สีชิ้งฉ่องบอกอะไร? เช็คสุขภาพง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง
พี่ริต้า 23 0
วันนี้พี่ริต้ามากับเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวมาก เรื่องของน้ำในตัวเรานั่นเอง สาวๆ เคยลองสังเกตสีชิ่งฉ่องของตัวเองมั้ยคะ รู้มั้ยว่าสีที่เปลี่ยนไปบอกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเรายังสมดุลอยู่หรือไม่ มีสัญญาณของโรคอะไรหรือเปล่า
เพราะสีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกโรคได้หลายชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และเรื่องดีๆ ถ้าอยากให้ระบบปัสสาวะสุขภาพดี เราต้องดื่มน้ำให้เพียงพอด้วยจ้ะ
เพราะสีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกโรคได้หลายชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และเรื่องดีๆ ถ้าอยากให้ระบบปัสสาวะสุขภาพดี เราต้องดื่มน้ำให้เพียงพอด้วยจ้ะ
สีของปัสสาวะบอกอะไร
พี่ริต้าลองหาข้อมูลจากหลายแห่ง พบว่าศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์ ได้เขียนบทความไว้ในเว็บไซต์หาหมอ.com บอกเรื่องสีของปัสสาวะไว้ได้เข้าใจง่ายที่สุดดังนี้
- สีเหลืองอ่อน ปัสสาวะปกติ
- สีเหลืองเข้มแต่ไม่มาก เกิดจากภาวะขาดน้ำ ยิ่งขาดน้ำมากก็ยิ่งเข้มมาก
- สีเหลืองเข้มคล้ำ เกิดจากโรคไวรัสตับอักเสบ โรคตับอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ หรือโรคจากการมีการอุดกั้นทางเดินน้ำดี หรือโรคมะเร็งตับชนิดเกิดจากท่อน้ำดีในตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคมะเร็งตับอ่อน
- ใส ไม่มีสี เกิดจากดื่มน้ำมาก หรือโรคเบาจืด
- สีแดงหรือเป็นเลือด เกิดจากมีการอักเสบ แผล นิ่ว หรือมีเลือดออกในอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ
- สีโคลา เกิดจากภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดีสีน้ำตาลแดง เกิดจากโรคทางพันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ในการสร้างสารฮีมในเม็ดเลือดแดง เรียกว่า โรค Porphyria
- สีขาวขุ่นเหมือนนม เป็นปัสสาวะที่มีน้ำเหลืองหรือไขมันปน เช่น ในโรคเท้าช้าง หรือผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดไตเพียงบางส่วน หรือการจี้ไตด้วยไฟฟ้าหรือคลื่นเสียง ซึ่งเป็น วิธีรักษาโรคบางชนิด เช่น เนื้องอก หรือจากอุบัติเหตุของไต
นอกจากเป็นผลจากอาการของโรคต่างๆ แล้ว การกินอาหารและยาบางอย่างก็ทำให้สีและความขุ่นของปัสสาวะเปลี่ยนไปได้ สำหรับคนที่กินยาอาจจะลองปรึกษาคุณหมอถึงผลข้างเคียงต่างๆ เกี่ยวกับปัสสาวะได้
ดังนั้นถ้าสังเกตว่าปัสสาวะสีผิดไปจากปกติมาก ควรรีบไปปรึกษาคุณหมอดีกว่า แต่ถ้าแค่มีสีเข้มเกินไป แสดงถึงภาวะขาดน้ำ ควรปรับสมดุลร่างกายด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ
ดื่มน้ำปรับสมดุลร่างกาย
การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี มีหลักการง่ายๆ ให้จำไปใช้ได้เลยดังนี้
* ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้วทันทีตอนตื่นนอน
* ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร 30-45 นาที
* ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังมื้ออาหาร 30-45 นาที ไม่ควรดื่มน้ำทันทีหลังรับประทานอาหารนะ เพราะจะไปทำให้น้ำย่อยเจอจาง อาหารไม่ย่อย ท้องอืดท ท้องเฟ้อได้
* ไม่ดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยทำงานไม่ดี
* ระหว่างวันค่อยๆ ดื่มน้ำครั้งละ 1 แก้ว ในช่วงที่ท้องว่าง ช่วงสาย บ่าย และเย็น
* การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว หรือจิบไปเรื่อยๆ ไม่ควรดื่มรวดเดียวหลายแก้ว ไม่เกิดผลดีต่อร่างกาย แถมอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”
* ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน
* ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว เช่น ถ้าน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้ว (แก้วขนาดประมาณ 200 มิลลิลิตร)
อย่างพี่ริต้าเป็นคนดื่มน้ำน้อย พี่เลยใช้วิธีเอาน้ำใส่เหยือก 1 ลิตร 2 เหยือกมาวางไว้ใกล้โต๊ะทำงาน แล้วทยอยดื่มไปเรื่อยๆ ทั้งวันให้หมดเหยือก ส่วนในคนที่ออกกำลังกายก็ต้องดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่เสียไปให้มากขึ้นไปอีกนะ แต่ละวันเราควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ระบบปัสสาวะและระบบต่างๆ ในร่างกายของเราสมดุล นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามอีกต่อไปสำหรับสาวๆ นะจ๊ะ