ไปสอบTOEICมา รีวิว ฉบับมือใหม่ บอกหมดเปลือก
POPuniCORN 30 9ใครคะจะไปคิดว่า ชีวิตแบบเราจะต้องไปสอบTOEIC !!!
?♀️?♀️?♀️
สวัสดีค่า ทุกคน POPuniCORN กลับมาแล้วจ้า
หายหน้าหายตาไปอ่านหนังสือตั้งใจสอบมา
ในความรู้สึกเรา TOEIC ไกลจากชีวิตมากๆ แต่ คิดผิดค่ะ
ในเมื่อต้องใช้ ผลคะแนนภาษาอังกฤษ
TOEIC จึงเป็นทางออกที่ดีเพราะสอบแล้วได้ผลคะแนนเร็วที่สุด
อีกทั้งในตอนนี้ หลายๆมหาวิทยาลัย ก็กำหนดเลยว่าจะต้องมีผลสอบคะแนนภาษาอังกฤษให้ตามเกณฑ์จึงจะจบได้
และแน่นนอน ว่า เมื่อตั้งสติได้และหายเหนื่อยแล้ว เราเลยอยากมารีวิวการไปสอบTOEIC โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่+คนที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษแบบเรา วันนี้จะมาเล่าหมดเปลือก ทั้งวิธีการเตรียมตัว การสอบแต่ละพาร์ทเป็นอย่างไร เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆในการทำข้อสอบ บดให้ละเอียดพร้อมรับประทาน อ่านจบไปสอบได้เลย
เตือนก่อนนะ ว่าเนื้อหายาวมาก
เค้าไปสอบมา สองครั้ง
ครั้งแรก เป็นการสอบแบบฉุกละหุก ไม่ตั้งใจทำ ไปแบบไม่อ่านหนังสือ ไม่เตรียมตัว
อยากให้ผลออกมาอย่างเดียว พอคะแนนออกมา ผลมันห่วยแตกมาก
จึงมีการสอบรอบสอง และต้องตั้งใจกว่าเดิม
วิธีการสมัครสอบ
สามารถสมัครได้ทางอีเมล์และโทรไปจอง แนะนำว่าต้องจองก่อนเพราะบางช่วงเต็มคะ ไปหน้างานไม่มีที่ว่างเสียเวลาเปล่า
เราใช้วิธีการโทรไปจอง ซึ่งกว่าจะติดได้นานมาก
เจ้าหน้าที่จะถามเลขบัตรประชาชน ชื่อไทย-อังกฤษ วัน/ด/ป(คศ)เกิด เบอร์ติดต่อ วันและเวลาที่ต้องการสอบ จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะบอกรายละเอียดการสอบให้ฟัง
**ใครจองแล้ว ไม่สามารถไปสอบได้ สามารถเลื่อนวันโดยโทรเลื่อนวันสอบล่วงหน้า 1 วัน มิฉะนั้น การสอบครั้งต่อไปจะต้องเสียค่าปรับ
?ค่าสอบ 1,500 บาท
?สถานที่สอบ
ศูนย์สอบมีสองแห่ง คือ กทม , เชียงใหม่
ในกทม คือ อาคารบีบีทาวเวอร์ ชั้น 19 (อโศก)
⌚เวลาที่เปิดสอบ
เช้า 09.00 น.-12.00 น. และบ่าย 13.00น.-16.00 น.
เปิดสอบทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ก่อนเวลาสอบเราจะต้องทำการลงทะเบียนก่อน ซึ่งไม่ยุ่งยาก
มีเจ้าหน้าที่ให้ความสะดวกอยู่แล้ว เมื่อลงทะเบียน ถ่ายรูป แล้วจะได้รับใบ(ตามภาพข้างล่าง)นี้มาค่ะ จ่ายเงิน และเขียนชื่อ-สกุลลงสมุด
เจ้าหน้าที่ติดสายรัดข้อมือให้(สอบเสร็จ จนท จะตัดให้ก่อนออกห้องสอบ)
ใบนี้สำหรับเอาเข้าห้องสอบพร้อมบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ทั้งสองต้องไม่หมดอายุนะคะ
เมื่อถึงเวลาก่อนเรียกเข้าห้อง เจ้าหน้าที่จะเรียกสำหรับผู้ที่ต้องการฝากสัมภาระจะมีจุดสำหรับวางสัมภาระ เราไม่ต้องเอาอะไรไปเลย
เพราะ
ในห้องสอบมีปากกา ดินสอ ยางลบให้พร้อม (ดินสอหักยกมือแจ้งจนท.ได้ค่ะ)
ยกเว้นได้สำหรับกระเป๋าตังค์ใบเล็กเท่านั้น
เครื่องประดับใส่ให้น้อยชิ้นดีที่สุด นาฬิกาห้ามเอาเข้า ยึดถือนาฬิกาในห้อง (เค้ามีแค่สร้อยพระเท่านั้น ซึ่งก่อนเข้าห้อง จนท.จะสแกนและตรวจสร้อย ตรวจในกระเป๋าตังค์ ผู้หญิงผมยาวยกผมขึ้นให้ตรวจ ประมาณนี้ค่า)
ลูกอม ยาดม ยาหม่อง โทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสาร ไม่อนุญาตให้เอาเข้า กระดาษทิชชู่ก็เช่นกัน (น้ำมูกไหล ยกมือขอที่จนท.ได้ค่ะ)
มาดูในส่วนของข้อสอบกันค่า
การสอบเป็นแบบ TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน)
ข้อสอบแบ่งเป็น 2 ส่วน (ขออธิบายพร้อมเทคนิคการทำไปด้วยเลยนะคะ)
ส่วนที่ 1 Listening การฟัง 45 นาที 100 ข้อ (495 คะแนน)
Part 1 Photographs (10 ข้อ)
ข้อสอบส่วนนี้จะมีภาพมาให้ ฟังคำตอบจาก A B C D แล้วเลือกฝนวงกลมในกระดาษคำตอบข้อที่ถูกต้องที่สุด
โดยส่วนมาก คำตอบที่แปลออกมาจะไม่ตรงตัวตามภาพ เช่น ภาพเป็นรูปคน 3 คน ยืนพูดคุยกันและข้างหน้ามีโต๊ะ คำตอบมันมักจะไม่ใช่ คนสามคนพูดคุยกัน
แต่คำตอบมักจะเป็น มีโต๊ะวางอยู่หน้าคนสามคน/คนสามคนหันหน้าเข้าหากัน/คนสามคนใส่ยูนิฟอร์มเหมือนกัน
อันนี้แนะนำให้ทำข้อสอบบ่อยๆ จะจับทางถูกว่าคำตอบมักจะตอบว่าอะไร
ถ้าหากบางข้อไม่มั่นใจ เพราะรู้ศัพท์ไม่เยอะหรือฟังไม่รู้เรื่อง ให้ตัดข้อที่ไม่ใช่ออก เช่น ตามตัวอย่างคนสามคนได้กล่าวข้างต้น ได้ยินว่า A มีแจกันดอกไม้วางบนโต๊ะ(ในภาพไม่มีตัดออก) B มีหนึ่งคนสวมแว่นตา(ในภาพไม่มีตัดออก) C ฟังไม่รู้เรื่อง ทดไว้ก่อน Dทั้งสามคนถือกระดาษ
Part 2 Question and Response (30 ข้อ)
เป็นการฟังคำถามและเลือกคำตอบ A B C มีแค่สามข้อให้เลือก
ข้อสอบส่วนนี้ฟังคำขึ้นต้นให้ดีๆ ถามถึงใคร ฟังคำตอบคน/ชื่อคน ถามถึงสถานที่ ตอบสถานที่อาจมีการบอกให้เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย/อยู่ใกล้อะไร
เทคนิคสำคัญสำหรับข้อสอบพาร์ทนี้ คือ ฟังคำถามที่เป็นkeywordคำตอบให้ออกแล้วจะตอบได้ (มีโน้ตไว้เลื่อนไปดูข้างล่างค่ะ)
Part 3 Conversations (30 ข้อ)
พาร์ทนี้เป็นเหมือนการสนทนาซึ่งยาวขึ้นมาหน่อย พูด 1 ครั้ง ต่อ 3 ข้อมีช้อยส์ให้เลือก A B C D
เราต้องอาศัยการอ่านคำตอบไปด้วย เพราะการฟังของเราคือ รู้เรื่องแบบ 50-50 เท่านั้น มันจะมีอารมณ์แบบ (สบถในใจ เ- ี้ย อะไร ว่ะ , อ่านช้อยส์ไม่ทัน, โอ้ยฟังไม่ทัน พูดไรว่ะฟังไม่รู้เรื่อง โอ้ย โอ้ย)
ตั้งสติให้ดีๆ อ่านช้อยส์ และขีดไปเลยว่าคำถามเขาถามอะไร
ส่วนมากจะถามว่า จุดประสงค์ของเรื่องคืออะไร/ผู้พูดต้องการอะไร/ผู้พูดทำงานอะไร/ผู้หญิงที่พูดต้องการอะไร/อีกคนแนะนำอะไร/ผู้พูดอีกคนทำงานอะไร
เวลาตอบ เราทำสัญลักษณ์แบบไม่โจ่งแจ้งว่าคือคำตอบหรือขีดฝนนิดๆลงในกระดาษคำตอบแล้วรีบไปอ่านช้อยส์ข้อต่อไป
อ่านคำถามและช้อยส์
ขณะฟังเลือกว่าข้อไหนถูก ทำสัญลักษณ์ไม่โจ่งแจ้งหรือไปฝนเล็กๆในกระดาษคำตอบ
ขณะที่ฟัง A บลาๆๆๆ B บลาๆๆๆ ให้ไปอ่านคำถามและช้อยส์ข้อต่อไปอย่างรวดเร็ว (Part 3 และ 4 เราใช้วิธี 3 ข้อนี้เลยค่ะ แล้วค่อยฝนเต็มวงตอนเริ่มทำข้อสอบReading)
Part 4 Short Talks (30 ข้อ)
ส่วนนี้ เป็นคนเดียวพูดยาวๆ 1 บทพูด ต่อ 3 ข้อมีช้อยส์ให้เลือก A B C D
อาจจะเป็นการฝากข้อความ/ประกาศโฆษณา/ประกาศในสถานที่ต่างๆ/ประกาศช่วงนาทีทอง/ประกาศเตือนภัย
คำถามส่วนมากก็จะถาม สถานที่ที่ประกาศคือที่ไหน/ผู้พูดทำอาชีพอะไร/อาจมีเวลามาเกี่ยวข้อง/ถามถึงคนสำคัญในประกาศ/จุดประสงค์ของการประกาศ/ข้อใดไม่เป็นตามจริงที่กล่าวมา/ประกาศลดราคาเท่าไหร่
พาร์ทนี้ระวังเรื่องได้ยินคำศัพท์แล้วเลือกตอบตามที่ได้ยิน บางครั้งจะใช้คำศัพท์ความหมายแทนกันมาเป็นคำตอบด้วย
*** วิธีการทำแบบข้อ1,2,3 ในPart 3 เลยค่ะ เพื่อให้ทำข้อสอบได้แม่นยำขึ้น เพราะการฟังเราอยู่ที่ 50-50 วิธีนี้จะช่วยได้มากๆ แม้ว่าจะเสียเวลาreadingเพื่อฝนข้อสอบก็ตาม ดีกว่าปล่อยทิ้งเพราะไม่รู้เรื่อง
ส่วนที่ 2 การอ่าน 75 นาที 100 ข้อ (495 คะแนน)
Part 5 Incomplete Sentences (40 ข้อ)
พาร์ทนี้ คือการเติมประโยคให้สมบูรณ์
เน้นโครงสร้างประโยค การวางตำแหน่งของคำตอบ เช่น เลือกวาง verb(ซึ่งบางครั้งมีtenseร่วมด้วย) ,adj , adv , noun , คำเชื่อมประโยคต่างๆ บางข้อต้องอาศัยการแปลหรือบางข้อแค่เห็นจุดสังเกตคือเติมได้เลยไม่ต้องอ่านทั้งประโยคก็ได้
Part 6 Text Completion (12 ข้อ)
เป็น paragraph สั้นๆ มีช่องว่างไว้ 3 ข้อ เพื่อให้เราเลือกเติมคำที่ถูกต้องจากชอยส์
การเลือกเติมคล้ายๆพาร์ท 5 แค่ประโยคยาวติดต่อกัน
1 paragrap ต่อ 3 ข้อ
Part 7 Reading (48 ข้อ)
การอ่าน พาร์ทนี้ อ่านยาวๆ ไม่ยาก แต่ เยอะ จะเป็นบทความยาวๆ บทความเดี่ยว 28 ข้อ และบทความคู่ 20 ข้อ
ส่วนมากจะเป็น ประกาศต่างๆ โฆษณา อีเมล์ฉบับส่งและฉบับตอบกลับ
เพื่อวัดความเข้าใจเนื้อหาและคำศัพท์ 1 บทต่อ 3- 4 ข้อ
วิธีที่เราใช้ คือ อ่านคำถามและช้อยส์ แล้วไปอ่านบทความ จากนั้นขณะที่อ่านบทความขีดเส้นใต้ส่วนที่น่าจะสำคัญ
พาร์ทนี้การรู้คำศัพท์ถือว่าช่วยได้มาก เพราะ ในคำศัพท์บทความแต่คำตอบมักใช้คำศัพท์แทน(ความหมายเหมือนกันแต่คนละคำ)
เราจะอ่านและแปลเสมอ พอแปลได้ก็จะจำได้ว่ามีอะไรบ้าง เวลาตอบก็ง่ายขึ้น เพราะคำถามส่วนมาก ก็อยู่ในบทความทั้งนั้น ไม่ต้องคิดอะไรเยอะเลย
สำคัญ คือ ต้องอ่าน ถ้าคำถาม ถามเกี่ยวกับเวลา สถานที่ สามารถตอบได้เลย(ถึงให้อ่านคำถามก่อนอ่านบทความ)
Paragraphs แรก คือส่วนสำคัญของเนื้อเรื่อง
การฝึกทำข้อสอบพาร์ทนี้จะช่วยให้อ่านได้เร็ว แปลได้เร็วและจำคำศัพท์ได้ดีมากขึ้น
ขอแนะนำแอพสำหรับฝึกทำข้อสอบค่ะ อันนี้ไม่มีส่วนได้อะไรทั้งนั้น อะไรว่าดี ก็อยากบอกต่อค่ะ
แอพนี้ มีข้อสอบในแต่ละพาร์ท มีให้โหลดเยอะมาก ฝึกทำได้ ถ้าไม่ขี้เกียจซะก่อน
สามารถทำข้อสอบแบบรวมได้ (8บท)
ตรวจข้อที่ถูกและผิดได้ แต่ไม่มีคำแนะนำบอกว่าทำไมถึงผิด ทำไมถึงถูก
เป็นแนวข้อสอบที่ใกล้เคียงกับของจริง
ฝึกทำแล้วผ่าน เวลาไปสอบจริงก็ผ่านเช่นกัน(คะแนนในtestกับคะแนนจริงอาจตกหล่นลงมานิดหน่อย)
ชื่นชมคนทำแอพนี้ เพราะเวลาฝึกด้วยต้องทำในโทรศัพท์ใช้สายตาเวลาอ่านเยอะ การจัดตัวหนังสือเป็นระเบียบ น่าอ่าน ทำให้สายตาไม่ล้าจนเกินไป
การรับผลสอบ
สามารถมารับผลเองหรือจัดส่งไปรษณีย์ได้ ถ้าหากเลือกส่งไปรษณีย์ เมื่ออกจากห้องสอบจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเขียนที่อยู่ด้วยตนเองและจ่ายค่าส่ง หากมารับเองก็กลับบ้านได้เลย และการมารับผลสอบ ทำตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลย
ข้อแนะนำสำหรับการเตรียมตัวก่อนสอบ
อ่านหนังสือ ฝึกทำแบบทดสอบเยอะๆ ฝึกทำข้อสอบแบบยาวๆทุกวัน วันละครั้งก็พอ เวลาไปสอบจะได้ชิน ไม่ปวดหัว ไม่ลายตา
ฝึกการฟังเยอะๆ อย่างเราการอ่านก็ไม่ได้เรื่อง โครงสร้างรู้แบบงูๆปลาๆ เรื่องtenseทั้ง 12 นี่ไปกันใหญ่ เราเลยเน้นไปที่การฟัง ด้วยการฝึกฟังเพลงและจากการดูซีรี่ย์(เลือกเรื่องที่ภาษาชัดเจนหน่อย) ไม่เก่งขนาดไม่ดูซับแล้วรู้เรื่อง เรายังต้องดูซับอยู่ เพื่อเป็นการรีเช็คว่าที่ได้ยินแปลในใจของเรากับซับตรงกัน คำไหนไม่รู้ก็ดูซับเอาได้
การแต่งกาย เราใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ วันสอบแต่งสบายๆ วันต่อไปค่อยแต่งตัวสวยๆมารับผลคะแนน
การแต่งหน้า เอาสะดวกเลยค่ะ เราเว้นการแต่งตาเพราะอาจทำให้ตาระคายเคืองได้ง่าย เวลามองข้อสอบใช้สายตาเยอะอยู่แล้ว เลี่ยงไว้ก่อน
ใครเป็นภูมิแพ้ ล้างจมูกล่วงหน้าสัก3-4วัน วันก่อนสอบก่อนนอนทานวิตตามินซีก็ช่วยได้ค่ะ
วันก่อนสอบเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ส่งผลทำให้ท้องเสีย ท้องร่วง
เวลาฝน เวลาลบ ก็อย่าแรงมากเกินจนคนข้างๆหงุดหงิด รักษามารยาทและให้เกียรติกันด้วยนะคะ
ทำตามคำแนะนำของศูนย์สอบอย่าเคร่งครัด
ตอนแรกคิดว่าช่วงฟังคำแนะนำก่อนเข้าข้อสอบ จะแอบไปทำพาร์ท5 แต่ทางศูนย์ประกาศชัดเจนว่า ขณะฟังคำแนะนำห้ามทำข้อสอบในพาร์ทReading จบเลย!! พอทำข้อสอบส่วนการฟังจบ รีบฝนข้อที่มาร์คไว้ แล้วข้ามไปทำพาร์ท 7 ก่อนเลยแล้วค่อยกลับมาทำพาร์ท5,6 เพราะพาร์ท7ไม่ยากแต่อ่านเยอะ (ทำทีหลังเค้าทำไม่ทัน)
อย่าลืมวางแผน เผื่อเวลาและการเดินทางล่วงหน้า
อย่าลืมบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต เพราะเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับการตรวจสอบ เข้าห้องสอบและรับผลสอบ
พักผ่อนให้เพียงพอ อ่านหนังสือมาดี ฝึกทำข้อสอบมาเยอะก็ไม่ต้องกังวลใดๆ
เวลาฟังไม่รู้เรื่อง รีบตั้งสติ โดยเฉพาะ พาร์ท 3และ4 มันจะมีบางข้อที่คนพูด พูดได้แบบฟังไม่รู้เรื่อง แล้วต้องอ่านคำถามกับชอยส์ข้อต่อไปแล้ว ถ้าไม่รู้เรื่องจริงๆทิ้งไปเลย แล้วตั้งสติให้มั่น เริ่มข้อต่อไปให้ดี แต่ก็อย่าทิ้งบ่อย เพราะบทพูดกินคำถามไปสามข้อแหนะ
ข้อสอบขีดเขียนได้(1,500ก็ขีดเขียนสักหน่อยได้แหละ) แต่อย่าทำเครื่องหมายในข้อที่เลือกจนโจ่งแจ้งเกินไป
โอ้ยยย ยาวมากเลยค่ะทุกคน
แต่เตือนตั้งแต่ด้านบนแล้วนะ ว่ายาวมาก
ก็อยากมาเล่าให้ทุกคนฟัง เผื่อจะเป็นแนวทางสำหรับใครที่กำลังจะไปสอบ
ไปสอบ 2 ครั้ง คนแน่นทุกครั้งเลย และยังมีรอบพิเศษอีกต่างหาก
ใครจะไปสอบตั้งใจให้ดีคะ สอบครั้งนึง 1,500 บาทแหน่ะ
เราเองไม่ได้ลงสถาบันติว อาศัยการอ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดจากแอพที่แนะนำไป คะแนนก็ได้อยู่ในระดับที่ต้องการ
เอาเป็นว่า ใครจะไปสอบ เค้าขอเอาใจช่วยนะคะ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่า
✌✌✌