[ส า ร ะ ] Lip Balm 101 “ เลือก Lip Balm แบบไหนดีนะ? ”
Nettybeautylife 49 4วันนี้ขอมาความรู้นิดนึงบ้าง เพื่อนๆ คนไหนมีปัญหาการเลือก Lip Balm บางค้า ว่าอันไหนเหมาะกับปัญหาริมฝีปากเรามากที่สุด
แล้วทำไมบางอันเราใช้แล้วไม่เห็น work เลย ?
จริงๆ แล้ว Lip Balm ซึ่งเราสามารถดู Basic Ingredients ง่ายๆ เพื่อเลือก Lip Balm สำหรับความต้องการเราได้นะ ^^ ซึ่ง Lip Balm โดยทั่วไปจะมีส่วนประกอบให้ความชุ่มชื้นริมฝีปาก 3 แบบ ค่ะ คือ มีแบบเก็บน้ำเข้าไปที่ตัว ช่วยอุ้มน้ำให้อยู่ในผิวด้านบนริมฝีปากมากขึ้น (Humectants) เช่น Hyaluronic acid, Glycerin ,Sodium PCAหรือ น้ำผึ้งก็ได้นะคะ / แบบเก็บกักความชุ่มชื้นไม่ให้ระเหยออก (Occlusive agents) เช่น Butter* ต่างๆ Petrolatum และ, Bee Wax และสุดท้ายคือ สารให้ความชุ่มชื้นลื่นผิวทำให้ริมฝีปากนุ่มนวลชุ่มขึ้น (Emollients )เช่น Botanical Oils ต่างๆ ค่ะ (almond oil, jojoba oil, Argan oil, Rose Hip Oil)
*Shea Butter , Cocoa Butter จริงๆ แล้วเป็นทั้ง 3 แบบเลยคือ Humectants, Occlusive แบะ Emollients เลยเป็นต้นค่ะ ^^
ซึ่งหากเป็น Lip Balm ที่ดีก็มักจะเจอส่วนประกอบเหล่านี้รวมๆ กัน ที่จะช่วยกันดูแลปัญหาริมฝีปากแตกได้ดี แต่หากเพือนๆคนไหน ริมฝีปากแห้งมากจนแตก แต่เลือกใช้แค่ Petrolatum (Vasaline) ที่เป็นแค่ occlusive agents ที่มีหน้าที่เคลือบริมฝีปาก ปกป้องไม่ให้น้ำจากริมฝีปากเราออกสู้อากาศเท่านั้น >>> ก็เท่ากับไม่ได้ treat หรือมอบความชุ่มชื่นเข้าไปเลย ทำให้ริมฝีปากยังแห้งไม่หาย ดังนั้นหากตัวเคลือบหายไปจากการกิน ดื่มน้ำ กิจวัตรต่างๆ ระหว่างวัน ก็ทำให้ริมฝีปากกลับมาแห้งได้อีกค่ะ
ดังนั้นการเลือก Lip Balm ที่ดี ก็ควรหาที่มีส่วนประกอบช่วยกันหลายๆตัว ก็จะเห็นผลที่ดีค่ะ และอย่าลืมว่า ความชุ่มชื้นจากภายในร่างกาย คือ สิ่งสำคัญที่สุด นั้นก็คือ การจิบน้ำบ่อยๆ นั้นเอง เพราะอย่าลืมว่า หากเราใช้ Lip Balm ที่มีส่วนผสมกลุ่ม Hyaluronic Acid ในห้องแอร์ แต่เราไม่ดื่มน้ำเลย....ตัวสารจะไปดึง moisture จากที่ไหนขึ้นมาที่ผิวปากชั้นบน ถูกไหมคะ^^ ดังนั้นก็ต้องเติมน้ำให้ผิวจริงๆ ด้วย ถือเป็นการดูแลจากต้นตอที่แท้จริงค่ะ ^^
นอกจากนี้ หากใช้ส่วนผสมข้างต้นแล้ว ยังรู้สึกปากแห้งมาก (แม้จะทานน้ำแล้วก็ตาม) อาจลองมองหา ส่วนผสมที่อาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองอย่าง Camphor, Menthol , หรือน้ำหอม (หากเราแพ้) แล้วหลีกเลี่ยง หากยังเป็นอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกทีค่ะ
⚡️แนะนำเพิ่มเติม สำหรับใครที่ไม่อยากริมฝีปากคล้ำ หรือ ริมฝีปากเป็นริ้วรอย นอกจากจะต้องบำรุง moisture ให้ดีแล้ว อีกสิ่งนึงที่ลืมไม่ได้คือ มองหาลิปที่มีสาร antioxidants เช่น สารสกัดจากพืชที่มีวิตามินต่างๆ และที่สำคัญคือ สารกันแดดด้วย เพราะอย่าลืมว่า ริมฝีปาก ก็คือ Skin เราส่วนนึง ที่บอบบางมากนะคะ ดังนั้นเค้าก็ต้องการสารกันแดดเหมือนผิวหน้าเราเหมือนกันค่ะ ^^
*Shea Butter , Cocoa Butter จริงๆ แล้วเป็นทั้ง 3 แบบเลยคือ Humectants, Occlusive แบะ Emollients เลยเป็นต้นค่ะ ^^
ซึ่งหากเป็น Lip Balm ที่ดีก็มักจะเจอส่วนประกอบเหล่
ดังนั้นการเลือก Lip Balm ที่ดี ก็ควรหาที่มีส่วนประกอบช่วยกั
นอกจากนี้ หากใช้ส่วนผสมข้างต้นแล้ว ยังรู้สึกปากแห้งมาก (แม้จะทานน้ำแล้วก็ตาม) อาจลองมองหา ส่วนผสมที่อาจจะก่อให้เกิ
⚡️แนะนำเพิ่มเติม สำหรับใครที่ไม่อยากริมฝีปากคล้ำ
เอาล่ะ และนี่ก็เป็น Lip Balm ที่เนตมี และชอบนะ จริงๆ ก็มีเยอะกว่านี้ค่ะพูดเลย แต่ว่าหาไม่เจอก็มี 55555 มาอ่านรีวิวสั้นๆ
เป็นหมวดหมู่ดีกว่าเนอะ ^^
#ลิปบำรุงขั้นสุด (Super Lip Treatment ) เนตขอยกให้ 5 ตัวนี้ คือ Laneige Lip Sleeping Mask , Bobbi Brown Lip Balm (SPF 15) Chanel Hydra Beauty, Fresh Sugar Lip Treatment และ Glossier Balm Dot Com ทั้ง 5 นี้คือ บำรุงดีมากกกกกก ส่วนผสมมาเต็มครบหมดทุกกระบวนการ วันไหนปากแห้ง โบกตัวใดตัวนึงในนี้คือ ดี ! ^^ บำรุงริมฝีปากทั้งวันแบบ ปากไม่มันวาวเหมือนกินไก่ทอด แต่คือ เป็นริมฝีปากนุ่มนวลชุ่มชื้นขึ้นค่ะ เนตพึ่งทราบ Trick จาก การดู Make Up Artist หลายๆคนใช้ Laneige Lip Sleeping Mask แทน Lip Balm กลางวันปกติเลย ซึ่งเนตลองแล้วก็ Work มาก ซึ่งดีใจมาก เพราะกระปุกใหญ่มากไม่รู้จะหมดเมื่อไหร่ ส่วน Bobbi Brown คือ มี SPF ด้วยค่ะ (ทั้ง 3 ตลับนี้ราคาพอๆ กันค่ะ คือ ประมาณ 1000-1350 บาทค่ะ) แต่ถ้าใครไม่ชอบกระปุก พกแบบ Fresh ก็ดีเหมือนกันค่ะ ใช้ง่าย แม้เนื้อลิปจะอ่อนไปหน่อย แต่บำรุงได้ดีมากเลยค่ะ ส่วน Glossier เนตแนะนำสำหรับคนที่อยากใช้ Petroleum Jelly เป็น Occlusive agent ที่มีรสชาติอร่อย ไม่มันวาวมันเกินไปค่ะ
#ลิปออย สำหรับใครที่ชอบบำรุงริมฝีปากด้วย และชอบการเคลือบริมฝีปากแบบกลอสแบบไม่เหนียว เนตแนะนำเป็น Lip Oil นะคะ ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ใช้ Botanical Oils ทั้งคู่เลยเป็นส่วนประกอบหลัก นั้นคือ Clarins Lip Comfort Oil (มีสูตรที่เป็นน้ำผึ้งด้วย) และ Kiehls Love Oil for Lips หลอดนี้ค่ะ (Clarins 950 บาท ส่วน Kiehls 800 บาทค่ะ)
#แบบมีสีระเรื่อชมพูธรรมชาติ และบำรุงดีมากๆ ด้วย ด้วยส่วนผสมที่ครบสูตร พร้อมสี Tinted ที่ระเรื่อกำลังผู้ดี ต้อง Dior Lip Glow (001 Pink) กับ Bobbi Brown Extra Lip Tint (Bare Pink) ค่ะ สีที่เนตแนะนำไปจะเปลี่ยนสีได้เป็นสีที่ชมพูกำลังดี ได้กับทุกสีผิว ไม่เอะอะเกินไป ส่วนอีกยี่ห้อคือ Perricone MD (No Lipstick Lipstick) และ YSL Tint In Balm สี 02 จะออกชมพูมากกว่าทั้ง Dior และ Bobbi Brown ค่ะ เนตมองว่าเหมาะกับคนที่ริมฝีปากคล้ำ แล้วอยากทาได้แบบ Dior/Bobbi มาใช้ Perricone MD หรือ YSL คือ work! ราคา 4 แท่งนี้คือ เท่าๆ กันค่ะ ประมาณ 1390-1490 บาท ค่ะ
#สายPackagingเก๋รักษ์โลกและOrganic ลองของ Lesson Thailand , IRA กับ Minorskins ค่ะ เป็นแบรนด์คนไทยที่ design packaging สวยและดี แถมมี Concept เก๋ๆ เช่น Lesson Thailand เป็นแบรนด์สายส่วนผสมธรรมชาติ และให้ Look สีสัน Subtle ที่ผู้หญิงผู้ชายใช้ได้ คือ เก๋มาก ส่วน IRA เป็นสายรักษ์โลกที่ทำ packaging เป้นกระดาษทั้งหมด ส่วน Minorskin เป็นสาย Artist ทำ packaging เป็นแบบ Slide เก๋ๆ ซึ่ง ตัว Balm ของเค้าทั้งคู่ ทำมาจากธรรมชาติ 100% เลยค่ะ ดังนั้น คนริมฝีปากแห้งแบบระคายเคืองง่าย สามารถมาลองได้ (ราคาน่ารักค่ะ อยู่ที่หลักร้อยเท่านั้นสำหรับแบรนด์ไทยสองแบรนด์นี้ค่ะ)
และนี่ก็คือ แบรนด์ลิปทั้งหมดที่เนตได้ลองใช้นะคะ
Netty
———————-
Product Mentioned
Laneige
Chanel
Glossier
Fresh
Bobbi brown
YSL
Dior
Perricone MD
Clarins
Kiehls
IRA
Lesson thailand
Minorskin