รีวิวเปิดกรุสกินเเคร์และเครื่องสำอาง #เครื่องสำอาง 2018 (><)
BEGONIE 31 3สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวจีบันทุกๆคน ตามอ่านรีวิวของคนอื่นมานาน ศึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์ และการแต่งหน้าจากชาวจีบันมาพักใหญ่
จึงคิดว่า น่าจะลองมาทำรีวิวให้เพื่อนๆคนอื่นดูบ้าง เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล เม้าท์มอยกันตามประสาสาวๆ ยังมือใหม่อยู่ (>,,<) ก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ
วันนี้จะมารีวิว เปิดกรุเครื่องสำอางค์และสกินแคร์ที่ใช้ ในปี 2018 เป็นการส่งท้ายแบบกระเป๋าฉีกกับ Black Friday และ Cyber Monday ที่เพิ่งผ่านไปของยุโรป ตอนนี้กำลังจะเข้าหน้าหนาว สาวๆ อย่างเราก็มีเวลาอยู่ติดบ้านจิบชา นั่งช็อปปิ้งออนไลน์ แก้หนาวกันไป แต่มันกลายเป็นหนาวๆ ร้อนๆ เพราะกระเป๋าตังค์แฟบจนหน้าตกใจ (T..T) อย่ารอช้าไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ
1. Estee Lauder ANR
เชื่อว่าเซรั่มตัวนี้เปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านของสาวๆ หลายคน สรรพคุณเลิศมากกก ตัวนี้เราเพิ่งเริ่มใช้มาได้สองปี ผลที่ได้คือ ผิวหน้าแข็งแรงขึ้นแน่นขึ้น หน้าไม่โทรม รูขุมขนกระชับ ไม่เป็นสิวง่าย ผิวไม่แพ้ง่ายเหมือนก่อนหน้า ช่วงไหน Sale จะรีบไปสอย จนมันแตกลูกออกหลานมาเต็มไปหมด เป็นตัวที่ไปต่อแน่ๆ2. Estee Lauder Revitalizing AntiAging Power Soft Creme
ครีมบำรุงอีกหนึ่งตัวที่ตกหลุมรักในแบรนด์นี้ ชอบเอามาให้ลงก่อนแต่งหน้าชอบที่เนื้อครีมข้น นุ่ม ทาแล้วไม่เหนียว ไม่หนักผิวหน้า แถมกลิ่นดีมากๆ ใช้แล้วรู้สึกผ่อนคลาย ริ้วรอยเล็กๆเส้นบางๆ ค่อยๆจาง ไปต่อค่ะ
3. NUXE Huile Prodigieuse
เป็น Dry Oil จากฝรั่งเศสที่สาระพัดประโยชน์จริงๆ ทาได้ทั้งใบหน้า ร่างกาย ยันเส้นผม รักมาก กลิ่นหอมดอกไม้แห้งอ่อนๆ ทาแล้วซึมเร็ว ยิ่งช่วงหน้าหนาว ทาเดี่ยวๆแล้วนอนก็เอาอยู่ หน้าไม่ลอกเป็นขุย ให้ความชุ่มชื่นดีมาก แถมยังมีวิตามินช่วยในการบำรุงผิวด้วย ไม่ทำให้แพ้ ทำให้รู้สึกว่าคู่ควรกับโลแกนของแบรนด์จริงๆ “Beauty is my Nature” แถมราคาก็ไม่สูงมาก เป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์ ตัวนี้ซื้อซ้ำๆ จนกว่าเขาจะเลิกผลิต4. Lierac
ตัวนี้เป็นเวชสำอางค์กึ่งๆ ยาของฝรั่งเศส หาซื้อได้ตามร้านขายยาในยุโรป มันจะเป็นเนื้อเจลใส สีเหลืองอมน้ำตาล เจ้าตัวนี้เขาเคลมว่า ช่วยลบรอยแดง รอยดำ กู้หน้าพังให้กลับมาปังอีกครั้ง ช่วยให้หน้าเนียนใส มี AHA จากธรรมชาติ ทำให้ผิวหน้าสว่างใสขึ้นได้ด้วย ฟังดูยั่วยวนชวนเชื่อมาก ดูน่าเชื่อถือ หลังจากลองใช้ประมาณ 2 เดือน คุณหลอกดาวมาก มันไม่ช่วยอะไร แถมแสบอีกต่างหาก นก +นก เป็น ดับเบิ้ลนก ขอเทแรงๆ สรรพคุณไม่คู่ควรกับราคาเลย5. Origins GinZing Energy-Boosting Gel Moisturize
ตัวนี้เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจล ปราศจากน้ำมัน ใช้แล้วรู้สึกเย็นสดชื่นดี กลิ่นหอมซิตรัส แบบยกส้มมาทั้งสวน ปลุกผิวใช้แล้วรู้สึกสดชื่นสบายผิว มีส่วนผสมของ Panax Ginseng และ Caffeine ที่สกัดจากเมล็ดกาแฟ ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ดูใสขึ้น เหมาะกับการรับมือช่วงหน้าหนาวนี้ สำหรับคนผิวแห้ง เป็นขุย สรรพคุณที่เคลมมา คิดว่าเรื่องความชุ่มชื่นเห็นชัดที่สุด แต่ที่ชอบที่สุดคือกลิ่น ทาแล้วมีความสุข เย็นๆผ่อนคลาย มีความมโนแบบว่ากำลังนั่งจิบน้ำส้มวาเลนเซียที่สเปน ถ้าไม่เบื่อซะก่อนไปต่อค่ะ
6. Origins. A Perfect World SPF 40 Age-Defense Moisturizer with White Tea.
เนื้อครีมเนียนละเอียด แต่มีความเหนียว และหนัก ใช้แล้วรู้สึกหน้าชุ่มชื้นดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ สิ่งที่ควรระวังคือ ด้วยความที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอม ครีมมีความเหนียวหนึบ หากเราทามากเกินไป จะทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ในเซ็ท A Perfect World ที่ใช้แล้วชอบที่สุดคือ ตัวเซรั่ม ช่วยเรื่องริ้วรอยได้จริง ทำให้ผิวนุ่มขึ้นด้วย เเนะนำๆ สำหรับครีมตัวนี้ จริงๆมันดีนะ แต่มันไม่เข้ากับผิวเรา หากหมดกระปุกนี้ คงไม่นอกใจอีกขอกลับไปซบตัวเซรั่มในไลน์ PLANTSCRIPTION เหมือนเดิม
7. Origins Clean Energy Gentle Cleansing Oil
เป็นคลีนซิ่งออยล์ที่ชอบมาก สำหรับเรามันอะเมซิ่งทั้งการชำระล้างเครื่องสำอางค์ เรื่องกลิ่นหอมแนวอโรม่า ส้ม ขิง และน้ำผึ้งผสมเข้ากันอ่อนๆ ใช้แล้วผ่อนคลาย พอล้างออกจะกลายเป็นน้ำนม ที่สำคัญคือ ใช้แล้วไม่ทำให้ผิวหน้าแห้ง คงความนุ่มชุ่มชื่นให้ผิว ล้างเครื่องสำอางค์ได้ง่าย สะอาดหมดจด ทั้งมาสคาร่า และลิปสติก ใช้แล้วหน้าไม่มัน ไม่แสบตาขณะล้าง ใช้หมดไปหลายขวดแล้ว จะไม่ไปต่อได้ยังไง คนมันรัก
สีที่เราใช้คือ Medium Light warm เป็นแป้งผสมรองพื้น ชอบการออกแบบแพ็กเกจ มันดูสวยเรียบหรู ดูดี พิถีพิถัน มาพร้อมถุงผ้าลายดอกไม้สีม่วง เก๋ไปอีก มีหลากหลายโทนสีให้เลือก เนื้อแป้งเนียนละเอียด บางเบา แต่ให้การปกปิด มันจะค่อยๆ
แมทกลืนไปกับผิว คือเนียนมาก ดูไม่หลอกตา ไม่โบ๊ะ หน้าไม่ลอย คุมมันระดับปานกลาง เหมาะมากกับการใช้เมืองหนาว เมืองร้อนก็ใช้ได้ดีไม่แพ้กัน ไปต่อจริงๆนะ ไม่รอแล้ว
2. Laneige Powder Fit Cushion
ที่เลือกมาคือ เบอร์ 31 เป็นคุชชั่นที่เหมาะกับสาวผิวมัน เราผิวผสมก็ใช้ได้ ผลที่ได้น่าพอใจ ให้การปกปิดเรียบเนียนสนิท เรื่องรูขุมขนก็หายห่วงเลย ตัวนี้ช่วยได้ดีมาก มันไม่อุดตันผิว แต่เวลาทาต้องค่อยๆเกลี่ยให้ดีๆ ไม่งั้นจะเป็นคราบ ชอบที่มันไม่ได้เป็นแค่คุชชั่น แต่มันช่วยบำรุงผิวด้วย ถ้ายังผลิตอยู่ ก็ไปต่อเรื่อยๆ เลยค่ะ
3. Lavera loose mineral powder
แป้งฝุ่นเนื้อทรานลูเซน ของเยอรมัน ที่ผลิตจากพืชไบโอออแกนิค เป็นแป้งฝุ่นที่รักที่สุด ใช้ได้ทุกวัน ใช้มา 5 ปีแล้วโดยไม่เปลี่ยนใจเลย แบรนด์นี้นอกจากเขาจะเด่นเรื่องส่วนผสมที่เน้นธรรมชาติ เน้นความออร์แกนิกแล้ว คุณภาพแป้งก็ดีงาม ทาแล้วสบายผิวหน้าสุด ๆ เราเป็นคนผิวแพ้ง่าย แต่พอใช้แป้งตัวนี้ มันไม่แพ้ กลิ่นดีมาก เป็นกลิ่นแนวดอกไม้ ปกปิดดี ราคาไม่รุนแรงทำลายล้างกระเป๋าตังค์ ราคา 8 กรัม อยู่ที่ 7.45 ยูโร ราวๆ 290-300 บาท ใช้หมดไปเป็นสิบๆ ตลับ ลูกรักขนาดนี้ คงเทไม่ลง
4. Dior forever fluid foundation
เบอร์ 40 - Miel / Honey Beige
BA ที่เมืองนอกเลือกมาให้ สีเข้มกว่าผิวมาก ทาแล้วเหมือนโดนทำของใส่ ต้องเอารองพื้นตัวอื่นที่สีสว่างกว่ามาผสมเวลาใช้ สำหรับตัวรองพื้น Dior ตัวนี้เนื้อบางเบาดี ปกปิดระดับปานกลางปรับให้ผิวหน้าเนียน ดูเป็นธรรมชาติ เกลี่ยง่าย เหมาะกับคนที่พื้นผิวหน้าดีอยู่แล้ว เนื้อแมทออกแนวด้านๆ มีกลิ่นน้ำหอมแบบผู้ดีตามแบบฉบับดิออร์ ถ้าเลือกสีสว่างกว่าผิวสว่างกว่าหน้าเบอร์นึงจะดีกว่า เพราะมีการดรอประหว่างวัน ไปต่อไหม คงพักยก และขอห่างกันสักพัก ถ้าหากหมดขวดนี้ คงกลับไปใช้ NARS ตามเดิม และอาจจะกลับมาซื้อต่อสลับกับ เพราะเป็นรองพื้นสองแบรนด์ที่ชอบ แต่คงไม่เดจาวูกลับมาซื้อสีเบอร์นี้อีกแน่ๆ มากกว่าราคาที่ทำลายล้างกระเป๋า ก็แอบเคือง BA นี่ล่ะ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจ BA เลือกเองดีที่สุด จะถูกจะผิดก็ด้วยตัวเราเอง
มาสคาร่าตัวนี้ เคลมว่าทำให้ดวงตากลมโตสวยแบบการ์ตูนญี่ปุ่น งอนเด้ง เหมือนติดขนตาปลอม ลองใช้แล้ว ขนตาดูหนาขึ้น ยาวขึ้นจริง เพราะมันผสมไฟเบอร์เนื้อละเอียด กันน้ำกันเหงื่อ ติดทน ล้างออกยากมาก ไม่เหมาะสำหรับใช้ทุกวัน แห้งช้า เวลาปัดใหม่ๆ ต้องระวังเวลากระพริบตาอาจมีเลอะได้ แต่ยังถือว่าทำออกมาได้ดี เน้นดวงตาให้ดูชัดดูโตขึ้นได้จริงตามที่เคลมไว้ ตัวนี้อาจจะไปต่อค่ะ ถ้าไม่พบตัวไหนที่ใช้แล้วรู้สึกดีกว่า
2. Clinique Lash Power Mascara : เบอร์ 04 Dark Chocolate
มาสคาร่าตัวนี้จะชอบตรงหัวแปรง มันมีขนาดเล็กเรียว ใช้ปัดง่าย ชอบเอามาปัดขนตาล่าง ปัดแล้วดูเป็นธรรมชาติดี เพิ่มความยาวได้แบบพอดี ไม่ดูหลอกตา สวยดี ดูแบบขนตาฉันสวยและยาวมาตั้งแต่เกิด เวลาปัดต้องค่อยๆปัดอย่างใจเย็น ไม่แพนด้า แห้งไว้ ล้างออกง่าย
ตอนแรกไม่คิดจะลองใช้ มันอยู่นอกสายตามาก เพราะรู้สึกว่ามันยังแพงไป แต่ร้านเครื่องสำอางค์เมืองนอกที่เราเป็นสมาชิกอยู่ ใจป้ำมาก ส่งตัวจริงเป็นของขวัญ มาให้ทดลองใช้ หลังจากนั้นก็เหมือนโดนป้ายยา ใช้มาตลอดเป็นแท่งที่สี่แล้ว ดีขนาดนี้ ต้องไปต่อค่ะ
อายแชโดว์ลิมิเต็ดพาเลท สัญชาติเยอรมัน ที่ออกมาในปีนี้ เป็นพาเลท 24 สี เป็นเนื้อแมทแค่ 4 สี นอกนั้นอีก 20 สี เป็นเนื้อชิมเมอร์ทั้งหมด โทนสีจะออกสว่างเป็นส่วนมาก ทำให้เวลาใช้แต่งหน้าจริงๆ หากใช้แค่พาเลทนี้เดี่ยวๆ จะทำได้ยากนิดนึง ต้องใช้ร่วมกับพาเลทอื่นๆ เนื้อสีโอเค อยู่ในระดับปานกลาง มีความนุ่ม ค่อนข้างเป็นฝุ่นผง เลอะเทอะได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่หัดแต่งหน้าใหม่ๆ ที่ชอบจริงๆ ในพาเลทนี้คือ มันมาพร้อมกระจกใหญ่มากๆ สะดวกดีเวลาใช้ ไม่ต้องคอยวิ่งหากระจก พาเลทค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนัก ทำให้พกพาได้ยาก คุณภาพและราคาน่ารัก อยู่ที่ 9.95 ยูโร ประมาณ 380-400 บาทไทย เอาสีที่เขาสวอชจากในเว็บมาให้ลองชมกันค่ะ ถ้าถามว่าจะไปต่อรึเปล่า ก็คงไม่ไปแล้ว อีกนานเลยกว่าจะใช้หมด แถมเขาคงไม่ผลิตแล้ว
น้ำหอมกลิ่นนี้ให้ความสดชื่นหวานฉ่ำ ละมุนละไมจากดอกไม้สีขาว กลิ่นเปรียบสาวน้อยไร้เดียงสา แต่มีความเย้ายวนเชื้อเชิญ กลิ่นชัด ข้อเสียอย่างเดียวคือ ติดไม่ค่อนทน ราคาดีจับต้องได้ ตอนกลับเมืองไทย ซื้อมากลิ่นนี้กลิ่นเดียวเลย เป็นขวดขนาดพกพาทั้งหมด แต่ขวดนึงก็ใช้ได้นานอยู่ค่ะ เอามาฉีดตอนหน้าหนาว หิมะลง มันได้อารมณ์ฟินแบบสุดๆ ซื้อต่อแน่ๆ ไม่พลาด
2. Penhaligon's : Artemisia
น้ำหอมผู้ดีอังกฤษ กลิ่นหอมระดับเนื้อนาง ไม่ฟุ้งกระจาย หอมแบบกลิ่นแป้งนวลๆ วนิลาเบาๆ ผสมกับดอกไม้ สดชื่นลงตัวมาก หอมไม่ฉูดฉาด แต่หอมนาน กลิ่นมีความยูนีคเฉพาะตัว ที่ชนะแบบกินขาดคือ แพ็คเกจ ดูหรูหรา มีความน่ารัก
หากถามว่าจะไปต่อไหม ไปต่อค่ะ แต่ต่อด้วยกลิ่นอื่นของแบรนด์นี้ ยังมีอีกหลายกลิ่นที่อยากลอง
1. Mentholatum : Lip Ice Sheer Color
ลิปมันเปลี่ยนสีที่ทุกคนรู้จักกันดี ให้สีชมพูระเรื่อสวยมาก ซื้อมาตุนไว้หลายแท่ง เรื่องความชุ่มชื่นหน้าหนาวเอาไม่ค่อยอยู่ แต่หยิบมาใช้ทุกวันผสมกับลิปตัวอื่นๆ ติดไม่ค่อยทน ราคาถูกหาซื้อง่าย ชอบที่สุดคือ กลิ่นสตรอเบอรี่น่ารักๆ ฟินเฟร่อออออ!!
ซื้อทุกครั้งที่กลับเมืองไทย ปีล่ะ 5-6 แท่ง เพราะสำหรับเรา 1 แท่งใช้ได้ราวๆ 2 เดือน คุ้มมากๆ
2. Dior Lip Glow : 006 Berry
อีกหนึ่งเครื่องสำอางค์ติดกระเป๋า รักทุกอย่างทั้งเรื่องคุณภาพ แพ็คเกจ สี และกลิ่น เนื้อลิปจะออกเชียร์ๆ ทาแล้วสมูท ให้ความชุ่มชื่นดีมาก สมกับราคา สำหรับเบอร์ 006 เวลาทาจะออกสีชมพูติดม่วง ใสๆอ่อนๆ ดูธรรมชาติ หน้าหนาวเอาอยู่ ปากไม่แตก ไม่แห้งกร้าน ไม่ลอกเป็นขุย ไปต่อแน่นอนค่ะ ขาดไม่ได้ ซื้อแบบเปลี่ยนสีผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ
3.Clarins : 17 Pink magnolia
ลิปสติกของฝรั่งเศสอีกแบรนด์ ที่ทำออกมาได้ดี สีนี้จะเป็นสีชมพูติดนู้ดน้ำตาล ไว้ทาเวลาต้องการลุคที่ดูสุภาพๆ เป็นลิปสติกที่มาพร้อมการบำรุงริมฝีปากไปในตัว ทาง่ายเนื้อเนียน แต่อาจจะต้องปาดมากกว่าสองรอบเพื่อให้สีชัดตามต้องการ เม็ดสีจะไม่ค่อยเเน่น เน้นลุคใสๆแบ๋วๆ ทาง่าย ตัวเนื้อสัมผัสรู้สึกดีมาก ไม่หนักปาก ให้ความชุ่มชื้น
4. Chanel Rouge Allure Velvet : 37 L'Exuberante
ลิปสติกอีกแท่งที่รักมาก สีชมพูอมแดงเล็กน้อย ทาแล้วใบหน้าดูสดใสยิ่งขึ้น วันไหนดูโทรมๆ พักผ่อนน้อย ต้องหยิบขึ้นมาใช้
ตอนซื้อคิดไม่ออกว่าจะซื้อสีอะไรดี ชั่งใจ ยืนปาดอยู่นาน ตอนแรกอยากได้สีที่เป็นซิกเนเจอร์ของรุ่นนี้ คือ Pirate เป็นสีแดงขั้นสุดแบบแม่สี คิดไปคิดมาสีแดงมีเยอะแล้ว เอาสีที่มันทาได้ทุกวัน สดใสๆ และเข้ากับหน้าเราดีกว่า จนในที่สุดก็ได้เจ้าเบอร์นี้มา เป็นลิปสติกเนื้อบางเบา คือทาแล้วมันเรียบเนียนกลืนไปกับสีปากเลย ให้ความสบาย ชุ่มชื่นแก่ริมฝีปาก ติดทน สวยให้ลุคธรรมชาติ แบบผิวหนังปากฉันดีมาแต่เกิดทำนองนั้น สีชัด และไม่แห้ง ไปต่อแน่ๆ กับลิปสติกตัวนี้ แต่อาจจะเปลี่ยนลองสีอื่นบ้าง
5. Revlon : 240 sandlewood beige
สีนี้เป็นสีโปรดเราเลย ทาบ่อยมาก เนื้อลิปให้ความฉ่ำดี ไม่แห้งสีชัด ติดทนปานกลาง ไม่เป็นคราบ ระหว่างวันมีเติมบ้าง สีนี้จะเป็นสีส้มแบบอิฐๆ สวยมากๆ เราว่าเข้ากับทุกสีผิวเลย ทาแล้วหน้าผ่อง ราคาที่เมืองนอกจะแพงกว่าเมืองไทย มีหลายสีที่ชอบ คุณภาพดีราคาประหยัด ข้อเสียมีแค่อย่างเดียวคือ ติดไม่ค่อยทน
6. YSL ROUGE VOLUPTE' SHINE : 14 Coral in Touch
ลิปสติกYSLคงความหรูหราตามแบบฉบับของแบรนด์ ด้วยแพ็คเกจสีทอง ความหรูหราที่มาพร้อมด้วยคุณภาพของตัวผลิตภัณฑ์ เนื้อลิปสติกบางเบา ให้สีอ่อนละมุนมีความมันวาว เรียบลื่น ทาแล้วมีความสมูท ทำให้ปากอวบอิ่ม แถมยังช่วยบำรุงริมฝีปาก มีให้เลือกหลากหลายสี กลิ่นหอมมาก ติดไม่ทน ต้องคอยทาซ้ำ กำลังจะใช้หมดเป็นแท่งที่สอง สำหรับสีคอรัลตัวนี้ หากไปต่อ คงเปลี่ยนสี เลือกลองสีใหม่ๆดูบ้าง เพื่อความไม่จำเจ :)
7. Estee Lauder Pure Color Love : 230 Juiced up
ลิปสติกสีแดงก่ำอมน้ำตาลเล็กน้อย ทาแล้วดูแซ่บดูแพง เม็ดสีคมชัดจัดเต็มมาก เนื้อแมทระดับที่ให้เม็ดสีแน่น เนียนละเอียด ให้การปกปิดแบบขั้นสุด เนื้อลิปสติกมีความนุ่มเบาสบายปาก ทาแล้วปากไม่แห้ง สีไม่เพี้ยน ติดทน กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกแนวขนมๆช็อกโกแลต มีหลายเฉดสวยหมดเลย คงได้ถอยเพิ่มแน่ๆ
8. MAC: Mehr
ลิปสติกสีชมพูนู้ด ทาแล้วช่วยขับใบหน้าให้ดูดูสดใส เหมาะกับทุกสีผิว อย่างหนึ่งที่ชอบสำหรับลิปสติกแบรด์นนี้คือ กลิ่นมันดี หอมออกแนวขนมๆ ตัวลิปสติกจะเป็นเนื้อแมท ทาง่าย ทาแล้วรู้สึกผ่อนคลายด้วยกลิ่น สีชัดติดทน แต่ล้างออกง่าย คุณภาพดีไม่ผิดหวังเลย ไปต่อแน่ๆ กับสีนี้เลย หยิบมาใช้บ่อยมาก
9. Clinique : 05 Graffiti Pop
ลิปสติกสีชมพูสดๆอมแดง ทาแล้วหน้าสดใส แซ่บมาก เหมาะกับเรามากเพราะไม่ค่อยชอบแต่งส่วนอื่นของหน้า ได้แท่งนี้มาทาปากทีเดียวแจ่มเอาอยู่ ไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ เป็นลิปสติกสูตรเนื้อครีมบางเบา ช่วยให้ผิวรู้สึกสบาย มีส่วนผสมของไพรเมอร์จะช่วยให้เก็บความชุ่มชื่นบริเวณริมฝีปาก ทาแล้วได้ลุคแมทที่นุ่มเนียน ไม่แห้งกร้าน เม็ดสีเข้มข้น ติดทน ล้างออกยาก ที่สำคัญคือ ทาแล้วถ่ายรูปออกมาสวยมาก แนะนำสุดๆ สำหรับลิปสติกตัวนี้
จบซะที่สำหรับการพิมพ์ที่ยาวเหยียด หวังว่ามันจะไม่น่าเบื่อไปนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ต้องขอโทษเพื่อนๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ หากมีโอกาสจะกลับมารีวิวให้ชมเรื่อยๆ :)