(ผิวแพ้ง่าย) ✦✦✦ รอยแดงจากสิวจางลงได้ใน 1 เดือน …เป็นไปได้รึเธอ! ✦✦✦

14 8

       สภาพผิว : ผิวผสม มีความมันหนักมากตรงทีโซนและแห้งตรงช่วงแก้ม, acne prone, sensitive skin (แหล่งรวมของคนผิวมีปัญหาชัดๆ ) มีรูขุมขนค่อนข้างกว้างและมีปัญหากับสิวอักเสบ

       เมื่อก่อนเราเคยเป็นสิวอุดตันเยอะ เลยไปเลเซอร์ออก และได้หนังหน้าที่แพ้ง่ายกว่าเดิมกลับมาด้วย ยิ่งถ้าช่วงไหนที่นอนพักผ่อนน้อย เครียด หรือปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเองดีๆ สิวอักเสบก็จะพร้อมใจกันปลดปล่อยความเกรี้ยวกราดออกมา เหมือนอย่างเช่นในรูปด้านล่าง

✦รูปที่ 4 : 22-28 วันหลังจากโบกสกินแคร์อย่างหนัก ผิวหน้าเริ่มดีขึ้น แต่รอยอะไรก็ยังคงอยู่ ความจางของรอยแดงเริ่มเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะช่วงนี้เรานอนดึกและเครียดอยู่บ้าง

       ตอนนี้กลับมาดูสกินแคร์ที่เราใช้ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมากันดีกว่า บอกเลยว่ามีน้อยสิ่งมาก แต่เน้นความสม่ำเสมอในการดูแล ไม่ให้ขาดหรือเกิน

      ✦ อันดับแรกคือ Cleanser

       ต้องบอกก่อนเลยว่า เราจะพยายามแต่งหน้าให้น้อยที่สุดหรือไม่แต่งเลย เพราะไม่อยากใช้คลีนซิ่ง ไม่อยากรบกวนผิวให้มาก โดยระหว่างนี้เราจะใช้ “Simple : kind to skin refreshing Facial Wash Gel” (เคลมว่า ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม ไม่มีสี ไม่มีพาราเบน ) และ “Acne Aid สีฟ้า”       ไม่มีกฎตายตัวว่าตัวไหนต้องใช้ตอนเช้าหรือเย็น เพราะอ่อนโยนเหมือนกันทั้งคู่ โดยเฉพาะ Simple ที่เราใช้หมดไปแล้วหลอดหนึ่ง และชอบซื้อมาตุนไว้ตอนช่วงที่มีโปร ส่วน Acne Aid นั้น คิดว่าทุกคนน่าจะรู้กันดีว่ามันดีต่อผิวเป็นสิวและผิวแพ้ง่ายแค่ไหน (สีแดงจะแรงกว่าสีฟ้านะ)

       คะแนนสำหรับ Simple Cleanser :  8/10  (ราคา : ประมาณ 199-229 บาท ซื้อมาจาก Watson)        คะแนนสำหรับ Acne Aid  :  8.5/10 (ราคาประมาณ 179-209 บาท ซื้อมาจากร้านยาแถวศิริราช)

✦ ต่อมาคือ Toner

     เราใช้โทนเนอร์ของอภัยภูเบศร์ เพราะเห็นว่ามีส่วนผสมจากแตงกวา (Cucumis Sativus extract) และ ใบบัวบก (Centella Asiatica extract) ซึ่งช่วงนี้เราชอบใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของใบบัวบกมาก เพราะรู้สึกว่ามันใช่ มันถูกกับหน้าเราดี (แต่โทนเนอร์ตัวนี้มีน้ำหอม)

    โดยบางวันเราจะเทโทนเนอร์ลงบนสำลีให้ชุ่มๆ แล้ววางแหมะไว้บนรอยแดงๆ สัก 5-10 นาทีแล้วค่อยเช็ด หรือบางครั้งเราจะแอบผสมน้ำเกลือลงไปด้วย เพื่อความสบายใจของเรา (ไม่ใช่ทริคสำคัญ แต่เพื่อความสบายใจส่วนตัว55555)

     คะแนนสำหรับ โทนเนอร์อภัยภูเบศร์ : 7.5/10  (ราคาประมาณ 150 บาทใน 7-11)

✦ ต่อมาก็คือ Serum/Essence

       ในช่วงที่เป็นรอยแดงหนักๆ เราจะพยายามหลีกเลี่ยงพวก AHA หรือการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว (exfoliation) เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแดงหนักขึ้นไปอีก เกิดการระคายเคืองโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีผิวแพ้ง่าย เรื่องนี้เราเคยทดสอบกับตัวมาแล้ว (เราเคยกระหน่ำทาวิตซีในช่วงที่เป็นสิว ผลสุดท้ายคือก็ขาวใสดีแต่หน้าเกือบแหก)      สำหรับเซรั่มและเอสเซนต์ที่เราเลือกใช้มีอยู่ 2 ตัวคือ “Centella Blemish Ampule COSRX” และ “Biotherm Life Plankton Essence”  โดยเราจะใช้ตัวเซรั่มใบบัวบกของ COSRX  บ่อยกว่า Biotherm เพราะหน้าเรามีปฏิกิริยากับน้ำแพลงก์ตอนนี้ค่อนข้างมาก คือเป็นสิวเม็ดเล็กๆ แต่หน้าอิ่ม เต็มจริงอะไรจริง (ขอบคุณที่ตัวเองไม่ซื้อขวดใหญ่)     เราจึงเลือกที่จะใช้ Biotherm ในตอนที่รู้สึกว่าหน้าโทรม หรืออดนอนมาหลายวัน ส่วนเซรั่มใบบัวบกนั้น เราใช้ประจำทุกวัน เช้า-เย็น อารมณ์เป็นเซรั่มกันตาย ไม่ได้ให้ผลที่ทำให้รู้สึกว้าวเท่าไหร่ แต่ก็สาบานว่าก็จะอุดหนุน COSRX ต่อไป

     คะแนนสำหรับ Centella Blemish Ampule : 8/10  (ราคาประมาณ 850 บาท ร้าน Becos)     คะแนนสำหรับ Biotherm Life Plankton Essence : 6/10  (ราคาประมาณ 259 บาท ซื้อมาจาก Konvy)

 ✦ หมวดเจลกระจุกกระจิกที่ช่วยลดรอยแดง

      คิดว่าในส่วนของ Vitara และ Burnova ทุกคนน่าจะรู้ถึงประสิทธิภาพของมันดีอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะข้ามไปพูดถึง Innisfree ก่อนเลยดีกว่า ด้วยความที่เคยเห็นแบบผ่านตามาจากบิวตี้กูรูทั้งฝั่งเกาและฝั่งไทย เราเลยตัดสินใจถอยพี่เค้ามา ด้วยใจที่แอบอคติเล็กน้อย (เราแพ้ primer ของ innisfree แบบแรงมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีสิวอุดตันขึ้นแบบพรึ่บ) พอเอามาใช้จริงๆ ต้องบอกเลยว่า อะเมซิ่งโคเรียมั่กมาก!     แม้หน้ากล่องจะเขียนว่า Balm แต่เอาเข้าจริงๆ มันเป็น “Balm Gel” ซึ่งเนื้อไม่หนักหน้าเลย (แต่ก็ไม่บางขนาดนั้น) โดยด้านข้างของกล่องได้เขียนถึงวิธีการใช้ไว้ 2 วิธีคือ 1. ใช้ทาทั่วหน้าได้ 2. ใช้ทาหนาๆ ตรงช่วงผิวที่มีปัญหาได้… เราก็จัดเลยจ้า ทำตามวิธีที่ 2 โดยการทาหนาๆ บริวณที่เป็นรอยแดง พอเนื้อเจลมันซึมลงไปแล้ว เราก็ทาอีกรอบ ก่อนจะเอาเทปใสมาปิดทับตรงบริเวณที่เราทา (ซึ่งเราก็ใช้วิธีนี้กับสมูธอีมาก่อน ได้ผลดีมาก!) แล้วค่อยนอน พอตื่นเช้ามา ก็อาจจะยังสังเกตเห็นผลได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่สักสัปดาห์สองสัปดาห์ผ่านไป บอกเลยว่าหลู่เลื่อง!!     คะแนนสำหรับ Innisfree Bija Cica Balm: 8.5/10 (ราคาประมาณ 860 บาท หากซื้อจากใน Shop )

      สรุปวิธีการดูแลรอยแดงในแบบของเรา 

  • พยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด พูดง่ายๆ คือดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี
  • พยายามไม่แต่งหน้าเพื่อไม่ให้รบกวนผิว, ล้างหน้า โดยไม่ใช้โฟมล้างหน้า แนะนำให้ใช้เจลหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ผิวสะอาดจนเกินไป, พยายามหลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว ไม่ว่าจะเป็นการขัดผิวด้วยสครับ (ถ้าใครทนไม่ไหว ก็ขัดได้ แต่ขอให้ขัดอย่างเบามือ) หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA
  • เน้นความสม่ำเสมอในการดูแลผิว คือ ล้างหน้า 2 ครั้งต่อวัน, เมื่อมีเวลาว่างๆ ก็จะพยายามใช้พวก Aloe gel หรืออะไรก็ได้มาทาบ่อยๆ
  • ดูแลรักษาความสะอาดของตัวเองและของใช้ด้วย
 

    สกินแคร์และเครื่องสำอางที่เรานำมารีวิว เป็นของที่เราใช้หมดและใช้เกือบหมดแล้วนะคะ แล้วที่สำคัญก็คือ เราซื้อเองทั้งหมด เป็น cr ไม่ใช่ sr นะคะ ซึ่งหลังจากผ่านการทดลองใช้มาเนิ่นนาน เราเลยตัดสินใจเขียนรีวิวนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยให้คนที่มีปัญหาผิวแบบเราตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น และบางอย่างบางตัว อาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับทุกคน เพราะฉะนั้น กรุณาใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อนะคะ

 เจอกันกระทู้ถัดไปค่ะ :D


katcaramel

katcaramel

1994, Ordinary girl <3

FULL PROFILE