ถามเกี่ยวกับยาคุม แบบแปะหน้าท้อง
ยังแจ๋ว5ถามสาวๆที่มีสามีแล้วน่ะค่ะ ว่าใครเคยใช้บ้างคะ ยาคุมแบบแปะหน้าท้องน่ะค่ะ คือเราทานแบบแผงอยู่ค่ะ ถ้ามีผลข้างเคียงน้อยแล้วปลอดภัยกว่าแบบแผง เราว่าจะลองเปลี่ยนดูน่ะค่ะ ทานแบบแผงมาหลายปี ก็กลัวว่าจะมีผลเสียอื่นๆ ตามมาค่ะ ช่วยเข้ามาแชร์กันหน่อยนะคะ
Discussion (5)
นี่ ก็เอาข้อมูลที่หาได้ มาฝากให้อ่านนะค่ะ...อ่านแล้วก็ระวังเรื่องการใช้ยาด้วยค่ะ
เราก็ family เดียวกัน โฮะๆๆๆ
วอชิงตัน ดีซี (เอพี) : อย.สหรัฐฯ เตือนผู้หญิงที่ใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด “Ortho Evra” แผ่นทำให้ร่างกายรับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เสี่ยงเส้นเลือดขอดอาจเสียชีวิต
องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ประกาศเตือนถึงอันตรายของแผ่นแปะหน้าท้องเพื่อคุมกำเนิดที่เรียกว่า “Ortho Evra” เมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ว่า ทั้งยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดและชนิดแผ่นประกอบไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนในปริมาณที่พอๆ กัน แต่ฮอร์โมนที่มาจากแผ่นคุมกำเนิดจะตรงไปยังกระแสเลือด ขณะที่ฮอร์โมนที่มาจากยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะถูกย่อยเพราะการกลืน ทำให้ร่างกายของหญิงที่ใช้ชนิดแผ่นมีเอสโตรเจนในระดับที่สูงกว่า
คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการรายงานข่าวถึงผู้หญิงช่วงวัยรุ่นและวัยต้น 20 ประมาณ 12 รายที่เสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดขอด โดยแพทย์เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการใช้แผ่นคุมกำเนิด และอีกราว 12 รายที่รอดชีวิตจากอาการหัวใจวายและปัญหาทางระบบหายใจรุนแรงอื่นๆ
ทาง ออร์โธ แมคนีล บริษัทผู้ผลิตแผ่นคุมกำเนิด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้เพิ่มคำเตือนเช่นเดียวกันบนฉลากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน ว่าร่างกายของผู้ใช้ยานี้จะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่ยืนยันมาตลอดนับแต่วางขายเมื่อปี 2002 ว่า ความเสี่ยงต่อการใช้แผ่นคุมกำเนิดอยู่ในระดับเดียวกับการใช้ชนิดเม็ด
“ถ้าฉันรู้ตั้งแต่แรก ฉันคงจะไม่ใช้มันแน่” เจนนิเฟอร์ คาวเพิร์ธเวท หญิงวัย 26 ปีชาวเมืองบรอดบรูค รัฐคอนเนคติกัต หนึ่งในชาวอเมริกัน 4 ล้านคนที่ใช้แผ่นคุมกำเนิดชนิดนี้กล่าว พร้อมกับเปิดเผยว่าตนเริ่มมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ หลังการอาการเลือดขอดลุกลามไปถึงปอดเมื่อสองปีก่อน
น.พ.เลสลีย์ มิลเลอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาสูตินรีเวช แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน หนึ่งในทีมนักวิจัยเกี่ยวกับแผ่นคุมกำเนิดล่าสุดแนะนำว่า “ถ้าแผ่นทำให้มีฮอร์โมนเอสโตรเจนมาก ก็ควรได้รับการแก้ไขใหม่ ผู้หญิงที่ใช้แผ่นนี้อยู่ก็อย่าเพิ่งถอดออกทันที เพราะจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาหมอเพื่อหายาคุมกำเนิดชนิดอื่นก่อน”
โดย น.พ.มิลเลอร์ได้อธิบายขั้นตอนการซึมซับฮอร์โมนของยาและแผ่นคุมกำเนิดว่า ผู้ที่ใช้ยาเม็ดจะมีปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายสูงสุดประมาณ 1-2 ชั่วโมงหลังจากกินยาแล้ว อีก 12 ชั่วโมงต่อมาปริมาณก็จะลดต่ำลงมาก ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะไม่มีฮอร์โมนชนิดนี้อยู่ในระดับสูงตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่แผ่นคุมกำเนิดจะทำให้มีระดับของเอสโตรเจนอยู่ในร่างกายในระดับสูงตลอดทั้งวัน ซึ่งจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการเลือดขอดได้ โดยในขณะนี้มีสูตินรีแพทย์บางคนได้เริ่มติดต่อไปยังคนไข้ที่ใช้แผ่นคุมกำเนิดชนิดนี้ ให้เลิกใช้และกลับมารับคำปรึกษาเพื่อเลือกใช้ชนิดอื่นต่อไป
เอริกา ไคลน์ น้องสาวของ แคทาลีน ธอเรน หญิงชาวเมืองร็อคสปริง รัฐไวโอมิง ที่เสียชีวิตด้วยอาการเลือดขอดไปเมื่อปีที่แล้ว หลังจากให้กำเนิดลูกคนที่สองได้ไม่นานและเริ่มใช้แผ่นคุมกำเนิดนี้ โดยอาการก่อนเสียชีวิตคือปวดศีรษะมากซึ่งเกิดจากปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ว่า ผู้หญิงทุกคนสมควรที่จะได้รับรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกใช้การคุมกำเนิดชนิดใดๆ
“ไม่มีใครควรที่จะต้องเจอกับความเลวร้าย เช่นที่พี่สาวของฉันได้พบมา” ไคลน์กล่าว
แบบแปะตัวยาจะเหมือนแบบแผงเด๊ะ(แต่แบบกินเองก็มีตัวยาหลายขนาดนะคะ)
เพียงแต่แปะแล้วจะดูดซึมผ่านผิวหนัง
ผลข้างเคียงจะเหมือนทานยาปกติค่ะ
เพราะเป็นฮอโมนชนิดเดียวกัน
แต่คนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังให้ระวังเพราะอาจแพ้ได้ค่ะ
คือคนที่ติดพลาสเตอร์แล้วคันไม่ควรใช้ค่ะ
ส่วนรายละเอียดเรื่องขนาดของฮอโมนในแผ่นแปะไม่ทราบค่ะ
รอผู้รู้จริงมาไขความกระจ่างอีกทีละกันนะคะ