั้ยล่ะ มันบ้าช็อปจริงๆ ซื้อดะ )




ส่วนอันนี้ เป็นกำไลที่มีสร้อยร้อยแหวนในตัว ที่จริง design นี้ก็ไม่ใช่ของแปลกหรอก เพียงแต่เห็นทำเป็นรูปลูกกะตา ดูหวีดๆ อีกแหละ  เลยเอามา (ค่อนข้างจะเป็นคนสองบุคลิก บางทีก็แนวยิ้ง...หญิง บางแนวก็ออกจะ hardcore) 

       



        อายจัง แขน ล่ำ มาก นิ้วก็ไม่สวย



        กลับมาสวมวิญญาณหญิงอีกครั้ง  กับโรลม้วนผมทรงรีและแกนค่อนข้างยาวคู่นี้  ใช้สำหรับม้วนผมม้าให้โป่งๆ พองๆ หรือใช้ม้วนผมตรงกระหม่อมให้ดูหัวทุยๆ (พี่ก็คงใช้เพื่อประการหลังนี่แหละเพราะไม่ได้ไว้ผมม้า)  ซื้อจาก Zeen Zone ในเซ็นทรัล  ราคา 170 บาท

            เริ่มขี้เกียจแล้ว + หิวหน่อยๆ ด้วย ปิดท้ายเลยแล้วกันนะ เป็นถุงผ้าคู่ใจที่มักจะเอาติดตัวไปช็อปด้วยเพราะใบโตใหญ่ยักษ์ จุดี  จริงๆ แล้วมีถุงผ้าหลายใบมากๆๆ  แต่เอา 2 ใบนี้มาโชว์ เพราะบ่งบอกถึง ตัวตน ของจขกท.ได้อย่างดียิ่ง  ดูใบแรกก่อนนะ

        
 

 
           แน่นอนค่ะ “I 

Shopping”  (ไม่มีอะไรจริงไปกว่านี้อีกแล้ว) ช็อปเป็นบ้าเป็นบอ ช็อปได้เกือบทุกวัน

         ส่วนใบปิดท้าย อยากบอกว่า…( กรุณาอ่านอักษรสีแดง )


      เผื่อจะมีหนุ่ม (ตาถั่ว) ที่ไหน มาติดเบ็ด จะได้อินเทรนด์ (กินเด็ก) กะเค้ามั่ง 555++ 
 

      วันนี้ บ๊ายบาย เท่านี้ก่อน  ไว้พบกันใหม่นะคะ

 

 

            

 


        

Discussion (25)

@yol  อยากได้ lipcare ค่ะ ไปเดินตามหามาไม่เจอเลยค่ะ ไม่ทราบยังใช้อยู่รึเปล่าคะ
ฝากซื้อลิปแคได้ป่าวคะ

อ่านแล้วรีบไป sephora แอบซื้อแป้ง benefit ตามค่ะ

 
ซื้อมา 330หยวน (เงินจีน) ตกตั้ง 1650 แหนะ 


จะแวะมาบอกว่า ใช้ดีจิงๆค่ะ ขอบคุณสำหรับกระทู้นะคะ

 

คุณ moriei ไม่ต้องขอโทษค่ะ บอกแล้วไงว่าขอบคุณ ก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะ มีคนเป็นห่วงดีออกค่ะ

แล้วก็ไม่ได้ไม่สบายใจด้วยค่ะ เพราะมั่นใจว่าของแท้แน่ๆ ( แต่ถ้าทักมาเป็นเรื่องนาฬิกาที่สั่งผ่านเว็บ  อาจจะจิตตกได้  เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับคนขาย )

ไม่ต้องกังวลนะคะ ไม่โกรธ
ต้องขอโทษเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ

พอดีเราเเค่เคยเห็นว่ามีสาวๆมาตั้งกระทู้ในนี้เเล้วเค้าบอกว่าปลอมอ่ะคะ

เราไม่ได้ตั้งใจ ต้องขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจด้วยนะคะ

ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ เราเพิ่มสมัครเว็บนี้มาเพราะเป็นห่วงจขกท.คะ 

ยังไงถ้าได้ของเเท้ก็ดีเเล้วนะคะ