เดอะเบสท์ vs เดอะบ๊วย ปี 2015
misscandyunicorns 17 5สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาเจอกันอีกแล้ว
ก่อนอื่นต้องกล่าวคำว่า "สวัสดีปีใหม่" ก่อนเลย
สำหรับบล็อกแรกต้อนรับปี 2016 นี้
พลอยมีไอเท็มเด็ดๆที่เป็นเดอะเบสท์และไอเท็มด๋อยๆที่เป็นเดอะบ๊วยมาแชร์ค่ะ
โดยพลอยจะเน้นการรีวิวแบบสั้นๆง่ายๆได้ใจความนะคะ
ยาวเกินเดี๋ยวไม่อ่านกัน 5555555
ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง!
1. Sephora Beautifier
ตัวนี้คุณสมบัติคือ ช่วยให้เล็บอมชมพูดูสุขภาพดี เหมือนกับไม่เคยผ่านสงครามมาก่อน
แต่ว่าพลอยเอามาใช้แทนเบสโค้ด ซึ่งมันช่วยให้สีติดทนมาก ขั้นสุด เกิน 1 อาทิตย์
OMG !!!! อยู่เกิน 5 วันก็ถือว่าเมพแล้ว อันนี้ 1อาทิตย์อะ แถมยังช่วยปกป้องเล็บด้วย เรียกว่าเข้าม
โค่นแชมป์เก่าหลายตัวกระเด็นไปเลย
ราคา : 350 บาท
2. Seche Vite
ตัวนี้เป็นท็อปโค้ดที่ปลาบปลื้มปิติยินดีมาก
คุณสมบัติหลักๆคือเงา สวย ทน
ยิ่งคนที่ทาเล็บไม่เรียบแนะนำเลยค่ะ
มันจะช่วยทำให้รอยแปรงและสีที่ขรุขระสมูทสวย
สั้นๆเลยคือตัวนี้เป็นรักแรกและรักเดียว
ราคา : 350 บาท
3. Gino Mccray Nail polish remover
สำหรับยาย้างเล็บที่ชอบต้องยกให้ตัวนี้เลยค่ะ
ล้างง่าย สะอาด กลิ่นไม่ฉุน ใช้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน
ราคาไม่แพง เป็นของถูกและดีเว่อร์
ราคา : 135 บาท
4. Sephora Express Nail polish Remover
ยาล้างเล็บในรูปแบบกระปุก ด้านในจะมีฟองน้ำที่มีรูตรงกลาง ชุ่มด้วยยาล้างเล็บ เวลาล้างให้เอานิ้ว
ใส่ลงไปในรูแล้ววนๆ สีก็จะหลุดไป
ตอนแรกหยิ่ง คิดว่าไม่ชอบแน่ พอได้ใช้ซึ้งถึงความง่ายเลย ไม่เลอะเทอะแถมเร็วด้วย
ราคา : 294 บาท
5. Daiso Nail polish Thinner
มันคือที่เติมยาทาเล็บ
เวลาที่ยาทาเล็บเริ่มหนืด ข้น เราก็หยดตัวนี้ลงไปซัก 2-3 หยด
ตัวนี้ดีมาก ช่วยให้ยาทาเล็บเหลวขึ้น ทาง่ายขึ้น
แล้วก็ไม่แนะนำให้เติมยาล้างเล็บลงไปในยาทาเล็บด้วยเพราะจะทำให้ยาทาเล็บพังเร็วขึ้นนะคะ
ราคา : 60 บาท
6. Wet Tissue
หลายคนอาจจะสงสัย เอ๊ะเอาทิชชู่เปียกมาทำไม
เหตุผลคือเอามาใช้ล้างเล็บแทนสำลี เพราะสำลีมันมีขน ขนชอบติดตรงนู้นตรงนี้ แถมเปลืองด้วย
เพราะฉะนั้นทิชชู่เปียกอีสเดอะเบสท์ค่ะ ล้างง่ายล้างดีไม่มีขน
ราคา : 60 บาท
ต่อมาคือเดอะเบสท์ในหมวดของยาทาเล็บกันบ้าง
ถ้าให้เลือกสีที่ชอบต้องดิ้นตายแน่ ขอเป็นแบรนด์ที่ชอบละกัน
1. OPI
แบรนด์นี้ทุกคนคงรู้จักดี เคยฟีเวอร์มากๆสมัยอยู่ม.ต้น
ชอบตรงที่สีมีให้เลือกเยอะ มีเนื้อสีหลายแบบ
แปรงใหญ่สะใจ ทาง่าย ไม่เป็นคราบแล้วก็ แห้งเร็ว
ใช้มานานและจะใช้ตลอดไป
ราคา : 280-350 บาท (แล้วแต่ร้าน)
2. Revlon
นอกจากจะมีรองพื้นเนียนกริบแล้ว ยาทาเล็บเค้าก็ไม่น้อยหน้า
ทาง่าย สีเยอะ เนื้อสีออกครีมมี แห้งไว
แปรงเล็กไปหน่อยไม่สะใจ แต่ถ้ามือใหม่น่าจะเหมาะ
เป็นแบรนด์แรกที่ซื้อใช้
ราคา : 139 บาท
3. GoldenRose
เป็นแบรนด์ที่มาแรงในช่วงนี้เลย
ชอบที่สีชัด คุณภาพดีเกินราคา ที่
สำคัญคือเงามาก แทบไม่ต้องทาท็อปโค้ดเลย
ราคา : 99-299 บาท
จะให้ดูแปรงของ 3 ยี่ห้อเทียบกัน
เริ่มจากซ้ายสุดเป็น OPI, Revlon และ GoldenRose
จะเห็นว่าแปรงของ Revlon จะเล็กที่สุด ถ้าเทียบกับอีก 2แบรนด์
ส่วนแปรงของ OPI จะเป็นปลายตรง แล้วก็ขนไม่หนามาก ทำให้สีไม่หนาเกินไป
สุดท้ายแปรงของ GoldenRose ปลายจะโค้งรับกับโคนเล็บ แต่ว่าขนจะหนาหน่อย
จบกันไปแล้วกับยาทาเล็บ ยาล้างเล็บ
ต่อไปจะเป็นหมวดของอุปกรณ์ทำเล็บต่างๆค่ะ
1. Nail Art Brush
Flat Brush จะเป็นหัวแบนๆบางๆ เอาไว้จุ่มยาล้างเล็บมาเช็ดตามซอกเล็บ
ถัดมาจะเป็นหัวกลางๆ ขนไม่ยาวมาก จับถนัดมือดี เลยชอบเอามาใช้เพ้นท์
Detail Brush สุดท้ายเป็นพู่กันหัวเล็กกระจิดริด เอาไว้ทำลายเล็กๆ
ราคา : 150 บาท
2. Dotting Tool
ขอมอบมงให้เลยค่ะ เอนกประสงค์เว่อร์
จะใช้จุด ใช้คน ใช้วาด ทำได้หมด
1เซตมี 5ด้าม แต่ละด้ามมี 2หัว ซึ่งแต่ละหัวก็จะมีไซส์ใหญ่-เล็กต่างกัน
ตอนแรกที่ซื้อมาคิดว่าไม่คุ้ม แต่ได้มาแล้วมันทำได้ทุกอย่างจริงๆ หยิบใช้บ่อยมาก
ถ้าขาดตัวนี้ไปต้องขาดใจแน่
ราคา : 90 บาท
3. Jelly Nail
เป็นชุดทำเล็บเจลที่พลอยชอบมาก
ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก สีเงาวิ้งๆเลย
เจลไม่กินเนื้อเล็บ ไม่ทำให้เล็บบาง ติดทนนานเป็นเดือน เลิศศศศศ
แต่อาจจะไม่เห็นในฮาวทูบ่อยเพราะว่ามันอยู่นานมากกกกก
ราคา : 3580 บาท
4. Nail Tattoo
เดอะเบสท์ชิ้นสุดท้ายคือแทตทูติดเล็บนั่นเอง
ติดง่าย เนียน สะดวกมาก ไม่ต้องมานั่งรอสีแห้งให้วุ่นวาย สนุกดี ชอบ
ราคา : 250 บาท
เดอะเบสท์หมดไปแล้ว ต่อไปมาดูเดอะบ๊วยกันบ้าง
มีอะไรที่ซื้อมาแล้วสะเทือนใจบ้าง มาดูกัน
1. OPI Top Coat
บอกเลยว่าแอบสะเทือนใจ คือตอนแรกคิดว่าซื้อมาแล้วจะประทับใจ เพราะชอบสีของเค้ามาก
แต่อันนี้คือมีฟองอากาศ แล้วก็เนื้อหนึบๆเหมือนไม่แห้ง แถมยังแห้งช้าด้วย เลยไม่ค่อยชอบเท่าไร
ราคา : 280 บาท
2. Anna Sui Top Coat
ตัวถัดมานี่สะเทือนใจมาก เหมือนแผ่นดินไหว
ตามชื่อจริงๆคือเป็น เจลท็อปโค้ด คือเป็นท็อปโค้ดธรรมดาที่ให้เนื้อเหมือนเจล
แต่พอเอามาทาแล้วปรากฎว่าฟองอากาศเยอะมาก เยอะมากๆ แล้วก็แห้งช้า และเนื้อหนึบมาก
ซื้อมาใช้ไม่ถึง 5 ครั้ง
ราคา : 500 บาท (ซื้อที่ญี่ปุ่น)
ก็จบแล้วนะคะสำหรับเดอะเบสท์และเดอะบ๊วยในปี 2015 ที่ผ่านมา
พลอยต้องบอกก่อนว่า ของที่พลอยชอบและไม่ชอบ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ซึ่งเกิดจากการทดลองใช้จริงด้วยตัวเอง ไม่ได้จะอวยหรือจะดิสเครดิตแบรนด์อะไรทั้งนั้นน้า
อยากจะแชร์ให้ทกคนได้อ่านกัน
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ