แชร์ประสบการณ์รักษาสิวด้วยตนเอง จากน้องหน้าสิวเป็นสาวหน้าใส
pink590 31 8
สวัสดีค่ะ ต้องขอออกตัวก่อนว่าตอนนี้อยู่ในวัยใกล้สามสิบ ผ่านการรักษาสิวตามคลินิกตั้งแต่มัธยมต้นยันมหาลัยมานับไม่ถ้วน ถ้าคิดรวมค่ารักษาสิวตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวันที่รู้ว่าควรใช้ยาอะไรก็หมดไปหลายหมื่นหรือรวมๆอาจจะเป็นแสน วันนี้จะขอมาแชร์ประสบการณ์รักษาสิวหลังจากวันที่เริ่มมีความรู้มาฝากน้องๆค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่มีปัญหาเรื่องสิว (เหมาะกับคนที่เป็นไม่มากนะคะ) จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินรักษาแพงๆ แค่ใช้ยากับความรู้พื้นฐานนิดหน่อยแค่นั้น
สิวเกิดจากสององค์ประกอบด้วยกัน
1. P.acne เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ
2. Keratin เมื่อร่างการสร้าง keratin มากเกินไป ทำให้รูขุนขนอุดตัน เกิดเป็นสิวอุดตัน หรือหากมีเชื้อ P.acne ร่วมด้วยก็จะเกิดสิวอักเสบตามมา
ดังนี้ยาที่ใช้รักษาสิวจึงมีสองกลุ่มได้แก่
1. ยาฆ่าเชื้อที่มีฤทธิ์ฆ่า p.acne ได้แก่
สิวเกิดจากสององค์ประกอบด้วยกัน
1. P.acne เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ
2. Keratin เมื่อร่างการสร้าง keratin มากเกินไป ทำให้รูขุนขนอุดตัน เกิดเป็นสิวอุดตัน หรือหากมีเชื้อ P.acne ร่วมด้วยก็จะเกิดสิวอักเสบตามมา
ดังนี้ยาที่ใช้รักษาสิวจึงมีสองกลุ่มได้แก่
1. ยาฆ่าเชื้อที่มีฤทธิ์ฆ่า p.acne ได้แก่
1.1. Clindamycin มีทั้งรูปแบบกินและทา ถ้าไม่เยอะแนะนำลองทาดูก่อนเพราะผลข้างเคียงน้อยกว่า ที่สำคัญไม่ควรใช้ยาตัวนี้เดี่ยวๆเพราะใช้ได้ไม่นานเชื้อ p.acne จะดื้อยาต้องใช้คู่กับยากลุ่ม benzoyl peroxide เสมอ
1.2. Benzyl peroxide หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ benzac เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเช่นเดียวกันแต่ออกฤทธิ์คนละกลไกกับยา clindamycin ควรใช้ร่วมกัน หรือใช้เดี่ยวๆได้ โดย benzac มีสองความเข้มข้นได้แก่ 0.25% และ 0.5% ใช้ทาทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีก่อนล้างหน้าเช้าเย็น ยาตัวนี้อาจทำให้ระคายเคืองผิวได้ แนะนำให้เริ่มด้วยความเข้มข้นต่ำๆ ทางบางๆ ทิ้งไว้ไม่นานก่อน และทาโลชั่นบำรุงผิวควบคู่ไปเพื่อไม่ให้ผลข้างเคียงมากจนเกินไป
2. ยาที่มีฤทธิ์ keratolytic หรือยาที่สลายชั้นเคอราตินที่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุนขน ซึ่งจะทำให้เกิดสิวตามมา ยากลุ่มนี้คือกรดวิตามินเอ ซึ่งจะขอพูดถึงเฉพาะยากินเท่านั้นนะคะ ถ้าใครเป็นเยอะจำเป็นต้องทานยาแนะนำว่าไปพบแพทย์ดีกว่าเพราะยาทานมีผลข้างเคียงมาก ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ยาทาในกลุ่มนี้ได้แก่
2.1. retinoic acid หรือชื่อการค้าที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ retin A เดี๋ยวนี้ยาตัวนี้ไม่ค่อยมีคนใช้เนื่องจากผลข้างเคียงมาก ทั้งหน้าแดง แสบ ลอก และไวต่อแสง แต่จะบอกว่ายาตัวนี้เราว่าเด็ดสุดในบรรดายาทุกตัว มีช่วงนึงที่ใช้อะไรสิวก็ไม่หายจนได้ได้มาลอง retin A ไม่ถึงเดือนเรียกว่าหน้าเรียบ สิวอุดตันและสิวอักเสบหายแทบหมด ยานี้ดีมากแต่ผลข้างเคียงก็มากเช่นกันแนะนำ ควรใช้ด้วยความอดทนและระมัดระวัง ช่วงอาทิตย์แรกที่ใช้บางคนสิวอาจจะเยอะขึ้น แต่ท่องไว้ค่ะ อดทน อดทน มันใช้เวลาซักเดือนกว่าจะเห็นผล และถ้าใช้เริ่มด้วยความเข้มข้น 0.025% ทาบางๆบีบยาแค่เม็ดถั่วเขียวทาทั่วหน้า ไม่ทารอบตา ร่องจมูก หรือรอบปาก เพราะจะยิ่งแดงและลอก เก็บไว้เป็นยาตัวสุดท้ายก่อนจะนอน ทาม้อยเจอร์และกันแดดเยอะๆ โบกหนาๆ
หากใช้แล้ว แสบหน้าหรือหน้าลอกมาก อาจลดปริมาณหรือความถึ่ลง อย่าใช้ยาทาตอนกลางวัน ตัวนี้สำหรับก่อนนอนเท่านั้นค่ะ
2.2 Adapalene เป็นยากลุ่ม keratolytic ที่พัฒนามาจาก retin-a โดยจะมีผลข้างเคียงต่างๆน้อยกว่า แต่ถ้าใช้ก็ควรใช้หลักการเดียวกันคือเริ่มแต่น้อย ทาม้อยเจอร์ให้ดี และอย่าลืมทากันแดดหนาๆทุกวัน หากใครกลัวผลข้างเคียงจาก retin-a แนะนำเริ่มจากยาตัวนี้ก่อน แต่ราคาสูงกว่าพอควรค่ะ
ถ้าให้สรุปสูตรทายา (สูตรนี้เหมาะกับคนที่เป็นสิวอักเสบและสิวอุดตันที่ไม่รุนแรงมาก)
เช้า
ช่วงแรกหลังใช้ยา สิวอาจเยอะขึ้นได้ ท่องไว้ว่าอดทนค่ะ ซักเดือนนึงทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น หลังจากดีขึ้นแล้วแนะนำว่าใช้ต่อเนื่องนะคะ ถ้าจะลดยาให้หยุดแค่ clindamycin ก่อน ตัวอื่นใช้ต่อเนื่องเพื่อป้องกัน อย่าลืมว่าฮอร์โมนและการสร้างเคอราตินของร่างกายเราไม่ได้หยุดอย่างถาวร ดังนั้นหยุดก็อาจจะกลับไปมีสิวเยอะเหมือนเดิม
อีกข้อที่สำคัญคือการดูแลผิวหน้าระหว่างรักษาสิว มีกฎสำคัญแค่สองข้อคือกันแดดต้องทาให้ดี (หนาพอ) และม้อยเจอร์ต้องมากพอ
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนเป็นสิวนะคะ ได้ผลยังไงลองเอามาแชร์กันดู กระทู้หน้าจะมาเล่าให้ฟังว่าเราจะดูแลผิวอย่างไรระหว่างใช้ยาสิวต่อค่ะ
เช้า
ก่อนล้างหน้า: benzac
หลังล้างหน้า: clindamycin --> moisturizer --> ครีมกันแดด (แน้นว่าทาหนาๆ)
ก่อนนอนก่อนล้างหน้า: benzac
หลังล้างหน้า: clindamycin --> moisturize --> retin A หรือ differin
ช่วงแรกหลังใช้ยา สิวอาจเยอะขึ้นได้ ท่องไว้ว่าอดทนค่ะ ซักเดือนนึงทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น หลังจากดีขึ้นแล้วแนะนำว่าใช้ต่อเนื่องนะคะ ถ้าจะลดยาให้หยุดแค่ clindamycin ก่อน ตัวอื่นใช้ต่อเนื่องเพื่อป้องกัน อย่าลืมว่าฮอร์โมนและการสร้างเคอราตินของร่างกายเราไม่ได้หยุดอย่างถาวร ดังนั้นหยุดก็อาจจะกลับไปมีสิวเยอะเหมือนเดิม
อีกข้อที่สำคัญคือการดูแลผิวหน้าระหว่างรักษาสิว มีกฎสำคัญแค่สองข้อคือกันแดดต้องทาให้ดี (หนาพอ) และม้อยเจอร์ต้องมากพอ
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนเป็นสิวนะคะ ได้ผลยังไงลองเอามาแชร์กันดู กระทู้หน้าจะมาเล่าให้ฟังว่าเราจะดูแลผิวอย่างไรระหว่างใช้ยาสิวต่อค่ะ