HOW TO : DIY mask หน้าใสกระชับ ง่ายๆ ด้วยข้าวไรซ์เบอร์รี่จากธรรมชาติ !

8 2

สวัสดีค่ะ วันนี้แก้วกลับมาตั้งกระทู้ DIY อีกหนึ่งกระทู้ค้า ^^ดูเหมือนแก้วจะห่างหายการรีวิว DIY ไปช่วงนึงนะคะ (หนีไปรีวิวหนัง กับ หนังสือแทน แฮ่ ~ )ที่หายไปนี่ ก็เพราะว่าเอาเวลามาทดลองมาร์คหน้าด้วยข้าวไรซ์เบอร์รี่อยู่ค่ะ ซึ่งตอนนี้พร้อมเอาผลมาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกันแล้ว ~

เนื่องจากช่วงนึง แก้วไปทดลองสูตรบางอย่างกับหน้า แต่ผิดพลาด ทำให้เกิดอาการแห้ง+หน้าพังนิดๆ ค่ะ ก็เลยลองมาร์คหน้าสูตรข้าวของ innisfree ดูปรากฎว่าหน้าดีขึ้นมากๆค่ะ  ชุ่มชื้นขึ้นมาก อาการหน้าแห้งฟื้นไวมาก  บวกกับแก้วทาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น+โรสฮิป หน้าก็เลยหายไวขึ้นพูดมาขนาดนี้ ขอยืนยันเหมือนเดิมค่ะ ว่านี่เป็นกระทู้ DIY ไม่ใช่รีวิวสินค้า innisfree หรือ น้ำมันออแกนิค  55555

จากที่พูดมา แก้วก็เลยได้แรงบันดาลใจ อยากลอง DIY สูตรข้าวดูบ้าง เพราะไหนๆ ก็เห็นในเนตมาเยอะอยู่เหมือนกัน  ก็เลยเป็นที่มาของสูตร DIY นี้ค่ะ

จริงๆ สูตรนี้ แก้วทดลองกับหน้าทุกเช้าเลยค่ะ  แถมไม่ได้ทำคนเดียวด้วยนะ  ลากม๊ามาทดลองด้วย (ขอโทษนะคะ ม๊า) เพราะไหนๆก็เป็นสมาคมตื่นเช้าเหมือนกัน  ซึ่งหลังจากที่ลองกันมาประมาณครึ่งเดือน แก้วพอใจกับผลลัพธ์มากๆค่ะ ^^

ส่วนประกอบก็ง่ายๆ เหมือนเดิมเลยค่ะข้าวไรซ์เบอร์รี่  ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะน้ำ (พอท่วมตอนต้มข้าว)น้ำผึ้ง  1 ช้อนโต๊ะนมสด 1 ช้อนโต๊ะ

จริงๆแล้ว เพื่อนๆสามารถเลือกข้าวชนิดไหนก็ได้ค่ะ  แต่ที่แก้วเลือกข้าวไรซ์เบอร์รี่มาใช้ เพราะสนใจเป็นการส่วนตัวค่ะเนื่องจากหุงกินแล้วอร่อย ค่ะ อ่านไม่ผิดค่ะ แก้วตัดสินมาจากการกินค่ะ ว่ารสชาติอร่อย  น่าจะลองเอามาทำอะไรสักอย่างกับผิวดูได้บ้างนะข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวที่เกิดมาจากนักวิจัยคนไทยนี่แหละค่ะ โดยเป็นพันธุ์ที่ถูกปรับปรุง ด้วยวิธีผสมข้ามพันธุ์ระหว่างข้าวเจ้าหอมนิล (พ่อพันธุ์) และข้าวขาวดอกมะลิ (แม่พันธุ์)และเป็นข้าวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึงสารอาหารชนิดอื่นๆสูง -- มาขนาดนี้แล้ว ก็น่าลองกับผิวจริงๆนะ !

น้ำผึ้ง  เป็นส่วนประกอบที่จะช่วยบำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์ และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียค่ะ

นมสด จะช่วยทำให้ช่วยผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวนุ่ม และดูกระจ่างใสค่ะ

วิธีทำง่ายๆค่ะ เริ่มจากซาวข้าวด้วยน้ำทิ้งไปก่อน 1 รอบ  จากนั้นก็นำข้าวมาต้มกันใส่น้ำระดับพอท่วมข้าวขึ้นมาหน่อยนึงค่ะจากนั้นก็รอให้ต้มไป จนข้าวนิ่มค่ะ (ไม่ใช่เละนะคะ แค่นิ่มๆ)

จากนั้นก็กรองแยกเมล็ดข้าวออกมา ส่วนน้ำข้าวนั้น เก็บเอาไว้ค่ะ  เราจะเอามาใช้เป็นโทนเนอร์บำรุงหน้าเอาไว้ได้อีก

เมล็ดข้าวที่ต้มแล้ว เอามาปั่นรวมกับน้ำผึ้งและนมสดค่ะ  ฟึ่บๆๆ เอาให้ละเอียด เพราะเดี๋ยวจะเอามาใช้มาร์คหน้าค่ะ หากมาเป็นเมล็ดข้าวเบิ้มๆ คงงงตอนมาร์คหน้า ไม่รู้ว่าจะกินข้าว หรือจะมาร์คหน้าดี

ในรูปนี้ แก้วทำน้อยเกินไป สำหรับเครื่องปั่นตัวเองค่ะ (แง่วว) ก็เลยปั่นไม่ละเอียดพอ  ต้องอาศัยแรงมือมาบดๆเองอีกครั้งนึง

จากนั้นก็เอามาร์คข้าวที่ปั่นแล้ว มามาร์คหน้าได้เลยค่ะ  จะรู้สึกเหนียวนิดนึงนะคะ  แนะนำทำประมาณสัปดาห์ล่ะ 2-3 ครั้งค่ะตัวมาร์คหน้าข้าวนี้ จะสามารถเก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 1  สัปดาห์ (ขึ้นกับตู้เย็นของแต่ละคนค่ะ)

ส่วนน้ำข้าวนั้น แก้วใช้วิธี เอาสำลีมาชุบค่ะ ชุบๆแล้วบีบๆให้สำลีพอหมาดๆ (อย่าบีบน้ำข้าวออกจนหมดนะคะ เอาพอดีๆ) แล้วก็เก็บใส่กล่อง เอาเข้าตู้เย็น ช่องแช่แข็ง  ย้ำค่ะ  ช่องแช่แข็งงงง  ~ จะสามารถเก็บเอาไว้ได้นานเป็นสัปดาห์ๆค่ะ  (ขึ้นกับตู้เย็นแต่ละคน)พอทุกเช้าจะมาใช้ ก็เอาออกมา ทิ้งไว้รอให้หายแข็ง จากนั้นก็ฉีกให้บางๆ แล้วก็วางมาร์คบนหน้าเลยค่ะ เสมือนว่าได้ Sheet mask แบรนด์ตัวเองมาใช้ 5555

ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเอาออกค่ะ  หากใครอยากจะล้างหน้าสักหน่อย ก็ล้างออกได้ค่ะ แก้วเองก็ทดลองแบบล้างหน้าออกอีกรอบ  ผลลัพธ์ก็น่าประทับใจค่ะ

หลังจากใช้มาครึ่งเดือน  หน้าแก้ว(กับม๊า) ใสขึ้นค่ะ  หน้าดูกระชับขึ้น และดูชุ่มชื้นมากขึ้น (แต่ไม่มัน)ริ้วรอยลดลง รอยดำดูลดลงด้วยค่ะ 

ส่วนตัว ชอบใช้น้ำข้าวมามาร์คหน้า มากกว่าตัวเมล็ดข้าวปั่นค่ะ  เพราะง่ายกว่า เลอะเทอะมือน้อยกว่า  แล้วก็เหมาะกับตอนมาร์คก่อนไปมหาลัยด้วย

ที่แก้วเลือกมาร์คตอนเช้า ก็เพราะว่าอยากให้ตัวเองตื่นหน่อยค่ะ พอได้อ้อล้อบ้าง อะไรบ้าง รู้สึกว่าสติเข้าร่างเร็วขึ้น 5555

หากใครอยากเปลี่ยนไปมาร์คตอนเย็นแทน ก็ได้นะคะ เอาตามที่ชอบได้เลยค่ะ ^^

สูตรนี้ง่ายมาก และเหมาะกับคนไทยที่กินข้าวกันเป็นอาหารหลักมากๆทั้งเมล็ดข้าว และ น้ำข้าว สามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าได้ง่าย และให้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าที่คิดค่ะ

ใครลอง แล้วได้ผลลัพธ์เป็นยังไง มาบอกกันบ้างน้า


samanthachiew

samanthachiew

ชอบแต่งเรื่องสั้น เรื่องยาว มากมาก
ชอบดูหนังมากมาก
ชอบเม้าท์เรื่องหนังมากมาก
ชอบที่จะลอง natural product มากมาก
ก็เลยกลายมาเป็นแบบทุกวันนี้ค่ะ กลิ้งไป เขียนไป
ขอบคุณที่แวะเวียนมาอ่านบทความค่ะ ปิ๊งๆ

FULL PROFILE