ดราม่าจากหนัง It Ends With Us ที่เดือดจน Blake Lively ฟ้องพระเอก/ผู้กำกับ

12 5
ฺนางเอกชื่อดัง Blake Lively ส่งท้ายปี 2024 ด้วยการฟ้องร้องสะเทือน Hollywood คู่กรณีของเธอคือ Justin Baldoni ผู้กำกับและพระเอกประชันบทบทบาทคู่กับเธอใน 'It Ends With Us' หนังดราม่าที่กอบโกยรายได้ไปกว่า $351 ล้าน จากข้อกล่าวหาว่า เขามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศและสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งมีการคาดการณ์แล้วว่า เรื่องฉาวคราวนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงจนฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าสู่จุดจบในอาชีพคนบันเทิง

ฺBlake อาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจากคนร่วมวงการ Hollywood ในการยืนหยัดต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม แต่ปฏิกิริยาจากโลกออนไลน์กลับไม่ได้เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจไปซะหมด ซ้ำร้าย ชาวเน็ทหลายคนยังกล่าวหาเธอว่า พยายามใช้อิทธิพลทำลายคู่อริที่มี star power ด้อยกว่าเพราะแค้นใจที่ตัวเองถูกโจมตีหนักอยู่ฝ่ายเดียวเมื่อก่อนหน้านี้ และยังเหยียบย่ำซ้ำเติมว่า ชื่อเสียงของเธอถูกทำลายลงไปเพราะการแสดงทัศนคติชวนขัดใจระหว่างการโพรโมทหนัง ส่วนกลุ่มคนที่เชื่อถือในคำพูดของเธอก็ได้เตือนว่า อย่าปล่อยให้อคติบดบังข้อเท็จจริง เธออาจจะมีข้อผิดพลาดหรือเผยพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้ชาวเน็ทไม่ปลื้ม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอจะโป้ปดเรื่องประสบการณ์เป็นเหยื่อการคุกคามในสถานที่ทำงาน และควรติดตามหลักฐานเป็นรูปธรรมที่ทั้งสองฝ่ายใช้สู้คดี



ย้อนปมความขัดแย้งของคู่พระเอกนางเอก

รายได้พุ่งแรงของ It Ends With Us ดูจะสวนทางกับบรรยากาศคุกรุ่นของการโพรโมทหนังในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดเสียงร่ำลือว่า ปมความขัดแย้งในกองถ่ายส่งผลให้ Blake เลี่ยงการเดินพรมแดงหรือให้สัมภาษณ์คู่กับพระเอก/ผู้กำกับ ทั้งๆที่เธอคือหนึ่งในโพรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ ซึ่งผู้คนย่อมคาดหวังจะได้เห็นคู่นักแสดงนำที่รับหน้าที่กำกับหนังและโพรดิวเซอร์ร่วมกันถกประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจของผลงาน นั่นคือ ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว แต่ความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำหนังกลับทำให้พวกเค้าแยกให้สัมภาษณ์สื่อและเลี่ยงที่จะให้ความเห็นถึงอีกฝ่าย ทาง Justin อาจจะเอ่ยถึง Blake ในแง่บวกอยู่บ้าง แตกต่างจาก Blake ที่แสดงท่าทีนิ่งเฉยในการให้ feedback ใดๆเกี่ยวกับคู่นักแสดงนำหรือแนวทางการกำกับของเขา จนหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจขึ้นมา

แหล่งข่าววงในกระซิบมายังสื่อดังว่า Justin ถืออำนาจบาตรใหญ่ของผู้กำกับและผู้ก่อตั้งสตูดิโอลบหลู่ดูหมิ่น Blake เหตุการณ์เลวร้ายจนเธอเลือกโต้กลับด้วยการไม่ยอมโพรโมทหนังร่วมกัน และหนึ่งในพฤติกรรมเจ้าปัญหาของ Justin ก็คือ การสอบถามถึงตัวเลขน้ำหนักของ Blake ก่อนที่จะเข้าฉากแสดงร่วมกัน แต่ก็มีรายงานโต้แย้งออกมาว่า เขามีปัญหาบาดเจ็บที่หลังจึงจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการออกแรงยกน้ำหนัก จึงเข้าไปปรึกษาเทรนเนอร์ของเธอว่า ควรจะต้องปฏิบัติเช่นไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บซ้ำ เมื่อ Blake รับรู้เรื่องนี้ในภายหลังจึงไม่พอใจ กล่าวหาว่าเขา body-shame เธอซึ่งเพิ่งจะคลอดลูกคนที่ 4 ไปเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อมีกระแสข่าวลือนี้ออกมาก็สร้างเสียงโจษจันไปต่างๆนานา หลายคนมองว่า Blake วางท่าเป็นนางเอก diva บารมีสูงจนแตะต้องไม่ได้ ฝั่งพระเอกไม่น่าตั้งใจเหยียดหยามว่าเธอมีน้ำหนักเกิน แต่เขากังวลเรื่องสุขภาพร่างกายของตัวเองจึงต้องหันไปปรึกษาเทรนเนอร์ แต่ก็มีคนคนแย้งว่า ไม่น่าแปลกใจที่คุณแม่ที่เพิ่งคลอดได้เพียงหนึ่งปีจะรู้สึกเปราะบางต่อคอมเมนท์เรื่องรูปร่างของพวกเธอ และยิ่งเป็นคุณแม่ที่กำลังมีอาการซึมเศร้าหลังคลอดก็จะเกิดความกระทบกระเทือนใจได้มากกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า คู่นักแสดงนำย่อมไม่แตกหักกันเพราะข้อกล่าวหาเรื่อง body-shaming เท่านั้น แต่จะต้องมีเรื่องราวซับซ้อนร้ายแรงยิ่งกว่า


กระแสต่อต้าน  Blake Lively ที่ถูกยกให้เป็นหายนะทาง PR ประจำปี 2024
ในขณะหลายฝ่ายกำลังตั้งคำถามเรื่องสาเหตุความขัดแย้งของนักแสดงนำ It Ends With Us แต่บทสัมภาษณ์ของ Blake ในช่วงโพรโมทกลับสร้างเสียงวิจารณ์ในแง่ร้ายจนกลบประเด็นเดิมไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นว่าการเดินสายโพรโมทหนังที่สร้างรายได้สูงที่สุดในอาชีพนักแสดงของ Blake ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์อย่างที่ไม่เกิดขึ้นกับเธอมาก่อน

ดราม่าครั้งนี้ถูกยกให้เป็นกรณีตัวอย่างของหายนะทาง PR เมื่อคนดังแสดงความเห็นและการแสดงออกที่ขัดใจชาวเน็ทจนถูกขุดเอาเรื่องราวเก่าก่อนมากระหน่ำโจมตีแทบไม่พัก

  • เมื่อ Blake ตอบคำถามในประเด็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัวอย่างไม่จริงจัง ทำให้หลายคนมองว่า เธอไม่ได้แยแสต่อผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัวนัก ชาวเน็ทบางคนถึงขนาดเปรียบว่า นี่คือหนังที่ขาดความจริงใจเป็นที่สุด เพราะแม้ว่า หนังจะโดนใจผู้ชมจนโกยรายได้ไปเกินสามร้อยล้านจากทุนสร้างเพียง 25 ล้าน แต่ผู้ที่ถูกเลือกมาเป็นนางเอกไม่ได้ใช้โอกาสนี้แสดงจุดยืนต่อต้านความรุนแรงในครอบครัวอย่างที่ควร แตกต่างจากฝ่าย Justin ที่ได้รับคำชมว่า ทำการบ้านมาดี ตอบคำถามสื่อได้อย่างมีแง่คิดและให้ความเคารพและพยายามทำความเข้าใจผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง แต่ Blake กลับพูดถึงเรื่องแฟชั่นและเล่นมุกที่คนฟังไม่ตลกไปด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นไวรัลคือ ตอนที่เธอเรียกร้องให้ผู้คนชวนเพื่อนสาว'ใส่ชุดลายดอก' มาชมหนังเรื่องนี้ (เข้ากับธีมนางเอกที่เป็นนักจัดดอกไม้)  เกิดเป็นกระแสถล่มหนักหน่วงว่า Blake ขาดการเตรียมตัวในการทำหน้าที่ตัวแทนของหนังที่มี impact ต่อการป้องกันแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทั้งยังเย้ยหยันว่า เธอมีทัศนคติตื้นเขินถึงขนาดนำเสนอหนังดราม่าความรุนแรงในครอบครัวราวกับเป็นหนัง feel-good หรือ rom-com โดยที่รู้สึกไม่สะทกสะท้าน

  • ชาวเน็ทยังตั้งข้อสังเกตว่า นอกจาก Blake จะไม่ใส่ใจในการตอบคำถามเรื่องปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เธอยังฉกฉวยโอกาสในการเดินสายโพรโมทหนังในการโฆษณาผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่เธอเพิ่งจะเปิดตัวในช่วงเดียวกัน โดยเฉพาะโพสต์ทาง Instagram ที่เธออวดว่า บริษัทของเธอจัดพาร์ตีย์ธีมดอกไม้เพื่อฉลองให้กับหนังของเธอ เสียงวิจารณ์นั้นรุนแรงจนทำให้เธอต้องปิดคอมเมนท์ในโพสต์ดังกล่าว รวมถึงโพสต์เปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ส่วนเครื่องดื่มค็อคเทลที่เธอนำเสนอโดยใช้ชื่อของตัวละคร abuser ว่า Ryle You Wait รวมถึงชื่อตัวละครอื่นๆในหนังก็ยิ่งทำให้ชาวเน็ทมั่นใจว่า เธอตั้งใจใช้กระแสจากหนังต่อยอดธุรกิจของตัวเอง แต่แทนที่จะได้รับคำชมเรื่องไหวพริบทางธุรกิจ กลับถูกวิจารณ์ว่า การโฆษณาเครื่องดื่มมึนเมาโดยยึดแรงบันดาลใจจากหนังที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงนั้นเป็นก้าวที่ผิดพลาด เนื่องจากผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดื่มสุรามีแนวโน้มทำร้ายร่างกายคนใกล้ตัว วิธีการตลาดของเธอจึงดูไม่ให้เกียรติเหยื่อความรุนแรง

  • ไม่ต้องสงสัยว่า ชาวเน็ทจะขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตเพื่อยืนยันกล่าวหาว่า Blake คือ mean girl ที่ร้ายกาจอย่างแนบเนียนลอยตัวเหนือดราม่ามานานหลายปี แต่เพิ่งจะถูกกระชากหน้ากากในช่วงนี้ เริ่มจากไวรัลบทสนทนาโต้ตอบนักข่าวที่ดูไม่น่ารักเมื่อหลายปีก่อน หรือการแสดงความเห็นว่า ถึงคนอื่นจะได้ยินข่าวอื้อฉาวหรือผ่านประสบการณ์ย่ำแย่จาก Harvey Weinstein แต่เธอไม่เคยประสบพบพานกับเรื่องราวแบบเดียวกัน (ซึ่งชาวเน็ทมองว่า นี่คือการปกป้องอาชญากรทางเพศในทางอ้อม) และเธอยังเคยแสดงความเห็นปกป้อง Woody Allen ผู้กำกับที่ถูกอดีตคู่ครองกล่าวหาว่าทำอนาจารบุตรบุญธรรม ซึ่งทำให้หลายคนรุมโจมตีว่า เธอมีทัศนคติติดลบจนทำใจสนับสนุนไม่ลง

  • ชาวเน็ทยังขยี้ข่าวลือเรื่อง Blake วางตัวเป็นจอมบงการสร้างความขัดแย้งกับอดีตเพื่อนร่วมงานอย่าง Leighton Meester (ฺBlair แห่ง Gossip Girl) และ Anna Kendrick แม้แต่วีดีโอที่เธอรับสร้อยข้อมือมิตรภาพจากแฟน แต่ขออนุญาตอย่างสุภาพว่า จะขอเก็บไปใส่ทีหลังเพราะมันเป็นพร็อพที่ไม่เข้ากับชุดของเธอ ก็ดึงดูดคอมเมนท์ในแง่ลบมากมายจนกลายเป็นไวรัล ชาวเน็ทหลายคนมองว่า เธอเป็นพวกหัวสูง ไม่แคร์ความรู้สึกแฟนที่ตั้งใจทำของที่ระลึกมามอบให้ แตกต่างจากนักแสดงหญิงคนอื่นที่รับสร้อยข้อมือมาสวมโดยไม่เกี่ยงเรื่องการ match เครื่องประดับกับชุด

ในขณะนั้น ชาวเน็ทจากแทบทุก platform ขยันส่ง content ออกมาวิเคราะห์เจาะประเด็นดราม่า หลายคนเรียกยอดเข้าชมด้วยการเลียนแบบวิธีการพูดให้สัมภาษณ์ของ Blake ด้วยมุกตลกแดกดันอย่างเจ็บแสบ ทั้งยังยัดเยียดข้อกล่าวหาว่า เธอเป็นพวก out of touch ที่หลงตัวเองชวนหมั่นไส้และพยายามเกาะความโด่งดังของสามีเพราะหากจะสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่จดจำด้วยผลงานตัวเองก็ไม่ได้มีความโดดเด่นมากพอ

คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่า Blake คือหนึ่งในคนดัง  Hollywood ที่ได้รับความเสียหายด้านภาพลักษณ์อย่างหนักหน่วงประจำปี 2024 (อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาด Puff Diddy แต่นับจากเริ่มเข้าวงการเป็นดาราวัยรุ่น  แม้จะผ่านดราม่ามาบ้าง เธอก็ไม่เคยต้องฟันฝ่ากระแสต่อต้านหนักเพียงนี้)

ฟ้องร้อง Justin Baldoni ต้อนรับ Christmas

ข่าวอื้อฉาวค่อยๆเงียบลงไปในเวลาสี่เดือน แต่ Blake ได้สร้างความตื่นตะลึงด้วยการการยื่นฟ้องพระเอก/ผู้กำกับหนุ่มจากข้อกล่าวหาเรื่องพฤติกรรมคุกคามทางเพศและสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นพิษตามรายละเอียดดังนี้

  • กล่าวหา Justin และ Jamey Heath  ผู้บริหาร Wayfarer (สตูดิโอที่ Justin ร่วมก่อตั้ง) ว่า แสดงพฤติกรรมคุกคามทางเพศและพฤติกรรมอื่นๆที่สร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจหลายครั้ง ซึ่งนักแสดงหญิงและพนักงานหญิงในกองถ่ายบางคนได้โวยประเด็นนี้แล้ว

  • กล่าวหา Justin ว่า เป็นผู้สร้างบรรยากาศในการทำงานที่ไม่เป็นมิตร จนต้องมีการจัดประชุมเพื่อหารือจัดการปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่ง Ryan Reynolds สามีของ Blake เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุมนี้ด้วย

  • กล่าวหา Justin ว่า ทุ่มทุนจ้างทีม PR เพื่อทำลายชื่อเสียงของ ฺBlake ซึ่งแผนการนี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านเธออย่างรุนแรงในโลกออนไลน์

  • กล่าวหา Justin ว่า ใช้คอนเทนท์เรื่องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัวมาเป็นเครื่องมือปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง (ช่วงที่ Blake ถูกโจมตีอย่างหนักว่าไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการความรุนแรงในครอบครัว การให้สัมภาษณ์ของ Justin เรียกเสียงอวยยศว่า เขาคือตัวแทนผู้ชายที่สนับสนุนสิทธิสตรีและต่อต้านแนวคิดชายแท้ที่เป็นพิษ )



ตัวอย่างข้อเรียกร้องจาก Blake Lively เพื่อจัดการกับปัญหาความขัดแย้งกับพระเอก/ผู้กำกับ
สื่อได้เผยแพร่ข้อมูลจากการถกเครียดระหว่างถ่ายทำ It Ends With Us ซึ่งระบุข้อเรียกร้องของ Blake ที่ต้องการจะให้สตูดิโอปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการทำงานยาวเหยียดถึงสามสิบเรื่อง และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวเน็ทฮือฮา

  • อย่าได้โชว์วีดีโอหรือภาพเปลือยของผู้หญิงต่อหน้า Blake และพนักงานของเธออีกต่อไป สื่อโป๊เปลือยดังกล่าวรวมถึงภาพของภรรยาโพรดิวเซอร์ด้วย

  • ห้ามกล่าวถึงภาวะเสพติดสื่อลามกของ Justin Baldoni หรือ James Heath ต่อหน้า Blake และทีมงานถ่ายทำคนอื่นๆ

  • ห้ามพูดเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวเรื่อง sex กับ Blake และพนักงานของเธออีกต่อไป รวมถึงหัวข้อที่เกี่ยวกับคู่ครองหรือคนอื่นๆ

  • ห้ามเอ่ยถึงรายละเอียดเรื่องของลับของพวกเขาต่อหน้า Blake 

  • ห้ามไม่ให้  Justin Baldoni สอบถามเทรนเนอร์ของ Blake เรื่องน้ำหนักของเธอโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากเธอ (มีการอธิบายเพิ่มเติมในเอกสารฟ้องร้องว่า Justin ติดต่อไปที่เทรนเนอร์ของเธอเพื่อบีบให้เธอลดน้ำหนัก)

  • โค้ชผู้ประสานงานฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัวจะต้องอยู่ประจำทุกครั้งที่ Blake และ Justin เข้าฉากด้วยกัน

  • ฺBlake และพนักงานของเธอจะไม่ยอมฝืนทนกับการสัมผัสร่างกายหรือการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเพศจาก Justin Baldoni และ James Heath อีกต่อไป

  • ห้ามจูบแบบด้นสดในการเข้าฉากคู่กัน การสัมผัสร่างกายอย่างแนบชิดจะต้องผ่านการซักซ้อมร่วมกับ Blake และโค้ชผู้ประสานงานฉากที่เข้าถึงเนื้อถึงตัว ห้ามกัด ดูดริมฝีปากของ Blake โดยที่เธอไม่ให้ความยินยอม ฉากถึงเนื้อถึงตัวจะต้องสะท้อนบทบาทของตัวละคร ไม่ได้มาจากความเห็นส่วนตัวของ Justin หรือ Blake
ในสามสิบข้อเรียกร้องยังมีข้อกล่าวหาเรื่องที่เธอถูกบีบให้เข้าฉากโป๊เปลือยทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นต่อบริบทของหนัง หรือน่าตกใจยิ่งกว่าคือข้อกล่าวหาว่า Justin และ Heath เคยเดินเข้ามาในรถเทรลเลอร์ของเธอโดยที่ไม่บอกกล่าวซึ่งเธอยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ซึ่งตัวอย่างเพียงเท่านี้ก็ชี้ชัดแล้วว่า นางเอกดังพยายามปกป้องตัวเองจากพระเอก/ผู้กำกับและผู้บริหารสตูดิโออย่างเต็มที่ และทำให้ชาวเน็ทหันมาฟังความฝ่ายเธอมากขึ้น

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเสียงโจมตีจากโลกออนไลน์ว่า หากเธอเดือดร้อนใจจากพฤติกรรมของ Justin และผู้บริหารสตูดิโอขนาดนั้น ก็น่าจะถอนตัวไปตั้งแต่ต้น เพราะนี่คือ project ที่ไม่ใหญ่โต เงินทุนสร้างไม่มากมาย แต่เธอเลือกเดินหน้าทำงานแสดงหนังเรื่องนี้ต่อไป ไหนจะได้พื้นที่โฆษณาธุรกิจตัวเอง แต่เมื่อสัมภาษณ์ไม่ค่อยดีจนสังคมออนไลน์เล่นงาน เธอกลับโยนความผิดให้พระเอกที่บาดหมางกัน






ชาวเน็ทยังเสียงแตกจากประเด็นฟ้องร้อง ฝ่ายพระเอก/ผู้กำกับกำลังเผชิญกับการถูก boycott

ในขณะที่สังคมยังถกเถียงว่า ควรจะเชื่อถือข้อกล่าวหาจากนางเอกดังหรือไม่ เธอก็ส่งคำแถลงการณ์เพื่อยืนยันเจตนาว่า

"ฉันหวังว่า การดำเนินการทางกฎหมายจะช่วยตีแผ่ถึงแผนการร้ายเพื่อเอาคืนคนที่ลุกออกมาเปิดโปงความประพฤติมิชอบ และช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกเป็นเป้าหมายทำลาย"

ผลจากการยื่นฟ้องร้องครั้งนี้ ทำให้องค์กร Vital Voices ที่มอบรางวัลผู้สร้างความสมานฉันท์ให้ Justin ไปเมื่อต้นเดือนถอดถอนรางวัลนี้คืนทันที หนำซ้ำ WME บริษัทตัวแทนนักแสดงที่ร่วมงานกับทั้ง Blake และ Justin ตัดสินใจเลือกข้างด้วยการตัดขาดกับ Justin และทำหน้าที่เป็นตัวแทนให้ Blake ต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า พระเอกผู้ถูกกล่าวหากำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักหน่วง ซึ่งพลิกผันไปจากสถานการณ์ที่ Blake ตกเป็นจำเลย cancel culture ข้อหาพฤติกรรม mean girl ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา
ทีม Justin ฟาดกลับ ชื่อเสียงของ Blake เสียหายเพราะการกระทำตัวเอง
คงจะเดาออกว่า การฟ้องร้องสั่นสะเทือน Hollywood ครั้งนี้ จะไม่มีฝ่ายใดยอมรับผิดกันอย่างง่ายดาย ทนายของ Justin ส่งคำอธิบายถึงสื่อว่า ข้อกล่าวหาจาก Blake ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด พระเอกหนุ่มจำเป็นต้องว่าจ้างทีม PR มาช่วยรับทือกับสถานการณ์เพราะนางเอกดังขู่ว่า จะไม่ขอร่วมงานแสดงหรืองดเข้าร่วมโพรโมทหนังหากไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเธอ ทนายยังตอกย้ำว่า การยื่นฟ้องร้องของ Blake มาจากพยายามอย่างเข้าตาจนเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของเธอที่เสียหาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการแสดงความเห็นและพฤติกรรมของตัวเธอเองในระหว่างช่วงโพรโมทหนังออกสื่อ ซึ่งสาธารณชนได้สังเกตเห็นจากการให้สัมภาษณ์ของเธอแบบ real time โดยไม่ได้ผ่านการตัดต่อแก้ไขใดๆ


ส่วน PR ของ ผู้กำกับ It Ends With US ก็ออกมาโต้ตอบข้อกล่าวหาเรื่องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังวางแผนทำลายชื่อเสียงของ Blake ว่า พวกเค้าไม่จำเป็นต้องวางแผนหาทางป้ายสี Blake ดูแย่ออกสื่อเลย เพราะ internet ได้ลงมือแทนไปแล้ว พวกเค้าได้เฝ้าสังเกตการณ์สังคมออนไลน์และโฟกัสเรื่องการให้สัมภาษณ์เพื่อส่งเสริมเรื่องภาพลักษณ์ของลูกค้า (Justin) แต่ทีม Blake นั้นได้สร้างความยากลำบากในการโพรโมท It Ends With Us ด้วยการปล่อยข่าวให้ร้ายลูกค้าของพวกเค้าด้วยข้อหา 'สร้างความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย' และนั่นเป็นสาเหตุที่จะต้องสร้างทีมจัดการกับสภาวะวิกฤติขึ้นมา และยังยืนยันว่า จากประสบการณ์ที่ร่วมงานกับ Justin มา 5 ปี จึงได้รับรู้ถึงความมุ่งมั่นของเขาเพื่อการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะเพศหญิง และเขาไม่มีเรื่องเสียหายจากการปฏิบัติต่อผู้อื่นมาก่อน



แชทหลุด หลักฐานเด็ดของ Blake?
มีการเผยแพร่ข้อความซึ่งฝ่ายกฎหมายของ Blake ยื่นเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องร้อง โดยชี้ว่านี่คือบทสนทนาโต้ตอบระหว่าง Jennifer Abel และ Melissa Nathan จากสองสำนักงาน PR ที่ Justin ใช้บริการ ซึ่งเนื้อหาใจความได้ระบุถึงการวางกลยุทธ์ทาง social media ที่มีค่าใช้จ่ายหลายหลักเพื่อสร้างกระแสให้กับหนังและและส่งเสริมภาพลักษณ์ดีงามให้กับ Justin แต่ไฮไลท์ที่ตกเป็นข่าวเกรียวกราวคือ การระดมความคิดของสองสาว PR เพื่อปล่อยข่าวว่า Blake มีพฤติกรรมย่ำแย่จนยากจะร่วมงานด้วยและยังติดต่อไปยังเพื่อนฝูงนักข่าวให้เขียนเรื่องในแง่ลบของนางเอกคู่กรณี พวกเธอเผยความปลาบปลื้มเมื่อชาวเน็ทแสดงความชื่นชม Justin และยังมั่นใจว่า จะทำลาย Blake ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่สะดุดใจเป็นที่สุดก็คือการแสดงความเห็นของ PR ของ Justin ในเรื่องกระแสต่อต้าน Blake จากโลกออนไลน์ว่า 'ที่จริงแล้วมันน่าเศร้า เพราะมันสื่อชัดว่า ผู้คนต้องการจะแสดงความเกลียดชังต่อผู้หญิง' กล่าวคือ แม้แต่ PR ของฝ่ายตรงข้ามก็ยังรู้ดีถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมมนุษย์ที่โอนเอียงเข้าข้างฝ่ายชายและหาเรื่องจับผิดผู้หญิง




อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีการยื่นหลักฐานเพื่อยืนยันข้อกล่าวหาเรื่องการวางแผนใส่ร้ายป้ายสีของทีม PR แต่ก็ยังมีเสียงแย้งในโลกออนไลน์ว่า คำพูดของสองสาว PR นั้นดูเหมือนการซุบซิบนินทาอย่างใส่อารมณ์ด้วยความสะใจที่พวกเค้าสามารถพลิกวิกฤติเมื่อ Justin ถูกข่าวลือโจมตีมาเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่า Blake ได้ แม้ว่าจะเป็นการเย้ยหยันลับหลังด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง แต่บทสนทนาของทีม PR ก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ได้ว่า Justin แสดงพฤติกรรมคุกคาม Blake จนถึงขั้นแตกหักไม่ยอมโพรโมทหนังร่วมกัน

แต่ฝ่ายที่ให้ความเชื่อถือในข้อกล่าวหาของ Blake ได้ทักท้วงว่า นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งทั่วไปที่ผู้ร่วมงานสามารถทำความรอมชอมกันได้ หากล้ำเส้นกันถึงขนาดที่นักแสดงนำหญิงส่งเรื่องร้องเรียนไปยัง HRในที่สุดก็ต้องจัดประชุมยื่นคำขาดห้ามไม่ให้ผู้กำกับและผู้บริหารล่วงละเมิดเธอและพนักงานเป็นจำนวน 30 ข้อ มันก็น่าจะพิสูจน์แล้วว่า เธอต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บีบคั้นจิตใจเพียงใด ทัศนคติที่เข้ากันไม่ได้ของคนร่วมงานฟังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่พวกเราไม่ควรมองข้ามพฤติกรรมคุกคามทางเพศอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะการล่วงล้ำทางวาจา ร่างกาย หรือสร้างความเสียหายทางจิตใจ และยังมีความเชื่อว่า สาเหตุที่ Blake ไม่ถอนตัวออกมาจากหนังทันทีที่เกิดปัญหา หรือออกมาแฉให้สังคมได้รับรู้ก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นเพราะว่า ทีมกฎหมายของเธอที่กำลังรวบรวมหลักฐานวางกลยุทธ์อย่างรัดกุมไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นหลุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร และเธออาจจะไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่น จึงอดทนทำงานจนเสร็จสิ้นและรอให้หนังเข้าฉายในโรงไปก่อน จนกระทั่งหนังจ่อ streaming บน Netflix จึงตัดสินใจเปิดฉากการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมกลับคืนมา

คนร่วมวงการที่ออกมาสนับสนุน Blake
นอกจากเพื่อนนักแสดงที่รู้จักสนิทสนมกันดี ยังมีเพื่อนร่วมงานจากหนัง It Ends With Us  รวมถึง Colleen Hoover  นักประพันธ์นวนิยายต้นฉบับที่แสดงจุดยืนสนับสนุน Blake เธอยังได้รับคำชื่นชมจากองค์กร SAG-AFTRA ที่มีสมาชิกเป็นคนวงการบันเทิงนับแสนว่า เธอมีความกล้าหาญออกมาเปิดเผยประสบการณ์ถูกคุุกคามและเรียกร้องให้มีผู้ประสานงานฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัวในการแสดงทุกฉากเปลือยหรือเนื้อหาทางเพศ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมั่นใจถึงการถ่ายทำที่ปลอดภัย



ทีมกฎหมายของ Blake หอบหลักฐานมายืนยันขนาดนี้ แต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังไม่ถึงเปลี่ยนทิศทางอย่างสิ้นเชิง อาจจะมีคนที่เอ่ยคำขอโทษและแสดงจุดยืนสนับสนุน Blake แต่ก็ไม่ได้มี trending เรียกร้องให้ชาวเน็ทร่วมกันขอโทษที่รุมประนามเธอในช่วงสี่เดือนก่อน ซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่า ภาพลักษณ์ติดลบจากช่วงโพรโมท It Ends With Us ยังส่งผลต่อ Blake จนถึงตอนนี้ แม้คนร่วมวงการ Hollywood รวมถึงชาวเน็ทจำนวนไม่น้อยจะสนับสนุนเธอเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่ข้อความโจมตีเธอและเข้าข้างฝ่ายตรงข้ามก็ยังผุดขึ้นมาไม่หยุด

ปฏิกิริยาจากสังคมที่แตกแยกเป็นฝักฝ่ายทำให้มีการหยิบยกเรื่อง 'เหยื่อในอุดมคติ' หรือ perfect victim มาเตือนใจว่า ผู้คนในสังคมไม่จำเป็นต้องเห็นดีเห็นงามไปกับ Blake ไปหมดทุกอย่าง แม้การกระทำบางอย่างของเธออาจจะชวนขัดใจจนพาลทำให้ไม่อยากจะออกตัวสนับสนุน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำพูดของเธอ และชี้ถึงเรื่องราวในชีวิตจริงที่ abuser หรือ predator สร้างภาพจนน่ายกย่องเชื่อถือ ทำให้ยากจะแยกแยะว่า คนที่เปลือกนอกดูดีงามขนาดนั้นจะมีจิตใจที่บิดเบี้ยวภายใน แต่มันก็เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน เราจึงไม่ควรตัดสินคนกระทำผิดจากการเสพดราม่าที่เกิดจากการคาดเดากันไปเอง


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE