Meso Melasma ช่วยให้หน้าขาวใส เน้นเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง
Pearliez 10 11สวัสดีค่ะ กลับมาอีกครั้งแล้วนะคะ รู้สึกว่าการเขียนรีวิวเป็นอะไรที่สนุกและได้แบ่งปันกันด้วยสำหรับวันนี้อยากมาแบ่งปันการทำหน้าใสไร้จุดด่างดำ สำหรับสาวๆที่มีปัญหาในเรื่องนี้เหมือนกันลองดูนะคะ
Meso Melasma ช่วยให้หน้าขาวใส เน้นเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง ก่อนอื่นเราขอบอกก่อนเลย การทำ Meso ครั้งนี้ถือเป็นการทำครั้งแรกในชีวิต ทั้งตัว หน้าและผิวของเรานั้นไม่เคยเข้าสถาบันเสริมความงามใดๆมาก่อนเลย เนื่องจากเป็นคนที่มีสิวน้อยหรือแทบไม่มีจะมีเฉพาะเวลามีรอบเดือนเท่านั้น ใบหน้าจะมีแต่รอยกระบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างซึ่งมันเกิดขึ้นประมาณช่วงที่เรียนมัธยมต้น โดยส่วนตัวเราคิดว่าเวลาแต่งหน้าใช้คอนซิเลอร์กลบได้ เลยไม่คิดที่จะไปเลเซอร์ออกแต่อย่างใดเพราะเคยได้ยินมาว่าทำไปมันก้อไม่ได้หายไปตลอดชีวิต ถ้าออกแดดไม่ดูแลเด่วมันก็จะต้องกลับมาอีก จึงไม่มีความคิดที่จะทำเลย...
โดยครั้งนี้เราตัดสินใจทำ Meso เพราะว่ามีพี่แนะนำ ซึ่งพี่เค้าก็กำลังทำอยู่และเห็นผลว่ารอยกระมันดูจางลง เราจึงไปปรึกษาแพทย์และตัดสินใจลองทำในที่สุด ซึ่งการทำ Meso นั้นมีหลายชนิดของเราจะเป็นการทำ Meso Melasma ซึ่งจะช่วยในเรื่องหน้าขาวใส เน้นการรักษาเรื่องของฝ้าเข้ม กระ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ
มาทำความรู้จัก Meso กันก่อน!!!!!
Meso Therapy คืออะไร
Meso คือ การใช้เข็มเป็นตัวผลักสารที่เป็นประโยชน์จำพวกวิตามินซี เข้าไปในชั้นผิวของเราที่เรียกว่า “ผิวชั้นเมโส” โดยเข็มจะไปกระตุ้นการทำงานของชั้นผิวและฟื้นฟูผิวของเราในชั้นเมโส ทำให้ผิวหน้าของเราขาวใส ลดริ้วรอยและจุดด่างดำได้
- การคลีนหน้าหรือทำความสะอาดผิวหน้า
- ทายาชาทั่วบริเวณหน้าจากนั้นแร็บหน้าด้วยพลาสติก (เพื่อไม่ให้ตัวยาระเหย) ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที
- ลงเข็มทั่วใบหน้าใช้เวลา 10-15 นาที (โดยเข็มมีขนาดความลึกต่างกัน 0.25, 0.5, 0.75, 1, 2 มิล) ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ประคบเย็นด้วยเครื่องประคบ
- นอนพักหน้าประมาณ 15-30 นาที (เนื่องจากหลังจากทำเสร็จหน้าจะแดงและมีอาการแสบร้อน)
- รับยา (ยาแก้อักเสบ) กลับมาทาที่บ้าน
- ควรทำทุกอาทิตย์เป็นประจำหรืออาทิตย์เว้นอาทิตย์เพื่อความสม่ำเสมอและเห็นผล (ระยะเวลาในการทำ 3 ครั้งขึ้นไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล แนะนำว่าควรซื้อเป็นคอร์ส 8-10 ครั้ง ประหยัดและเห็นผล)
- ห้ามออกแดดหลังจากทำเสร็จใหม่ๆ และห้ามโดนแดดแรงๆหลังจากทำเป็นเวลา 2 วัน
- ห้ามล้างหน้า 4-6 ชม. เพื่อให้ผิวดูดตัวยาที่ยังอยู่บนชั้นผิว
- หลังจากครบกำหนด ให้ล้างหน้าและลงครีมบำรุงได้ตามปกติ แต่ให้เน้นใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินทาแบบจัดหนักได้เลยหรือใช้แผ่นมามาร์คหน้าที่เป็นแบบวิตามินซี เพราะช่วงนี้หน้ากำลังดูดซึมได้ดีเยี่ยม
- ห้ามใช้ครีมจำพวก whitening หรือครีมหน้าขาวต่างๆ (ใช้ได้แต่พวกครีมบำรุงที่มีวิตามิน)
- แนะนำว่าควรไปทำช่วงบ่ายแก่ๆ (ใช้เวลาทำทุกขั้นตอนประมาณ 1 ชม. 30 นาที) เพราะทำเสร็จก็เกือบจะเย็นพระอาทิตย์ตกพอดี หน้าก็จะไม่ถูกแสงแดดเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
- ไม่เจ็บมากนักอยู่ในระดับที่ทนได้ (แต่ต้องทายาชานะ)
- ไม่ต้องพักฟื้น หลังจากทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ (ยกเว้นหลังทำเสร็จใหม่ๆหน้าจะแดงมากกก)
- เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ (เช่นรูขุมขนกระชับขึ้น สิวเสี้ยนหายไป แต่รอยกระรอยดำต้องรอต่อไป ทำซ้ำอีกหลายครั้ง)
- ไม่ต้องกลัวหน้าไหม้เหมือนการทำเลเซอร์
- หน้าจะขาวใส ผ่องขึ้น เนียนขึ้น
- เวลาแต่งหน้าเครื่องสำอางจะติดมากขึ้น
- ราคาแพง (แพงมหาโหด)
- อาจมีหน้าลอกบ้าง (แต่ลอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเป็นแผ่นบางๆ ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิต)
- อาจมีอาการระคายเคืองหรืออักเสบสำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย
สรุปความคิดเห็นส่วนตัวครั้งแรก ที่ทำนั้นขอยอมรับว่าหวังผลมาก โดยลืมนึกไปว่าของแบบนี้ต้องใช้เวลาในการทำและการดูแลหลังจากการทำ โดยตอนที่อยู่ในขั้นตอนการทำนั้นรู้สึกเป็นอะไรที่แปลกใหม่มีกังวลบ้างว่าจะดีไหม จะแพ้รึเปล่า หน้าจะพังไหม กลัวไปหมด (ครั้งแรกเราลงเข็มในความลึกที่ 0.25 มิล) พอทำเสร็จแบบโอ๊ยยย...แสบหน้าจัง (แต่แสบแบบทนได้นะ) กลับบ้านบำรุงตามปกติที่ทางคลินิกแนะนำหลังจากอาบน้ำล้างหน้าเราก็มาร์คหน้าด้วย Facial Treatment Mask จาก SK II ซึ่งให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ฟื้นบำรุงสภาพผิว และเช็ดหน้าด้วย Facial Treatment Essence แค่นี้ ตื่นเช้ามารู้สึกว่าหน้าดูกระชับขึ้นเท่านั้น ส่วนรอยกระยังไม่ดูจางลงเท่าไหร่ ซึ่งลองปรึกษาพี่สาวเค้าก้อบอกว่าประมาณครั้งที่ 3 จะเริ่มเห็น เราก็โอเครอต่อไป.....
ครั้งที่สองก่อนทำได้มีการพูดคุยกับคุณหมอว่าเรายังไม่ค่อยเห็นผลเลย ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ ซึ่งครั้งนี้หมอเลยบอกว่าจะเพิ่มการลงเข็มจาก 0.25 เป็น 0.5 โดยครั้งนี้เน้นบริเวณกระที่โหนกแก้มและสิวเสี้ยนที่จมูกเป็นพิเศษ พอทำครบตามขั้นตอนเสร็จ รู้สึกแสบหน้ามากกว่าครั้งที่แล้ว (ระยะเวลาแสบร้อนหน้าประมาณ 30 นาที -1 ชม.) กลับบ้านรอเวลาตามที่กำหนดบำรุงหน้าตามขั้นตอนเหมือนเดิม ตื่นเช้ามารู้สึกหน้ากระชับมากขึ้นกว่าครั้งแรก เวลาลงครีมอะไรหน้าก็ดูผ่องขึ้น เหมือนกับหน้าดูดซับครีมได้ดีกว่าเดิม สิวเสี้ยนที่จมูกไม่มีให้เห็นกระเด็นออกไปหมด รอยกระยังไม่จางลง รอครั้งต่อไป...
ครั้งที่สาม คุณหมอบอกว่าครั้งนี้จะเพิ่มความลึกในการลงเข็มเป็น 0.75 ซึ่งขอบอกเลยว่าเจ็บมากกก ในบางส่วนที่ฤทธิ์ของยาชาไปไม่ถึง ตอนทำนั้นนอนเกร็งบีบแขนตัวเองแถมบางครั้งยังมีร้องหมอเจ็บๆๆๆๆ ซึ่งหมอก็ได้แต่เพียงพูดว่าต้องอดทนนะคะ บางคนทำทั้งๆที่ไม่ลงยาชาด้วยซ้ำไป หลังจากทำเสร็จแสบหน้ามากกว่าครั้งไหนๆพอประคบเย็นด้วยเครื่องเสร็จพยาบาลเอาสำลีเย็นมาประคบหน้าให้ต่อ เนื่องจากเราบอกหมอว่าแสบร้อนหน้ามากทนไม่ไหวนอนประคบอยู่เกือบ 30 นาทีได้ กลับบ้านรอเวลาตามที่กำหนดบำรุงหน้าตามขั้นตอนเหมือนเดิมยังคงมีอาการแสบหน้าอยู่ ในเวลาล้างหน้า มาร์คหน้า ลงครีม (แต่ยังทนได้นะ) ตื่นเช้ามารู้สึกหน้ากระชับมากขึ้น รอยกระดูจากลงนิดนึง (ลดลงจริงๆไม่ได้มโนไปเองแต่อย่างใด เพราะเราเดินให้คนทั้งบ้านช่วยกันวิเคราะห์) รอยแดงที่โหนกแก้มยังคงอยู่ไม่จากหายไปแค่จางลงเท่านั้น แต่งหน้ามาทำงานปกติโดยที่ไม่ต้องปัดแก้มเลยเพราะแก้มยังอมชมพูอยู่ ฮ่าาาา ................................................................................................................................................. ขอบคุณทุกคนที่เสียสละเวลามานั่งอ่าน เด่วจะมาอัพเดทอีกในครั้งต่อๆไปโปรดติดตาม....
สำหรับคนที่อยากปรึกษาส่วนตัว หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้หลังไมค์ค่ะ ยินดีตอบทุกคำถามที่สามารถตอบได้ไม่มีหมกเม็ดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกคนจะได้เอาไปเปรียบเทียบก่อนที่จะเริ่มลงมือทำ
**ถ่ายการกล้องไอโฟนไม่มีการแต่งภาพใดๆทั้งสิ้น**
ภาพทุกภาพมีการขออนุญาติทางคลินิก ก่อนที่จะนำมาใช้เรียบร้อยแล้ว