♥ Review ♥ กรุน้ำหอมเล็กๆแบบฉบับสาวเพิ่งหัดใช้น้ำหอม
KanKan
25
5
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้จะมาเปิดกรุน้ำหอมเล็กๆตามแบบฉบับมนุษย์เพิ่งเริ่มใช้น้ำหอมจริงจัง พร้อมเล่าเรื่องราวกว่าที่จะตัดสินใจซื้อน้ำหอมไซส์จริงมาใช้กับเค้าซักที (มันเหงาอะ ขอชวนเมาท์มอยซักหน่อย)
ที่ผ่านมาเราเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของการฉีดน้ำหอมซักเท่าไหร่ ตอนนั้นคิดว่าแพงก็แพง ฉุนก็ฉุน แถมพอซื้อมาก็เห่อฉีดอยู่ไม่นานแล้วก็เบื่อจนเลิกฉีด ไม่เคยจะใช้หมดซักที เลยทำให้เราไม่ค่อยสนใจที่จะใช้น้ำหอม
จนกระทั่งไปเจอกลิ่นที่ถูกใจหลังจากไซส์ทดลองก็เปลี่ยนมาเป็นไซส์จริงฉีดไปทุกวันๆก็ยังไม่เบื่อเลย คราวนี้ก็เริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้วว่าชอบกลิ่นแบบไหน กลิ่นไหนคือกลิ่นที่ใช่สำหรับเรา สำหรับวันนี้ก็เลยจะมาเปิดกรุเล็กๆให้สาวๆได้ชมกันค่าา
น้ำหอมแบ่งขาย จุดเริ่มต้นสู่การใช้น้ำหอม
หลังจากไม่ได้ใช้น้ำหอมมานานก็เลือกไม่ถูกว่าจะลองตัวไหนก่อนดีนะ มันเยอะแยะไปหมด ก็เลยใช้วิธีซื้อแบบแบ่งขายมาลองใช้ดูก่อน ร้านนี้เป็นร้านที่รู้จักมานานและเคยซื้อมาบ้างแล้ว ไว้ใจได้ว่าของแท้แน่ๆ
BVLGARI Omnia Amethyse : ซื้อเพราะเห็นรีวิวของเมอาร์เลยว่าหอม แล้วก็เป็นกลิ่นยอดฮิต กลิ่นนี้ค่อนข้างโตเป็นสาวแล้ว หอมแบบสะอาดๆ หอมนะ แต่ทางเรารู้สึกว่าฉุนไปนิด แล้วคนใช้เยอะมากกก ทั้งบนรถไฟฟ้ายันห้องเรียนภาษา เราเลยเบื่อกลิ่นไว รู้สึกยังไม่ค่อยโดนซักเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ใช้แล้ว
Versace Bright Crystal : ตอนแรกๆชอบมากเลยนะ เราว่ากลิ่นนี้ดูเป็นกลิ่นคุณหนูที่ยังเป็นวัยรุ่น เปรี้ยวซ่าแต่ก็มีความหวานอยู่ในตัว เพราะมีกลิ่นฟรุตตี้ สดชื่น แต่ก็เบรคความซ่าด้วยกลิ่นดอกไม้ เราดมทีไรนึกถึงบาร์บี้ทุกที แต่พอใช้ไปเรื่อยๆแล้วเบื่อกลิ่นบวกกับคิดว่ากลิ่นเขาเด็กไปสำหรับเราแล้วนะ น่าจะเหมาะกับวัยมหาลัยมากกว่า เราก็เลยไม่ได้ใช้แล้วเช่นกัน
My Burberry : นี่แหละน้ำหอมที่ใช่สำหรับเรา! เดี๋ยวเก็บไว้บรรยายต่อด้านล่าง
ข้อดี ของการซื้อน้ำหอมแบบแบ่งขายก็คือเราสามารถทดลองกลิ่นที่หลากหลายได้มากกว่า เพราะขวดนึงก็100-200 บาทเอง และด้วยปริมาณ 3-5 mL. ทำให้เราได้ทดลองใช้ไปหลายๆวันจะได้รู้ตัวว่าเราชอบกลิ่นนี้จริงหรือเปล่าได้กลิ่นแล้วเวียนหัวไหม แล้วกลิ่นน้ำหอมมันเข้ากับกลิ่นตัวของเราหรือเปล่า ดีกว่าไปลองที่เคาน์เตอร์แค่ไม่กี่นาทีแล้วตัดสินใจซื้อเลย บางทีซื้อกลับมาฉีดจริงแล้วปรากฎว่าไม่ถูกใจก็เสียดายเงินแย่
ข้อเสีย ของแบบนี้มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย สำหรับเราข้อเสียคือขวดแบบแบ่งขายแบบนี้มันไม่สามารถป้องกันอากาศเข้าได้เท่ากับขวดน้ำหอมจริงๆ อากาศเข้าไว สีเปลี่ยน กลิ่นเปลี่ยน เพราะฉะนันวิธีนี้เหมาะแค่ช่วงทดลองเท่านั้น ถูกใจแล้วก็ไปซื้อขนาดจริง ไม่ถูกใจก็พอ จบ แยก อ้อ..อีกข้อที่ต้องระวังคือ เลือกร้านดีๆนะจ๊ะ ระวังเจอของปลอม
LEVEL UP! เมื่อแบ่งขายขวดไม่สวย ซื้อไซส์ทดลองขนาดจิ๋วดีกว่า
อัพเลเวลขึ้นมาอีกหน่อย หลังจากซื้อน้ำหอมแบบแบ่งขายมาแล้วรู้สึกว่ามันไม่สวยเลยอะ เลยลองซื้อแบบขวดจิ๋วๆมาใช้ดูละกัน หมดแล้วก็เก็บขวดไว้ตกแต่งได้อีก สำหรับขวดแบบนี้สามารถป้องกันอากาศเข้าได้ดีกว่าขวดแบ่งขายทำให้สีไม่เปลี่ยน กลิ่นไม่เปลี่ยนแม้ตั้งทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ แต่ขวดแบบนี้ก็ราคาแพงกว่าแบบแบ่งขายเราซื้อมาขวดละ 400+
MY Burberry : หลังจากที่ใช้ขวดแบบแบ่งขายหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่พร้อมจะซื้อไซส์จริง (มันแพงง่ะ ทำใจลำบาก) ก็เลยซื้อขวดเล็กๆมาใช้ต่อ แถมขวดก็เหมือนไซส์จริงเด๊ะเลย ทั้งฝาขวดทั้งริบบิ้น สำหรับกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ชอบมาก ปกติเป็นคนเบื่อกลิ่นง่ายมาก แต่เราสามารถใช้กลิ่นนี้ได้เรื่อยๆเลยอะ ทางแบรนด์นิยามว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นของสวนในลอนดอนหลังฝนตกใหม่ๆ สำหรับเรากลิ่นนี้นี้ความหอมจากดอกไม้ ใบไม้ และไม้ (ก็จริงของแบรนด์แฮะ เวลาฝนตกเสร็จเราก็จะได้กลิ่นพวกดอกไม้ ต้นไม้ ใบไม้) ฉีดแล้วกลายเป็นผู้ใหญ่ที่สวยอบอุ่น ดูภูมิฐานและยังใจดีโอบอ้อมอารีอีกต่างหาก ฉีดตอนหน้าหนาวนี่ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาหนึ่งระดับเลย เด็กๆสาวๆน่าจะรู้สึกว่ากลิ่นนี้แก่ไป แต่สำหรับพี่ กำลังพอดีเลย พี่ใช้แล้วชอบ
MY Burberry Blush : หลังจากที่ตกอยู่ในวังวนของ Burberry แล้ว พอเขาออกกลิ่นใหม่มาอีกก็ต้องขอลองอีกซักครั้ง ในส่วนของแพคเกจยังเป็นทรงเดิม เพิ่มเติมคือสีชมพูน่ารักอ่อนหวาน ดูแล้วรู้เลยว่ากลิ่นนี้ต้องเด็กลงกว่าเดิมแน่ๆ ทางแบรนด์ให้นิยามว่ากลิ่นนีี้คือกลิ่นแสงแรกยามเช้าดอกไม้ดอกแรกบานในสวนลอนดอน อื้อหืออ... พอได้ลองก็พบว่ากลิ่นนี้แตกต่างกับ MY Burberry ตรงที่กลิ่นนี้ทำให้รู้สึกเป็นสาวๆวัยสดใส เด็กกว่า แต่ยังคงความรู้สึกว่าใช้แล้วฉันสวย และรวยมากและยังเป็นคนอบอุ่นอีกต่างหาก ถ้าให้เห็นภาพก็เหมือน MY เป็นแม่ ส่วน BLUSH เป็นลูก ช่วงแรกของกลิ่นให้ความรู้สึกสดชื่นนน มีกลิ่นผลไม้ๆเปรี้ยวๆแทรกด้วยดอกไม้ พอผ่านไปซักพักความฟรุตตี้จางไปแทนที่ด้วยกลิ่นฟลอรัล และสุดท้ายคือกลิ่นดอกไม้หอมๆเบาๆนวลๆ เป็นกลิ่นที่ชอบมากกกกก ยังไงก็ต้องมีขนาดจริงไว้ในครอบครองอย่างแน่นอนนนน!
Chole โบว์ครีม : รุ่นทอปฮิตอีกหนึ่งตัวของสาวๆเราก็ขอลองซักหน่อย หอมนะ หอมหวานเป็นสาวหวาน น่าทนุถนอมเลยอะ ถ้าเรามีแฟนคงได้ใส่กลิ่นนี้ไปอ้อนคุนแฟน (ถ้าคุณแฟนจะไม่มึนดอกไม้ไปซะก่อนอะน้า5555) เราได้กลิ่นดอกไม้ ดอกไม้ แล้วก็ดอกไม้ วันไหนอยากหวานแบบสุดๆก็จัดกลิ่นนี้เลย แต่บางทีเราก็รู้สึกว่ากลิ่นนี้ฉุนไปนิด อาจต้องเบามือกันหน่อยน้าา นี่ก็เลยพอจับทางได้ละว่าเราไม่ชอบกลิ่นที่ฉุนจนเกินไป แล้วก็ไม่ได้ชอบกลิ่นดอกไม้จ๋าาา หรือ ฟรุตตี้จ๋าาา
FINALLY, สุดท้ายฉันเองก็พ่ายแพ้ แพ้ให้ My BURBERRY ที่ไม่เคยเบื่อกลิ่นเลย
หลังจากมั่นใจแล้วว่ากลิ่นนี้เกิดมาเพื่อเรา ช่วงที่ใช้จะหมดๆรู้สึกว่าขาดไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็ซื้อไซส์จริงมาซะเลย ใช้ยาวไปๆ ฉีดได้ไม่อั้น ไม่หมดง่ายๆแน่นอน ยืนยันอีกครั้งว่ากลิ่นนี้ไม่ฉุนเลย กลิ่นไม่แรง ไม่เบื่อ ฉีดได้ทุกๆวัน
ไปให้สุด แล้วหยุดที่กลิ่นตัวหอมฟุ้ง
ขวดนี้ได้มาโดยบังเอิญ เกิดจากการแวะเข้าไปหาคุณเพื่อนสมัยมหาลัยที่ตอนนี้เป็นบีเออยู่ที่เคาน์เตอร์ Christian Dior เพื่อนแนะนำว่าน้ำหอม Christian Dior จะไฮกว่า Dior ทั้งในเรื่องของกลิ่นแล้วก็ราคา เราเองเคยมีโอกาสได้ลองน้ำหอม Dior ไลน์ Blooming Bouquet แล้ว เราชอบแพคเกจมากกก อยากจะได้มาครอบครอง แต่เราไม่ชอบกลิ่นจริงๆ รู้สึกไม่โดน มาเจออันนี้ก็คิดว่ากลิ่นคงแนวๆเดียวกันแน่เลย แต่พอเพื่อนเอามาฉีดใส่เท่านั้นแหละ...อื้อหือ หอมมม ดมแล้วดมอีกก็ยังหอม สุดท้ายก็เลยสอยขวด 30 mL. กลับมา
สำหรับกลิ่นนี้เราเข้าไปอ่านในเว็บไซต์แล้วรู้สึกว่าเขาบรรยายได้ดี เรารู้สึกเหมือนที่เขาบรรยายเลย คือกลิ่นนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนงานศิลปะที่มีหลายมิติ แบบว่าไม่ได้ฟลอรัลจ๋าและไม่ฟรุตตี้จ๋า(สไตล์นี้เลยที่เราชอบ!) ในหนึ่งกลิ่นจะมีทั้งความหอมจากผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ และไม้ คือไม่ต้องรอถึงช่วง Base, middle, top เลยเป็นกลิ่นที่ฉีดแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงสวยทรงเสน่ห์ประดุจกุหลาบไม่มีหนาม มีความนุ่มนวล แต่ในขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจในตัวเอง
พูดถึงความคงทนของกลิ่น กลิ่นนี้ติดทนถึงเย็นเลยค่ะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดว่าเช้าเข้มข้นยังไง เย็นก็เข้มข้นแบบนั้นนะ พอตกเย็นกลิ่นก็จะจางๆลง แต่ยังได้กลิ่นอยู่ สำหรับเรา เราชอบเพราะมันทำให้เรามั่นใจว่าเออ..ฉันตัวหอมทั้งวันเลยอะ
ฝาขวดเขาทำเป็นแบบแม่เหล็กทำให้เปิด-ปิดได้สะดวกดีค่ะ
Happy to Smell the new scent
หลังจากที่เจอกลิ่นน้ำหอมที่ใช่แล้วแต่ก็ยังคงมีความสุขกับการที่ได้ทดลองกลิ่นใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา อย่างเวลาไปซื้อของแล้วได้น้ำหอมทดลองมาจะตื่นเต้นมากกก มันจะลุ้นว่ากลิ่นนี้อยู่บนตัวเราจะเป็นยังไงนะ แล้วในแต่ละวันก็จะได้ใช้จินตนาการว่าเอ..วันนี้ตื่นมาอารมณ์แบบนี้เราจะใช้กลิ่นไหนดีนะ เหมือนเป็นความสนุกในชีวิตที่เพิ่มเติมขึ้นมา ถือเป็นเรื่องราวดีๆอีกแล้ว ♥️
Jill Stuart Crystal Bloom Snow : เป็นน้ำหอมอีกหนึ่งแบรนด์ที่ควรมีไว้ครอบครองทั้งในเรื่องของแพคเกจจิ้งและกลิ่น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองใช้น้ำหอมของจิลสจ๊วต ตอนแรกคิดว่าน้ำหอมเขาคงจะกลิ่นอ่อนๆและติดไม่ทนตามสไตล์แบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่น แต่ปรากฎว่าน้ำหอมของเขาติดทนผิดคาดเลย สำหรับกลิ่นที่ได้มาเราว่าก็ตามชื่อรุ่นเลยคือ Snow เหมาะสำหรับฉีดช่วงฤดูหนาว ถ้าฉีดตอนหน้าร้อนไม่เข้ากับสภาพอากาศเมืองไทยซักเท่าไหร่ หลักๆที่ได้กลิ่นเลยคือกลิ่นดอกไม๊ ดอกไม้ หอม สะอาดดีนะคะเป็นอีกกลิ่นที่รู้สึกว่าจะใช้ฉีดตอนไปเดท5555
Giorgio Armani Air: สารภาพว่าเคยคิดว่าจะยังไม่ย่างกรายไปทดลองน้ำหอมแบรนด์นี้เพราะคิดว่าน้ำหอมต้องออกแนวผู้ใหญ่แน่ๆเลย แต่แล้วก็ผิดคาด สำหรับรุ่นนี้เป็นกลิ่นน้ำหอมสไตล์สดชื่นเราว่าเหมาะกับการฉีดไปใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป กลิ่นได้ฟีลเหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆตลอดเวลา ตอนที่ได้มาเราฉีดติดกันทุกวันจนหมดในสัปดาห์นั้นเลย แอบรู้สึกด้วยว่าคนมองตามเหมือนเค้าได้กลิ่นจากตัวเรา
Happy Hour Chistian Dior Perfume : กลิ่นนี้คล้ายๆ Bvlgari รุ่นที่เป็นดอกกุหลาบเลยค่ะ แต่กุหลาบเบากว่าเพราะมีกลิ่นดอกไม้อื่นๆปนด้วย กลิ่นไม่ฉุน ออกแนวแป้งๆ ฉีดได้ทุกวัน ตัวนี้ยังไม่ได้ลองใช้จริงจังเพราะว่ายังเห่อ Holy Peony อยู่เลย
Jasmin Des Anges : ตอนอ่านชื่อกลิ่นคิดว่าเปิดมาต้องมะลิวันแม่ มะลิร้อยมาลัยแน่ๆ แต่พอได้ลองจริงๆ มันไม่ได้กลิ่นดอกมะลิซ้อนขนาดน้าน มันเป็นกลิ่นมะลิอ่อนๆ นวลๆออกแนวแป้งๆ เหมือนได้กลิ่นความหวานจากน้ำผึ้งด้วย เราใส่ตัวนี้ตอนนอนก็หอมสดชื่น นอนหลับสบายดีค่ะ แต่ยังไม่ได้ลองใส่ออกไปนอกบ้านเลย
สำหรับกระทู้เปิดกรุน้ำหอมเล็กๆของเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ หากมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกจะมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันอีกนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่าา ♥️