REVIEWบ้านๆ แบบบ๊านบ้าน(แอบอวย)**INNISFREExSNOOPY** + MINI REVIEW ซากุระไทยแลนด์แดนเชียงใหม่
naamyuki 10 4rter
สวัสดีค่า ออกตัวก่อนเลยว่านี้กระทู้แรกหลังจากแฝงตัวอยู่นาน
แนะนำตัวหน่อยย เค้าชื่อ แอม น้าสภาพผิว ผิวมันมาก มีสิวและรอยสิวช่วงแก้มถึงล่างแก้ม แน่นอนว่าต้องแพ้ง่าย
มะเรามาเริ่มกันเลยยยย
เพื่อนๆทุกคนคงได้ยินข่าว INNISFREExSNOOPYกันมาบ้างแล้ว
และด้วยความนี่อินี่ติ่งสนูปปี้แบบสุด เรียกว่า SNOOPY LOVER ก็พลาดไม่ได้อย่างแน่นวลลลล
ดูดิๆๆ ของมันต้องมีบอกเลอะ ไม่รอช้าหาคนรับหิ้วตั้งแต่วันออกวางขายวันแรกของเกาหลี หลังจากโอนตังค์บลาๆเสร็จเรียบร้อยก็นัดรับที่เชียงใหม่วันที่13(เมื่อวานนี้เอง> <)
และนี่คือโฉมหน้าผูโชคเลือด เฮ้ย! โชคดี!
- Innisfree X Snoopy Cushion Case(สีฟ้า)
- Innisfree X Snoopy No Sebum Mineral Powder
- Innisfree X Snoopy Vivid Creamy Tint(เบอร์2)
- Skinny coverfit cushion (รีฟีล สี N21)
- Beauty tool air magic puff cover
มาที่ตัวแรกของเรา
Innisfree X Snoopy Cushion Case(สีฟ้า)
ความรู้สึกหลังใช้
ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าในชีวิตนี้เลยลองคูชั่นของยี่ห้อเดียวคือ TFS รุ่นอะไรซักอย่างที่มันคุมมันเยอะสุด ถามว่าคุมได้ไหม ....ไม่... เลยไม่กล้าลองของยี่ห้ออื่นๆ แต่พอมีคอลสนูปปี้มา โอ้โหหหหหว รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง จัดไปค่ะพี่ชาย เนื่องจากเค้าซื้อรุ่นมีเคลมไว้ว่า "รองพื้นคุชชั่นที่ปกปิดดีเยี่ยม ติดทนนานและบางเบาเหมาะกับผิว ปกปิดรอยปัญหาต่างๆ เสมือนกันผิวจริงอีกชั้นและใช้ได้นานตลอดวันโดยไม่เป็นคราบ"(พัฒนามาจากรุ่นLongwear cover ถ้าเค้าจำไม่ผิดนะ)เลยมีความหวังปนเข้าข้างตัวเองว่ามันจะเอาหน้าอิชั้นอยู่ววว เนื้อคูชั่นมีกลิ่นหอมๆ คาดแว่ใส่น้ำหอม 100% ฮะ ส่วนเรื่องตัวเคส.....ดีสิคะคุณขา ไม่ว่าอะไรที่เป็นสนูปปี้ย่อมดีหมด แข็งแรง ทนทาน โอ๊ยย ดีมากจริมๆ
ในรูปคือลงสกินแคร์เฉยๆแล้วตบคูชั่นทับเลย การปกปิดสำหรับถือว่าทำได้ดีนะ เพราะอะไรหรอ เพราะเป็นสนูปปี้ไงล่ะ (ไม่เกี่ยวละ) ส่วนเรื่องคุมมันเค้าไปทดสอบโดยการแต่งหน้าตอน 11.00น.กว่าๆ แล้วเป็นสก๊อยซ้อนท้ายมอไซค์ขึ้นดอยปุย หน้าโต้ลมหนาวแบบสุด ไหนจะควันรถแดงอีก กลับหอมาเกือบทุ่มโดยไม่เติมแป้งหน้าก็มีหลุดบ้างตามอัธยาศัยแต่ไม่ได้หลุดจนน่าเกลียด เราไม่ได้ซับมันเลย หน้าเลยวาวๆนิดๆแต่ไม่ถึงกับเกาหลีนะ เค้าก็สามารถอยู่แบบนั้นได้เรื่อยๆ(หรือเค้าหน้าหนาเอง 5555 แบบไม่อายหน้าตูจะเป็นยังไง)การปกปิด 8/10คุมมัน(อาจมีแป้งตัวล่างช่วยด้วย) 7/10
......................................................
มาที่ตัวต่อปายยย
Innisfree X Snoopy No Sebum Mineral Powder
ความรู้สึกหลังใช้
ในรูปคือถ้ายแสงธรรมชาติแบบเปิดม่านแล้วแสงสาดเข้าหน้า(หน้าไร หน้าม้าแตก!) ะเห็นได้ว่านอกจากมีสิวและรอยสิวข้างแก้มแล้วยังมีตรงบนปากอีก แต่เจ้าคูชั่นกับแป้งฝุ่นนี่ทำหน้าที่ได้ดีเลยฮะเนื้อแป้งระเอียดดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เวลาเคาะออกมาแอบเคาะยากไปนิด ด้วยความที่มันอันเล็ก ตอนตบทับคูชั่น เนื้อคูชั่นก็ไม่ได้ติดพัพออกมา(ดีใจมว๊ากก)คิดว่าที่คูชั่นของเรามันอยู่ได้นานขึ้นน่าจะมาจากตัวนี้ดู(แต่เค้าก็ไม่ได้ใส่มันเยอะนะเพราะเคาะออกมายาก 55 เลยแปะๆๆ) เยี่ยมจีๆ เยี่ยมจีๆ
การปกปิด แน่ยืน..แน่นอนเว้ย! ว่าไม่ปกปิดคุมมัน ให้ 7/10เท่าตัวบนละกัน ถือว่าช่วยๆกันทำมาหากิน555
..หรือที่มันติดนานเพราะมันไม่ค่อยมีแดด55
.......................................................
ต่อไปเลยจ่ะ
Innisfree X Snoopy Vivid Creamy Tint(เบอร์2)
ความรู้สึกหลังใช้
ดูในแอดของแบรนด์แล้วคือสีเข้มมาก เข้มแบบแสบๆ ยังคิดเลยจะทาไปไหน(ฟร๊ะ)แต่เราทาอ่อนๆเกลี่ยๆก็คงได้ ไรงี้ เลยเลือกสีที่ตัวเองคิดว่าจะไม่ซื้อใน3สี(จะได้ไม่ซ้ำกับสีอื่นๆที่ตัวเองมี ตรรกะบ้าบอมาก555) ไม่มีรูปที่ทากับปากเดี่ยวๆนะคะ แต่หลังทาคือ เนื้อสัมผัสดีมากกกกกกก มันเหมือนเจลลี่ๆแยมๆอ่ะ กลิ่นก็เหมือนแยม โอ้ก็อดมันคือดีค่ะ เค้าเป็นคนทาลิปแล้วชอบติดฟัน แต่ตัวนี้คือไม่ติด แต่แอบต้องรีบเกลี่ยนิดหน่อย นิดจริงๆนะ เพราะด้วยเนื้อสัมผัสที่ออกเจลลี่ๆมันเลยจะเกลี่ยยากนิดนึง เรื่องความติดทน ถือว่าติดทนนะจ๊ะตัวเทอว์ ทาแบบเกลี่ยๆไปตอนออกหอกินหมูผัดเผ็ดไปก็ยังอยู่ ขึ้นถึงดอยก็เหลืออยู่บ้างเลยขอเติมหน่อยเพื่อคนรอบข้างจะได้ไม่หามอินี่ส่งโรงบาลเนื่องจากปากซีดโดยไม่รู้ตัว(เวอร์มาก)ความติดทน 8/10 (แต่รูปล่างๆไม่ค่อยเห็นสีปากไม่รู้ทำไมมมม)
.............................................................ฮูเล่ !!!!! แล้วก็จบไปแล้วนะคะ กับการรีวิวครั้งแรก ผิดพลาดตรงไหนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเด้อค่าา ปิดท้ายด้วยมินิรีวิวดอกพญาเสือโคร่งหรือซากุระไทยแลนด์นะคะปล. สีภาพอาจไม่เท่ากันเพราะเค้าเอามาจากกล้องโทรศัพท์เค้ากับกล้องอีกตัว
เค้าไปดูซากุระไทยแลนด์ บอกเลยว่าเส้นทางแอบทรหดมาก คือหลังจากเลยดอยสุเทพไปซักพักถนนมันเล็กมาก และพุพัง(?) รถสวนกันไม่ได้ ตอนเค้าไปมีรถแดงตกหลุมข้างทางขึ้นไม่ได้
ตอนขากลับ มอไซค์หน้าเค้าก็ลื่นล้มเฉย ก็ไปช่วยๆตามระเบียบ
ถึงที่แรกจะเป็นจุดกางเต้นท์ มีดอกพญาเสือโคร่งหรือซากุระไทยแลนด์บ้างเล็กน้อย แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยได้รูปสวยเท่าไหร่ ต้นมันสูง
ต่อไปเราก็เคลื่อตัวสู่จุดชมซากุระไทยแลนด์ของจริง ถ้าเส้นทางตอนแรกว่าทรหดแล้ว อันนี้ยิ่งกว่า เค้าต้องคอยดันตัวเองไม่ให้ไปทับคนขี่มอไซค์เพราะทางชันมาก ถนนก็ยิ่งกว่าเก่า คือมีเสียงบีบแตรระนาว (เตือนรถที่กำลังสวนมาว่ามีรถกำลังมาน้า)
ทางตอนใกลๆถึงเราจะสามารถมองเห็นซากุระได้แล้วมันสวยมากกกกกก (อย่ามัวมองซากุระเพลินจนลืมมองทางล่ะะะ)พอเข้าไปถึงเค้าก็จะมีที่ให้จอดมอไซค์ส่วนรถยนต์ก็จอดแถวข้างๆทาง(สร้างความลำบากแก่คนอื่นไปอี๊กก (ฮา ))กฏก็คือห้ามโน้มกิ่งดอกพญาเสือโคร่งลงมา แต่ก็ยังมีคนทำ มันน่าจริงเลยยยย
สำหรับใครที่อยากมาเเล้วถามว่าคุ้มไหม มันแล้วแต่คนนะ สำหรับเค้าถ้ามาเช้า(เที่ยงก็ได้)เย็นกลับ มันเฉยๆอ่ะ ดอกไม้สวยมาก(ก ไก่ห้าร้อยล้านตัว) แต่บวกกับถนนที่เป็นแบบนั้นมันเลยหักลบกันกลายเป็นเฉยๆ แต่ถ้ามาหลายวันแบบนอนค้างเต้นท์ ก็คุ้มอยู่นะเพราะมันก็มีวัด น้ำตก โรงเรียน ตำหนักภูพิงค์ อะไรเยอะแยะให้เที่ยวชมตามทางขึ้นมา สำหรับใครที่อยากลองความหนาวเย็นก็มาได้ ตอนเค้าไป 14องศา แล้วเค้าใส่เสื้อสีชมพูในรูปไปด้วยเดียว(โคตรโ_่ 55555) กลับมาเป็นหวัดจ้า นั่งพิมพ์ไปไอคอกแค่กไป
เอาเป็นว่าจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่ถ้ามีโอกาสนะฮะ หวังว่ารีวิวที่พูดมากนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ>< ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบค่า รักนะ จุ๊บๆ