เที่ยวให้สุด แต่งานดูแลผิวต้องไม่สะดุดด้วย LHAMOUR เหมาะพกพาไปทุกทริป(ฉบับผิวที่เพิ่งแพ้มา)

เวรกรรมหรือไรแต่ปางไหนนั่น~ ขออนุญาตฮัมเพลงแปปค่ะ เพราะว่าต้นเดือนก่อนเราได้ครีมมาใช้ เป็นครีมดังแหละแต่ด้วยส่วนผสมทำให้ไม่ได้เหมาะกับทุกผิวเสมอไป โดยเฉพาะผิวที่แพ้ง่ายมากๆ อย่างเรา หน้าก็เลยเกิดผดขึ้นและมีสิวอุดตันตามมา ช่วงที่ผ่านๆ มาก็เลยต้องเข้าคอร์สกดสิวและมาส์กหน้าฆ่าเชื้อสิวกันยกใหญ่ แต่ถ้าให้ทำตลอดก็เปลืองตังสุดๆ เราก็เลยแก้ปัญหาด้วยการดื่มน้ำเปล่าและกินผักผลไม้เยอะขึ้น อะไรดีท็อกซ์ก็จัดเต็ม บำรุงจากภายในและใช้สกินแคร์น้อยชิ้นลง เรารู้สึกว่ายิ่งตอนที่แพ้ เราจะต้องเลือกใช้เฉพาะสกินแคร์ที่เราเชื่อมั่นจริงๆ ว่ามันโอเค มันออร์แกนิค เพราะยิ่งใช้เยอะก็ยิ่งเสี่ยงต่อการแพ้อีกรอบอ่ะเนอะ

สำหรับสกินแคร์ที่เราเลือกใช้อยู่ตลอดช่วงนี้มีอยู่ 3 ตัวหลักๆ ค่ะ คือเซรั่ม ออยล์บำรุงและโลชั่น ในรอบนี้เราขอรีวิว 2 ตัวแรกที่ช่วยให้ผิวเราดีขึ้นไวมากๆ ถ้าเทียบกับปีสองปีก่อนๆ ที่แพ้อะไรมาทีฟื้นฟูนานเป็นชาติ T^T

เราเคยรีวิวออยล์จาก Lhamour ไปแล้วเพราะช่วงนั้นฝุ่น PM2.5 ย่านพระราม 9 คือความหนาแน่นระดับ 10!! ทำให้สิวผดขึ้นเต็มหน้า และล่าสุดเราก็ได้รู้จักกับเซรั่มค่ะ เท่าที่เราหาข้อมูลถ้าใช้คู่กันจะยิ่งทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม จริงๆ ไม่ใช่แค่บำรุงแต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผิวของเราสร้างคอลลาเจนและสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวด้วย เอาเซ่!!

สำหรับเซรั่มของลามอร์ตัวนี้มีชื่อว่า  Lhamour Repairing Hyaluronic Serum (ราคา 2,280 บาท 30ml.) เป็นเซรั่มเนื้อเข้มข้นค่ะ หลังทาให้เว้นไว้สักครึ่งนาที ค่อยต่อด้วยออยล์นะ นอกจากจะมีกรดไฮยาลูโรคนิคเข้มข้น Panthenol และยูเรียช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นแล้ว ส่วนผสมหลักอีกอย่างนึงก็คือ Nettle extract” จาก Mongolian wild nettle ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ให้ผิวที่เรียบเนียนขึ้น และริ้วรอยดูลดลงอีกด้วย

ส่วนตัวออยล์เราเคยรีวิวไปแล้วเนอะ Lhamour Antipolllution Facial Oil (ราคา 1,380 บาท 30ml.) ตัวนี้ เป็นน้ำมันซีบัคธอร์นที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของอาหารผิว กลิ่นคือดีมากกก อโรม่า เราเสพติดไปเลย เวลาใช้จะต้องสูดหายใจแรงๆ มันหอมซีตรัส เป็นคนชอบกลิ่นซีตรัสอยู่แล้ว ตอนทาแฟนชอบหันมามองเราดม เอ้า…ก็มันสดชื่นมาก 5555555 เนื้อเป็นออยล์แต่ซึมไว ไม่เหนอะหน้าค่ะ ลงโลชั่นเสร็จ แต่งหน้าต่อได้เบยย

เราใช้ 2 ตัวนี้คู่กัน วันไหนรีบๆ ตื่นสายก็จะหยิบ 2 ตัวนี้เป็นหลักๆ  ผิวก็จะค่อยๆ เด้งฟูและแข็งแรงขึ้น  พวกรอยสิวก็เรียบเนียนขึ้นนะ สิวอุดตันน้อยลง อีกอย่างที่ชอบเวลาวางคู่กันคือ packaging ทนมาก ตัวออยล์เราใช้มานานกว่าก็ยังไม่เลอะรองพื้น ไม่มีรอยขีดข่วน เราเป็นสายชอบยัดสกินแคร์ลงกระเป๋าเดินทาง ก็จะปลื้มกับขวดที่ทนทานหน่อยเป็นพิเศษ และเป็นประเภทชอบพกขวดสกินแคร์ไปทั้งขวด (ถ้าไม่ได้ใหญ่จนจะต้องแบ่ง) รู้สึก(ไปเอง) หรือเปล่าว่าให้เขาอยู่ในขวดของเขานี่แหละ ได้ประสิทธิภาพสูงสุด 5555555

ทริปที่เราไปมาล่าสุดคือภูเก็ตค่าาา ไป เล่น เซิฟ!!! เขาฮิตอะไรกันก็ต้องไปลองอ่ะเนอะ ไปนอนโรงแรมกับโฮสเทลใกล้ๆ หาดกะตะ ภูเก็ตมา เป็นหาดที่น้ำใสและคนไม่พลุกพล่าน สวรรค์ของคนเล่นเซิฟเลยแหละ ไม่ลืมจะหยิบบิกินี่ไปแน่นอน ตอนจองตั๋วเราตื่นเต้นมว๊ากกก แต่พอฟ้าใกล้จะบิน พ่อคะ ฟ้าดันมาแพ้ครีม แม่เจ้า T^T มันต้องถ่ายรูปโชว์ผิวหน้าด้วย แถมพอไปกดสิวที่ขึ้นมาเยอะจัดๆ ก็เลยเป็นรอยสิว สุดท้ายก็ยังดีที่ได้ผิวที่ดีขึ้นตามลำดับกลับคืนมา ไม่งั้นคงเป็นทริปที่หน้าโบกรองพื้นหนาเต๊อะและรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ อีกอย่างน่าจะแพ้กลับมาหนักกว่าเดิมด้วย เพราะทั้งแดดทั้งน้ำทะเล

เรามีรูปมาอวดแหละ ><

+2

ใครที่อยากลองไปเล่นเซิฟแนะนำให้ไปช่วงหน้าร้อนไปจนถึงต้นฝนนะคะ แต่ภาคใต้ฝนตกแทบจะตลอดอยู่แล้ว เล่นช่วงเช้าเราว่าอากาศดีสุด น้ำกำลังใส แต่ถ้าช่วงเย็นก็เล่นได้นะ แค่น้ำจะไม่ใสเท่าเพราะผ่านคนเล่นมาทั้งวันแล้ว สำหรับหาดกะตะเราให้ The Best ค่ะ เพราะค่าครองชีพไม่แพง (อย่างที่คิดไว้ตอนแรก) จากสนามบินนั่งรถเข้ามาแค่ชั่วโมงเดียว ห่างจากตัวเมืองแค่ 30 นาที 

ส่วนสกินแคร์ เป็นสิ่งที่เราอยากให้คนที่มีผิวแพ้ง่าย และคนที่ใช้ชีวิตในเมืองใส่ใจให้มากๆ ถึงจะต้องลงทุนสักหน่อยแต่มันดีจริงๆ นะคะ ดีกว่าต้องมานั่งแพ้และนั่งรักษากันยาวนาน จนถึงตอนนี้ผิวเราดีขึ้นตามลำดับแล้วค่ะ (แม้ประจำเดือนมา สิวก็ยังไม่เห่อเยอะท่วม) ทริปหน้าอันใกล้นี้มีไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่ ไว้จะเอาภาพสวยๆ มาฝากน้า (กราบอย่างชดช้อย รักในความออร์แกนิค เย้~)