Review : LANEIGE cream skin refiner 1 เดือนผ่านไป ไปต่อหรือพอแค่นี้?

38 22
PARTNERS IN BEAUTY
สวัสดีค่ะ สาวๆ ? ป้าอบกลับมาอีกแล้ววว วันนี้อบจะมาอัพเดทสกินแคร์ที่อบได้ไปร่วมงานเปิดตัวแทน Jeban มาเมื่อเดือนที่แล้ว นั่นก็คือตัว LANEIGE cream skin refiner นั่นเองงงง  อบก็ได้ทดลองใช้น้องเค้ามาเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม ได้ทดลองใช้หลายๆ แบบ และรวบรวมข้อคิดเห็น และผลลัพท์ต่างๆ มาสรุปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เผื่อท่านไหนสนใจอยู่และเห็นว่าตอบโจทย์ จะได้ไปตำกันนะค้า

*คำเตือน รีวิวนี้เขียนเยอะมาก ยาวมาก กรุณาจัดสรรเวลาว่างของท่าน หยิบชา/เกแฟ/โกโก้และขนมที่ท่านโปรดปราน ?????????☕?? มารับประทานระหว่างอ่าน (ฮา) ใครอยากรู้เรื่องวิธีการใช้งาน คำเคลมของแบรนด์ และเทคโนโลยีต่างๆ เชิญกระทู้นี้ https://www.jeban.com/topic/274568 ที่อบเขียนเห่อไว้น้า ?

**อบเป็นสาว 30+ ผิวผสม รูขุมขนกว้าง มีฝ้า/จุดด่างดำบนผิวค่ะ
ขอท้าวความก่อนว่าทางแบรนด์เค้าเคลมว่าตัวนี้ใช้เทคโนโลยี Cream BlendingTM ทำให้สามารถรวบรวมข้อดีของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการบำรุงผิว (ครีม, เซรั่ม, มอยเจอร์ไรเซอร์ ฯลฯ ) และปรับสภาพผิว (โทนเนอร์, รีไฟเนอร์, พรีเซรั่ม ฯลฯ ) มารวมไว้ในตัวเดียว ทำให้เราสามารถที่จะใช้ตัวนี้ตัวเดียวแทน step อื่นๆ ได้หมด ย่นระยะเวลาในการทาครีมเยอะๆ นั่นเอง แต่มันทำได้ยังไงละ?  ?

?ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปรับสภาพผิว/เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว และกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวกันก่อนนะคะ

? ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปรับสภาพผิว/เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว (toner/essence/pre-serum/refiner) จะมีเป้าหมาย (target) ในการใช้เพิ่มความชุ่มชื้นกับผิวหนังชั้นลึกของ epidermis (ผิวหนังชั้นนอกสุดของมนุษย์) เค้าจะมีส่วนผสม (ingredients) ประเภทที่เรียกว่า humectant มีคุณสมบัติในการดูดซับเอาความชุ่มชื้นรอบๆ ตัวเข้าสู่ผิวเหมือนกับฟองน้ำ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็น single watery phase คือเป็นของเหลว (มีน้ำเป็นส่วนประกอบ) เฟสเดียว และมีส่วนผสม (ingredients) ที่ละลายน้ำได้ ก็เลยทำให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นจะของเหลว

? ถัดมา ผลิตภัณฑ์ที่กักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว (ครีม, เซรั่ม, มอยเจอร์ไรเซอร์ ฯลฯ) โดยทั่วไปมีเป้าหมาย (targets) ในการใช้เพื่อพื้นผิวชั้นนอกของผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้เราสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวไป โดยใช้ส่วนผสม (ingredients) ประเภทที่เรียกว่า emollient (ซึ่งมีส่วนประกอบของ fatty substances -ไขมัน) เพื่อสร้างและฟื้นฟู hydrolipidic film (ฟิล์มที่ประกอบไปด้วยไขมันและน้ำ) ตามธรรมชาติของผิว เพื่อทำให้เรารักษาความชุ่มชื่นได้ยาวนานนั่นเอง ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะมีส่วนกอบของ oily phase (ส่วนที่เป็นน้ำมัน - ส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันได้ เช่นน้ำมันจากธรรมชาติหรือน้ำมันที่ได้จากการสังเคราะห์) และ water/aqueous phase (ส่วนที่เป็นน้ำ – ส่วนผสมที่ละลายน้ำได้เช่นสารสกัดจากธรรมชาติและอื่นๆ)
? การที่จะผสมสองเฟสเข้าด้วยกัน (น้ำและน้ำมัน) จะต้องใช้สาร emulsifier เติมเข้าไปเพื่อให้เฟสทั้งสองอยู่รวมกันไม่แยกออกจากกันเวลาใช้งาน (ลองนึกถึงคลินซิ่งที่มีน้ำสองส่วนแยกกันก็ได้ค่ะ ที่เวลาใช้เราต้องเขย่าให้เค้าเข้ากัน นั่นคือตัวอย่างของการที่ไม่มีสารทำให้น้ำกับน้ำมันรวมตัวกัน)

ที่นี้ด้วยความที่ส่วนผสมที่ละลายได้ในน้ำมัน เค้าจะมี texture (เนื้อ) ที่มีความหนืด/หนักกว่าน้ำ ทำให้มันยากที่จะผสมเข้ากับเฟสน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกันแต่ยังรักษา texture แบบน้ำเอาไว้ ส่วนที่ละลายในน้ำมันจะต้องถูกทำให้ละเอียดมากๆๆๆๆๆๆๆ ถึงจะสามารถผสมเข้ากับส่วนของน้ำได้ โดยที่ไม่ทำให้ส่วนของน้ำมีความหนืดขึ้น ซึ่งตรงนี้ทาง Laneige เค้าสามารถค้า คือทำให้ตัว Cream skin refiner มีฟังชั่นเหมือนมอยเจอร์ไรเซอร์เลยแต่ไม่มีความหนืด/ความหนักใดๆ เหมือนมอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไป ซึ่งก็ตอบโจทย์กับวัตถุประสงค์ของสกินแคร์ตัวนี้เลย ที่สามารถให้การบำรุงลึกและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่ผิวได้ในตัวเดียวโดยที่มี texture ที่ไม่หนาไม่หนักผิวนั่นเองงงงง
? มาที่เรื่องส่วนผสม น้องเค้าก็มีส่วนผสมตามนี้เลยนะฮะ
WATER / AQUA / EAU, BUTYLENE GLYCOL, GLYCERIN, LIMNANTHES ALBA (MEADOWFOAM) SEED OIL, 1,2-HEXANEDIOL, POLYGLYCERYL-10 STEARATE, GLYCERYL STEARATE CITRATE, SODIUM STEAROYL GLUTAMATE, INULIN LAURYL CARBAMATE, GLYCERYL CAPRYLATE, ETHYLHEXYLGLYCERIN, PROPANEDIOL, DISODIUM EDTA, CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT, TOCOPHEROL

ที่ไฮไลท์ไว้คือสารที่ออกฤทธิ์ ส่วนที่เหลือเป็น Emulsufier และสารกันเสีย **ทุกตัวอ่อนโยน เหมาะสำหรับผู้แพ้ง่าย/ผิวอ่อนแอ

GLYCERIN - ให้ความชุ่มชื่นและป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้น
LIMNANTHES ALBA (Meadowfoam) Seed Oil - เป็นน้ำมันที่มีความคล้ายคลึงกับ jojobar มีความคงตัวสูงมาก เป็น antioxidant, Antiaging มีส่วนประกอบของ Tocopherol หรือ Vitamin E ให้ความชุ่มชื่นและป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นได้สูง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้เกิดความเหนอะหนะ (non-greasy feeling)
CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT – สารสกัดจากใบชาเขียว (หรือชาขาวตามที่ทางแบรนแจ้งว่าเป็นต้นอ่อนของชาเขียว) เป็น antioxidant, Antiaging มี flavanol ช่วยป้องกันการถูกทำร้ายจากแสงแดด ให้ความชุ่มชื่นและป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นได้ ลดการเกิดการอักเสบของผิว
TOCOPHEROL - หรือ Vitamin E เป็น Antioxidant ช่วยฟื้นฟูและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ (ที่แข็งแรงขึ้น)
? ความรู้สึกหลังใช้
เนื้อผลิตภัณฑ์ไหลเป็นน้ำเลย ไม่มีความหนืดใดๆ ทาลงบนผิวแล้วให้ความชุ่มชื้นได้ดี แต่อาจจะรู้สึกว่ามีอะไรมาเคลือบผิวอยู่หลังทา ต้องทิ้งไว้พักหนึ่งเค้าถึงจะซึมเข้าไปหมด โดยเฉพาะอบที่เป็นคนผิวผสม อบได้ทดลองใช้เดี๋ยวๆ ทาก่อนนอน และนอนในห้องแอร์ ตื่นมาผิวยังมีความชุ่มชื่นหลงเหลืออยู่ ไม่แห้งตึงแต่อย่างใด ในเรื่องความชุ่มชื่นถือว่าผ่าน ใช้ได้ตัวเดียวเลยแทนทุกขั้นตอนในกรณีที่เราไม่มีเวลา (สำหรับคนผิวผสม) ส่วนสาวผิวแห้งอบไม่สามารถตอบได้ว่าตัวเดียวจะเอาอยู่หรือไม่ แต่ใช้เสริมกับตัวอื่นได้ ไม่ทำให้หนักหน้าเพิ่ม

? ถึงอย่างนั้นก็ตามอบเป็นคนที่รูขุมขนกว้าง-กว้างมาก มีปัญหาเรื่องฝ้า/รอยต่างดำที่อบยังต้องจัดการอยู่ ตัวนี้เดี่ยวๆ เอาไม่อยู่นะคะ เค้าไม่ได้ใส่ active ingredient ที่มาช่วยตอบโจทย์ทุกสิ่งทุกอย่างครอบจักรวาล เพราะงั้นอบก็ยังเห็นว่าการใช้เค้าควบคู่ไปกับสกินแคร์อื่นๆ ยังจำเป็น (สำหรับอบ) วิธีที่อบชอบใช้คือใช้แทนมอยเจอร์ไรเซอร์ไปเลย คือใช้น้องเป็นตัวสุดท้ายเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว (หลังใช้กรด/โทนเนอร์/เซรั่มใดๆ ) เพราะถึงแม้เนื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะเหลวและไหลเหมือนน้ำ แต่ฟังชั่นของเค้าเทียบเท่าได้กับครีมเลยทีเดียว เพราะงั้นเราจะใช้วิธีการทาตามความหนืดของเนื้อผลิตภัณฑ์กับตัวนี้ไม่ได้เด้อ อบได้ลองใช้เค้าแล้วลงเซรั่มตาม แล้วรู้สึกเหมือนเซรั่มซึมลงผิวยาก แอบกองๆ อยู่บนผิวแล้วมันทำให้เหนอะหนะไม่สบายผิวเลย

? ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือตลอดระยะเวลาที่ใช้น้องเค้ามาผิวไม่โทรมเลย แต่งหน้าติดทนดี แถมเรียบเนียน ผิวสวยตลอดวัน ปกติอบเป็นคนนอนดึกมาก นอนหลังตี 2 ทุกคืน แล้วจะสะดุ้งตื่นตอน 6-7 โมงเช้าทุกวัน ซึ่งก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าถ้านอนน้อย ผิวจะโทรมมาก ไม่สดใส ไม่อิ่มฟู รูขุมขนจะกว้าง แต่พอมาคบกับน้อง ปัญหาทุกอย่างก็ดูลดลงไป ผิวสดใสขึ้น รูขุมขนจากที่เคยกว้างมากๆ ก็หดลง (แน่นอนว่าเป็นเพราะเซรั่มที่ช่วยเรื่องรูขุมขนด้วย) แต่น้องเค้ามาช่วยล็อคความชุ่มชื้นให้อยู่ยาวนานมากขึ้น ผิวเลยดูอิ่มๆ เต่งๆ นั่นเอง อบได้มีการทดลองหยุดใช้น้องและใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ตัวอื่นแทนเป็นระยะเวลา 3 วัน หลังจากที่ทดลองใช้ครบ 1 เดือนแล้ว ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของความชุ่มชื้นในผิวเลยจ้า ผิวไม่ชุ่มเหมือนเดิม ? กลับไปซบอกน้องรัวๆ ?

? อีกทั้งอบใช้ตัวนี้ร่วมกับ Vitamin C 12% ซึ่งให้ผลในทางที่ส่งเสริมกัน เพราะน้องเค้ามี Vit E (ทั้งที่ใส่เพิ่มมาและที่มีใน LIMNANTHES ALBA (Meadowfoam) Seed Oil ) ซึ่ง Vit E จะไปส่งเสริมการทำงานของ Vit C ให้ดียิ่งขึ้น เห็นผล 2 เด้งจากที่ใช้ Vit C เดี่ยวๆ เลยน้า ?
? มาดูผลลัพท์หลังใช้งานกันต่อเลยจ้า
เรื่องความนุ่มเด้งของผิว และความอิ่มฟูอาจจะถ่ายมาให้เห็นได้ยาก ก็ลองพิจรณากันดูน้า จากรูป หน้าฟูขึ้น รูขุมขนเล็กลง (จากเซรั่มลดรูขุมขนด้วยส่วนหนึ่ง) ผิวสดใส ไม่โทรม แม้จะนอนน้อย
? ผลจากเครื่องทดสอบ
ในเมื่อเค้าเคลมว่าสามารถให้ความชุ่มชื่นกับผิว พร้อมกักเก็บความชุ่มชื้น อบเลยทดลองใช้เค้าเดี่ยวๆ แล้ววัดค่าความชุ่มชื้นบนผิวหน้าเปรียบเทียบระหว่างใช้ กับไม่ใช้มาให้ดูด้วย ซึ่งถือว่าทำได้จริงนะจ้า
** Disclaimer เครื่องมือเป็นแบบกิ๊กก๊อกธรรมดา อาจจะไม่ได้ผลที่แม่นยำ 100% แต่อบได้พยายามวัดหลายจุดแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ยเอา (วัด 3 ซ้ำทุกจุด) เพื่อให้ได้ผลที่ดีถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การวัดผลไม่ได้ควบคุมสภาวะจากภายนอก เช่น แสง ความชื้นในอากาศ และอื่นๆ ผลลัพท์นำมาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจของสาวๆ เท่านั้นนะค้า
? สรุปผลจากตารางนะคะ
  • เฉลี่ยแล้วหลังใช้ LANEIGE Cream Skin Refiner ทำให้ความชุ่มชื้นบนผิวหน้าเพิ่มขึ้น 16% และความมันเพิ่มขึ้น 20%
  • เมื่อเวลาผ่านไป 12 ชม. หลังใช้ LANEIGE Cream Skin Refiner ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื่นไป 8% และความมันลดลง 6% เมื่อเทียบกับหลังล้างหน้า
  • เมื่อเวลาผ่านไป 12 ชม. หลังใช้ LANEIGE Cream Skin Refiner ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื่นน้อยกว่าไม่ได้ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ใดๆ อยู่ 4% และความมันลดลงน้อยกว่าอยู่ 3%
****อบใช้ LANEIGE Cream Skin Refiner ปริมาณเท่าที่ใช้ร่วมกับสกินแคร์ปกติ คือ 3-5 หยด
?สรุปผล หากท่านอ่านมาถึงตรงนี้แสดงว่าท่านเป็นผู้แก่กล้ามาก หรือไม่ท่านก็เป็นพวกเลื่อนมาอ่านตอนท้ายเลยเหมือนที่อบทำบ่อยๆ 55555+

?  ข้อดี
  • ให้ความชุ่มชื้นและล็อคความชุ่มชื้นไว้กับผิวได้จริง (อาจจะดูเหมือนน้อย แต่เทียบกับปริมาณที่อบใช้ถือว่ารับได้) ใช้ตัวเดียวอยู่ในช่วงเวลาเร่งรีบ/เร่งด่วนสามารถปรับใช้ในปริมาณเยอะขึ้นได้
  • เบาบางไม่เหนอะหนะ ค่อนข้างซึมไว ถ้าเทียบกับความชุ่มชื่นที่ได้
? ข้อเสีย
  • ยังต้องใช้ร่วมกับสกินแคร์อื่นๆ อยู่ดี ไม่สามารถใช้ตัวเดียวแล้วตอบโจทย์ทุกสภาพ/ปัญหาผิวได้ตามคำเคลม
  • ชาเขียวกับวิตอีใส่มาน้อยไปนิ๊ดดด ถึงจะเคลมว่าเห็นผลดีกว่าชาเขียวทั่วไป 150 เท่าก็เถอะ
  • ผิวผสม/ผิวมันใช้เยอะมีโอกาสหน้าเมือก
? ข้อควรระวัง
1 สัปดาห์แรกอบใช้เกือบๆ 10-15 หยดทั่วหน้า กลายเป็นว่ามันทำให้เกิด สิวเสี้ยนตรงบริเวณจมูกและรูขุมขนข้างแก้มละ ซึ่งเกิดจากการที่ผิวเรามันเกินไปนั่นเอง พออบปรับไปใช้แค่ไม่เกิน 5 หยดทั่วหน้า ผิวดีงาม สัมผัสได้ถึงความเด้งๆ อิ่มฟู แถมไม่มีความมันส่วนเกินใดๆ มาให้กวนใจเลย สาวผิวผสม/ผิวมันควรใช้ในปริมาณน้อยๆ ไว้ก่อนนะคะ สาวผิวแห้ง/ผิวขาดน้ำสามารถใช้ได้ในปริมาณที่มากขึ้นจ้า

? เหมาะกับใคร?
สาวผิวแห้ง/ผิวขาดน้ำ/ผิวแพ้ง่ายน่าจะเหมาะที่สุด หรือใช้เป็นยากู้ชีพเวลาที่ต้องการความชุ่มชื้นเร่งด่วนแต่ไม่ต้องการความหนักผิวเพิ่ม สาวผิวผสมอย่างอบใช้แทนมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ ส่วนสาวผิวมันอาจจะต้องใช้ปริมาณน้อยๆ หรือผสมกับสกินแคร์อื่นๆ

?ความคุ้มค่า
น้องมาในไซส์บิ๊กเบิ๊ม ขนาด 150 ml ราคา 950 บาทไทย ถ้าผิวแพ้ง่าย ต้องการความชุ่มชื้นและชอบเนื้อสัมผัสก็ถือว่าอยู่ในราคาที่รับได้ เค้าเตอร์ LANEIGE ไทยก็มีลดแลกเจกแถมอยู่บ่อยๆ แต่ถ้ามีโอกาสไปเกาหลี ซื้อเองที่นู้นน่าจะได้ราคาถูกกว่านี้

? คำแนะนำเพิ่มเติม
ในช่วงหน้าหนาวหรือสาวๆ ผิวแห้งอาจจะใช้ลงก่อนลงเซรั่ม/ออย/ครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นได้โดยที่ไม่ทำให้หนักหน้าเพิ่มขึ้น อบก็มีแพลนจะใช้เค้าแทนเซรั่มที่ช่วยลดรูขุมขนในช่วงหน้าหนาวที่ต่างประเทศ (เพราะอากาศเย็น รูขุมขนมันหดอยู่ละ เปลี่ยนมาให้ความชุ่มชื่นกันผิวแตก/เหี่ยวดีกว่า) หรือใช้แทนมาส์กหน้า ในกรณีที่เราต้องการความชุ่มชื้นอย่างเร่งด่วน โดยการเทเค้าลงสำลีให้ชุ่มและโบ๊ะไว้ 10-15 นาที ซึ่งเวิร์คมากตอนที่มีไฟล์ทยาวๆ แล้วต้องใช้หน้าทันทีที่ลงเครื่อง ก็มาส์กไว้ก่อนเครื่องลง หรือถ้าพอมีเวลา ลงเครื่องแล้วมาส์กก็ได้ค่ะ เราก็จะสามารถเติมความชุ่มชื่นกลับมาให้ผิวได้อย่างรวดเร็ว หน้าสดชื่นขึ้น ทั้งๆ ที่อดหลับอดนอนและผจญกับอากาศแห้งๆ มาหลายชั่วโมง หรือพกใส่ขวดสเปรย์เล็กๆ เอาไว้เป็น mist พ่นระหว่างวันตอนที่เราต้องเจอกับอากาศที่แห้ง/เย็นจริงๆ (เช่นอยู่ข้างนอกในอุณภูมิต่ำเป็นระยะเวลานาน) ก็เวิร์ค เพราะเนื้อเค้าไม่หนัก ไม่เหนียวเหนอะหนะ และช่วยเติมพร้อมกักเก็บความชุ่มชื่นได้จริง ??
สุดท้ายท้ายสุด ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอบอกว่าเป็นกระทู้ที่พิมพ์ได้ยืดยาวมาก หวังว่าหลายคนคงไม่หลับก่อน 55+ ขอบคุณ Jeban สำหรับโอกาสและประสบการณ์ดีๆ ด้วยนะคะ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคน แล้วพบกันใหม่จ้าา  ?❤


shiki

shiki

ยังทดลองแต่งหน้าไปเรื่อยๆ ค่ะ

FULL PROFILE