บทที่ 2 จิตใจที่เข้มแข็ง กำลังใจจากคนรอบข้าง และการรับฟังคนป่วยสำคัญที่สุด
soulmato81ความรู้สึกของเรามันเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัว มันทั้งมึน ทั้งอึ้ง ทั้งชา น้ำตาก็ไหลพราก ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย ไม่มีใครอยากอยู่ในสภาพย่ำแย่ที่เป็นทุกข์ เราได้รับคำสั่งจากหมอให้มาผ่าตัดเต้านมข้างซ้ายทิ้งทั้งหมดในวันที่ 4 กันยายน 2558 เอาจริงก็ให้เวลาพักหายใจอีกประมาณ 2 วันเท่านั้นเอง
I has a breast cancer เป็นคำที่เราโพสต์ลง facebook ส่วนตัวหลังจาก 2 ชั่วโมงที่รู้ผลตรวจ นอกจากความอึ้ง และความสับสน วิตกกังวลทั้งหลายที่มันท่วมท้นเราแล้ว การบอกเล่าเรื่องราวให้ญาติสนิท มิตรสหายดีรับทราบมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราทำ และถือว่าคิดถูก เพราะทันทีที่ได้โพสต์ไปก็มีเพื่อนพ้องพี่น้องส่งความเป็นห่วงเป็นใย โทรศัพท์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างทันที เมื่อเราได้ระบายความเครียดเหล่านี้ ตอนแรกคิดเองเออเองจนหัวจะระเบิด แต่พอได้พูดคุยกับแม่ กับเพื่อน หรือคนอื่น ๆ มันรู้สึกดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหน ๆ มีคนรับรู้การมีตัวตนของเรา รับรู้ความรู้สึกของเรา ณ ตอนนั้น แม้ว่าบางครั้งมันจะมีบางคำพูดที่เราไม่อยากได้ยิน เช่น ญาติฝ่ายพ่อเพื่อนแม่ก็เป็น หนักกว่าแกอีกเค้ายังผ่านมาได้ ของแกน่ะมันจิ๊บ ๆ หรือทำหน้าเศร้าเสียงสั่นเครือแบบเห็นใจมากประหนึ่งว่าเรากำลังจะตายจากไปอีกเดือนหนึ่งข้างหน้า คำพูดกับกิริยาเหล่านี้กับคนไข้โรคมะเร็งที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นโรค เอาจริง ๆ มันไม่ช่วยให้เราดีขึ้นเลยนะ
อันนี้แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังเฉย ๆ ค่ะ แน่นอนว่ากำลังใจจากคนรอบข้างน่ะสำคัญที่สุด แต่คุณต้องรู้วิธีสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนป่วยด้วย
เอาล่ะสิ่งที่สำคัญอันดับต้น ๆ ก็คือจิตใจของผู้ป่วยเอง มันมีท้อ ร้องไห้ ซึมเศร้า น่ะเป็นเรื่องปกติ แต่คุณก็ต้องมีสติในการใช้ชีวิต คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้ไวที่สุด วิธีสำหรับเราคือการนั่งสมาธิ เพราะเวลานั่งคุณจะมีเวลาพูดคุยกับตัวเองได้มาก และยิ่งนั่งได้นิ่งนั่งได้นาน เสียงภายใจจิตใจของคุณจะยิ่งทำงาน และจะนำพาตัวคุณไปสู่จุดที่คุณควรจะปฏิบัติ ควรจะเป็น เคยได้ยินธรรมะจัดสรรมมั้ยคะ อันนั้นนั่นล่ะค่ะ แต่ยิ่งในช่วงที่เราจิตใจกังวลเรื่องอาการเจ็บป่วยอย่างนี้ การทำจิตให้เป็นสมาธิอาจจะช่วงได้บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าการไม่จัดการกับจิตใจตัวเองเลย
ช่วงก่อนที่ฉันจะผ่าตัดเต้านมทิ้ง ฉันไปหาพระอาจารย์ที่ท่านเคยทำนายดวงฉันไว้ว่าจะเจอเรื่องใหญ่ แต่ไม่ถึงกับตาย ฉันไปถวายสังฆทานให้กับท่าน พร้อมทั้งเล่าให้พระท่านฟังถึงความกังวลเรื่องการผ่าตัด และการทำคีโม ท่านก็บอกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตายมันเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเจอ (เออนั่นสินะ ฉันเป็นชาวพุทธที่อยู่กับศาสนาพุทธมาแต่เด็ก ได้ยินคำนี้มาเป็นล้านแปดครั้ง แต่ก็ไม่ยักจะเข้าใจ จนมาถึงวันนี้) มันเป็นเรื่องธรรมชาติสินะ และเรื่องการกลัวการผ่าตัดล่ะ พระอาจารย์ท่านเลยชี้แผลแป็นที่ศีษะ กับคางที่เป็นรอยยาวมาให้ดู แล้วท่านก็บอกว่า "นี่ก็กว่าจะผ่านมาได้ เล่นเอาแทบตายเลยเหมือนกัน หากเจ็บก็ภาวนาเอาว่าเจ็บหนอ เจ็บหนอ มันจะช่วยได้"
นี่ก็ถือเป็นกำลังใจที่สร้างจากคนอื่นแล้วทำให้เรามีสติกลับมาคิดได้ด้วยตนเอง
ส่วนกำลังใจจากคนรอบข้างที่ว่าสำคัญสุดคงจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง ทุกคนมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้เราผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ แต่คุณก็ต้องระวังการพูดจา หรือท่าทางที่จะเข้าไปคุยกับผู้ป่วยโรคมะเร็งสักนิด เพราะแน่นอนว่าอารมณ์ของเค้าอาจจะไม่เป็นปกติเท่าใดนักที่จะต้องมารู้ข่าวแบบนี้ (เรานี่ซึมเศร้าไปสองวันติดเลย) วิธีที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ และฉันอยากจะแนะนำคือ ฟัง และ ยิ้ม
ทำไมเราถึงบอกพวกคุณอย่างนั้น เพราะเราผ่านคนที่เป็นห่วงเป็นใยมาเยี่ยมเยียน ถามไถ่มากหน้าหลายตา ทั้งทางโทรศัพท์เอย การมาเยี่ยมที่รพ.เอย การเห็นสีหน้าเศร้าสลดของคนมาเยี่ยม ยิ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเศร้าหมอง แต่ในทางกลับกัน การยิ้ม และพูดคุยอย่างปกติกลับให้ผลที่ดีกว่ามาก รวมทั้งการมาเยี่ยมก็เท่ากับการมารับฟังความรู้สึกของผู้ป่วย คุณจึงไม่ควรเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว เพราะผู้ป่วยอย่างเราไม่มีแรงตอบโต้คุณมาก หรือพูดว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะทำให้คนป่วยและครอบครัวเหนื่อยมากที่ต้องมานั่งฟังความหวังดีและวิธีการรักษาที่ไม่เหมือนกันเลยสักวิธี เนื่องจากโรคมะเร็งมีหลายชนิดมาก ขนาดมะเร็งเต้านมที่ฉันเป็นก็ยังมีชื่อทางการแพทย์คนละอย่าง ตอบสนองกับยาคนละแบบ ระยะแรก ๆ อาการและการรักษาก็แตกต่างกับระยะสุดท้าย เมื่อเป็นมะเร็งคนละชนิด คนละที่กัน คนละขั้นกัน และคนละช่วงวัยด้วย
แต่ถ้าอยากจะช่วยแนะนำจริง ๆ ควรหาข้อมูลของโรคมะเร็งของผู้ป่วยที่เป็นจริง ๆ และตัดข้อมูลอื่นที่ไม่จำเป็นออก แบบนั้นก็หน้าจะดีกว่า (ดูสีหน้าคนป่วยกับญาติของเค้าด้วยนะ ว่าเค้าพร้อมจะฟังคุณแล้วหรือยัง)
แต่ครอบครัว และเพื่อนสนิทก็เป็นหัวใจสำคัญในการให้กำลังใจเป็นอย่างมาก ชนิดที่ปฎิเสธไม่ได้ แม่ฉันเฝ้าฉันไว้ไม่ห่างเตียง เพื่อนสนิทลางานมาจากกรุงเทพ เพื่อมาช่วยเปลี่ยนกระโถนฉี่ให้ คอยพูดเรื่องสนุกให้ขำเล่น เหมือนเราไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ฉันรู้สึกซาบซึ้งจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ออก ก็คงมีแค่คำว่าขอบคุณเท่านั้นที่จะให้ได้ ขอบคุณจากใจที่เข้าใจ และให้กำลังใจ และไม่ทิ้งห่างไปไหน บางทีเมื่อเจ็บป่วยขนาดนี้มันรู้สึกเหนื่อยล้าจนอยากยอมแพ้ แต่พอรู้ว่าชีวิตเรามีค่าสำหรับแม่ สำหรับครอบครัว สำหรับเพื่อน ๆ เราเลยยอมแพ้ไม่ได้ ในเมื่อพวกเค้ายอมเหนื่อยที่จะมาเฝ้าเรา คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ขับรถรับส่งไปโรงพยาบาล แสดงว่าชีวิตเรามีค่าสำหรับพวกเค้ามาก เรายิ่งมีกำลังใจฮึดสู้ ไม่ยอมแพ้ และสัญญากับตัวเองว่าจะต้องรักษาตัวจนหายให้ได้เลย (ฮึ่มๆๆๆๆๆ)
Discussion (1)