เมื่อฉันได้มีโอกาสร่วมกิจกรรม 𝑱𝒆𝒃𝒂𝒏 𝒙 𝑩𝒖𝒓𝒃𝒆𝒓𝒓𝒚 𝑴𝒂𝒕𝒕𝒆 𝑮𝒍𝒐𝒘 𝑭𝒐𝒖𝒏𝒅𝒂𝒕𝒊𝒐𝒏
jahyonla 57 23 JEBAN GIVEAWAY / ได้รางวัลจากจีบันนี่แหละ!สวัสดีค่ะ จีบันนิสต้าทุกคน
กระทู้นี้จ๋าขอมาบอกเล่าเรื่องราว ที่ได้มีโอกาสเป็น 1 ใน 30 เม็มเบอร์จีบันผู้โชคดี ได้ร่วม Workshop เรียนเทคนิกวิธีลงงานผิวสวยละมุนในแบบฉบับของ Burberry กับพี่ป้อม วินิจ
ขอบอกเลยว่า.. ส่วนตัวจ๋าได้เทคนิกดีๆกลับมาเพียบเลยค่ะ
หลังจากลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้ว ผู้เข้าร่วมงานก็จะได้มีโอกาสลองรองพื้นใหม่ของปี2019 นั่นก็คือ "Burberry Matte Glow Foundation" (พี่ๆ BA Burberry ที่สาขาพารากอน น่ารักและบริการดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจมากเลย)
จ๋ากับพี่BA ช่วยกันหาและเทียบสีรองพื้นอยู่ประมาณ 2-3สี โดยพี่BA ใช้แปรงในการลงรองพื้นให้บริเวณข้างแก้ม ช่วงกราม สัมผัสแรกที่รองพื้นปาดลงบนผิว จ๋าถึงกับอุทานออกมาว่า โอ้โหหห.. เนื้อรองพื้นเนียนละเอียด และเกลี่ยง่ายมากๆค่ะ แถมยังให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ แม้ว่าตอนเทสจะลงทับไปกับเมคอัพเดิมที่จ๋าแต่งมา แต่ทางเรากลับไม่รู้สึกหนักหน้าแต่อย่างใด ปริ่มมากค่า
และสีรองพื้นที่ใช่มากๆสำหรับผิวจ๋าก็คือ No.50 Medium Warm ค่ะ ขออุทานอีกครั้งว่า "โอ้โหหหห.."
สีรองพื้นของ "Burberry Matte Glow Foundation" เป็นตัวแรกเลยก็ว่าได้ค่ะ ที่สีตรงกับผิวจ๋าม๊ากกกมากกก ปาดลงไปปุ๊บ ทุกอย่างก็คือแนบเนียนกลืนไปกับผิวดังที่เค้าเคลมไว้เลยค่ะว่า "เนรมิตผิวสวยเนียนดุจผิวที่สองให้เรา" มันคือความจริงค่ะทุกคน
เนื้อสัมผัสของรองพื้นตัวนี้ในความรู้สึกของคนหน้าแห้งแบบจ๋า ประทับใจมากเลยค่ะ อย่างที่บอกไปด้านบนว่า เค้าเกลี่ยง่ายมาก และเนื้อรองพื้นมีความละเอียดละมุน ไม่หนักหน้าแต่ให้ความปกปิดที่ดี (สามารถเพิ่มlayerได้) ลงแล้วให้ผิวที่สวย แถมเค้ายังมี Life-Proof Technology ที่ทำให้รองพื้น ติดทน ยึดเกาะผิวได้ดี แม้เราจะทำกิจกรรมที่ต้องเผชิญกับแดด ลม ฝน หรือมลภาวะ ก็มั่นใจได้เพราะเค้าเอาอยู่แน่นอนค่ะ
ยังค่ะ ยังไม่หมด เพราะเค้ามีเฉดสีให้เราได้เลือกถึง 30 สีด้วยกันค่ะ ทุกคนจะได้พบกับ Second Skin ของตัวเองอย่างแน่นอน
ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง Workshop กับคุณแม่ป้อม พวกเราก็ใช้เวลาไปกับการ แชะๆๆและShare ถ่ายรูปมุมนู้นบ้าง มุมนี้บ้าง ผลัดกันเป็นตากล้อง ผลัดกันเป็นแบบ สนุกสนานค่ะ อ้ออ อยากบอกว่าทุกคนตั้งใจมากค่ะ
เพราะอะไรน่ะหรอ... เค้ามี รางวัลใหญ่มากนั่นเองค่าาา
และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยค่ะ ในที่สุดเราก็ได้พบกับพี่ป้อมวินิจ ทางเราตื่นเต้นมากค่ะ พี่ป้อมเป็นช่างแต่งหน้าที่จ๋านับถือและชื่นชอบชื่นชมในฝีมือมากๆท่านนึงเลย
ก่อนเริ่มแต่งหน้าพี่ป้อมใช้ BURBERRY Fresh Glow Luminous Fluid Base ลงไปก่อน เพื่อเป็นการบำรุงผิว และแก้ปัญหาผิวเบื้องต้นในเรื่องของความชุ่มชื่นช่วยให้ผิวมีความสมดุล ทั้งนี้เค้าไม่ได้ทำงานแค่ ณ ตอนที่ทา แต่เค้าทำงานอยู่บนผิวเราตลอดทั้งวัน และความพิเศษของตัวนี้ พี่ป้อมได้บอกเพิ่มเติมว่า หากใครที่ต้องการเพิ่มความโกลวให้กับผิว สามารถใช้ตัว Fresh Glow เป็น Finisher หลังแต่งหน้าได้ด้วย โดยวิธีการลงพี่ป้อมจะใช้นิ้วมือกวาดไปกว้างๆ เหมือนลงครีมบำรุง เพื่อให้ส่วนผสมต่างๆซึมลงเข้าสู่ผิวและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
พี่ป้อมยังแนะนำวิธีการเลือกรองพื้นไว้ด้วยว่า ให้เริ่มดูจากโทนสีก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งหลักๆแล้ว ก็จะมีโทนเข้ม โทนอ่อน ในแต่ละโทนก็จะมีเฉดที่ออกไปทาง เหลือง แดง(ชมพู) อมเทา/เขียวในกรณีเป็นผิวของฝรั่ง ที่มีีีundertoneไปทางชมพู ในส่วนของสาวไทยนั้น ส่วนมากจะมีผิวโทนเหลือง
สาวไทยหลายคนที่อยากจะมีผิวหน้าขาวอมชมพู พี่ป้อมได้บอกว่า ผิวที่ขาวอมชมพูจะได้ลุคและFeeling ที่ดูBright และดูเด็ก โดยส่วนตัวของพี่ป้อมเอง จะนำเทคนิคการเลือกรองพื้นโทนสีนี้มาแต่งกับลูกค้าที่มีอายุ เพื่อที่จะแต่งให้ออกมาแล้วดูเด็กลง และทำให้ผิวมีความ Porcelain ดูชุ่มชื่นและเปล่งปลั่ง
สำหรับใครที่อยากได้ผิวที่ดูปกปิดเป็นธรรมชาติ พี่ป้อมแนะนำให้เลือกรองพื้นที่มีสีเดียวกับผิวของเรา โดยวิธีการเลือก สังเกตจาก "ผิวหน้า ผิวคอ ผิวไหล่" ควรจะเป็นสีเดียวกัน หรือใครอยากให้หน้าดูBright เลือกสีที่ขาวกว่าหน้าได้ 1step เพื่อเพิ่มความโดดเด่น ก็ถือว่าไม่ผิด
ในส่วนของรอยนูน พี่ป้อมจะไม่แนะนำให้ใช้ความหนาในการปกปิด แต่จะให้ใช้ความบางเนียน และความแมทในการปกปิด เพราะหากเราใช้ความหนาในการปกปิด จะทำให้รอยนูนนั้นยิ่งมีมิติมากขึ้น หลุมสิวเอง ถ้าเราใช้ความหนาในการปกปิด ก็จำทำให้ยิ่งมีมิติในความลึกมากขึ้น ฉะนั้นต้องเลือกรองพื้นที่มีความบางเบา และสามารถซึมเข้าผิวเราได้ดี ส่วนในการปกปิดที่มากขึ้น พี่ป้อมแนะนำให้โฟกัสไปที่การปกปิดด้วยแป้ง (Burberry Matte Glow Compact)
วิธีการลงแป้ง พี่ป้อมไม่แนะนำให้ลงแบบใช้แปรงกดย้ำๆ ลงไปบนผิว เพราะการลงแบบนี้จะทำให้แป้งที่ลงไปดึงความชุ่มชื่นออกจากผิว วิธีที่พี่ป้อมลงคือการค่อยๆใช้แปรงปัดไปยังบริเวณที่เราต้องการให้ปกปิด (จากที่จ๋าได้เห็นบอกเลยว่า ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวดูเป็นธรรมชาติกว่าการกดย้ำๆลงไปจริงๆค่ะ)
มากันที่งานแก้ม
พี่ป้อมใช้นิ้วมือวอร์มเนื้อผลิตภัณฑ์ที่หลังมือก่อน จากนั้นก็เกลี่ยให้เนื้อผลิตภัณฑ์เนียนไปกับผิว พี่ป้อมแนะนำเพิ่มเติมว่า เวลาที่เราลง Blush ที่เป็นลิคควิดหรือเป็นเนื้อครีม พี่ป้อมบอกว่าเราไม่ควรลงให้เป็น Layer (ลงซ้ำๆหลายๆชั้น) แต่ควรลงให้ทุกอย่างกลืนไปกับผิว เป็นเนื้อเดียวกัน
ในส่วนของการปัดแก้มด้วยBlush on แบบฝุ่น พี่ป้อมจะปัดให้สูงกว่าแนวแก้มเดิมของแบบนิดนึง เพื่อที่จะไม่ทำให้ดูแก้มห้อย ทั้งนี้ตำแหน่งของการปัดแก้ม สามารถช่วยย้ายตำแหน่งของโหนกแก้มได้ประมาณนึงด้วยค่ะ
การลงHighlight พี่ป้อมใช้เทคนิคที่เรียกว่า CCTV ตัว CC คือช่วงใต้ท้องคิ้วมายังโหนกแก้ม พี่ป้อมบอกว่าในการปัดไฮไลท์เราจะไม่ปัดกระจายไปทั้งหน้า ตัว T คือกลางหน้าผาก และตรงสันจมูกช่วงบน พี่ป้อมแนะนำเพิ่มเติมว่า การปัดไฮไลท์ตรงสันจมูก ควรปัดสองจุด จุดแรกคือสันจมูกด้านบน และจุดที่สองคือตรงปลายจมูก*ไม่ควรปัดลากยาวลงมาทีเดียว* สำหรับคนที่ช่วงจมูกยาว แนะนำว่าให้ลงเน้นเฉพาะช่วงสันจมูกด้านบน เว้นตรงปลายไว้ และสำหรับคนที่จมูกสั้นหรือต้องการให้จมูกดูมีปลายที่ยาวเรียวขึ้น สามารถเน้นปัดช่วงใต้ปลายจมูกได้ เพื่อให้รูปจมูกดูสมส่วนมากขึ้น และสุดท้ายตัว V จะปัดตั้งแต่โหนกแก้มสองข้าง เฉียงลงมาบรรจบกันตรงช่วงคาง
คิ้ว พี่ป้อมบอกว่าคิ้วเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกอารมณ์ของใบหน้าได้ คิ้วโก่ง จะทำให้หน้าดูมีความ Exotic ดูสงสัยอยู่ตลอดเวลา (5555) ซึ่งจริงๆแล้วทรงคิ้วไม่ได้มีกฏตายตัวว่าจะต้องมีลักษณะแบบไหน ขอแค่เป็นทรงที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นคิ้วที่เป็นทรงสำเร็จที่ทำให้ใบหน้าดูสวยและอ่อนหวานมากที่สุด พี่ป้อมบอกว่าเป็นทรงที่ รูปทรงเกือบจะตรง แต่ไม่ตรงซะทีเดียว จะมีความโค้งนิดๆตรงช่วงปลาย (ทรงนี้จากที่จ๋าเคยเรียนแต่งหน้ามา เค้าจะเรียกกันว่า ทรงClassic Eyebrow)
ในส่วนของการลงสีคิ้ว พี่ป้อมใช้สีเดียวในการลง ส่วนความเข้มอ่อนขึ้นอยู่กับน้ำหนักมือในการลงสีของเรานั่นเองค่ะ และสำหรับการเขียนคิ้วให้กับคนอื่น พี่ป้อมมักจะตั้งCenterในการขยับ ไว้ที่หัวไหล่ เพราะหากเราตั้งCenterในการขยับไว้ที่ข้อมือ เราอาจจะต้องมาวางเท้าไว้ตรงหน้าของแบบ
สำหรับคนที่ทำสีผม โทนสีที่ต่างไปจากทั่วไป (เช่นบลอน ขาว ฟ้า ชมพู ฯลฯ) พี่ป้อมแนะนำเทคนิคการเลือกสีคิ้วคือ ให้อิงจากสีขนตาและสีลูกตาของเรานั่นเองค่ะ
อายแชโดว พี่ป้อมจะลงเพื่อให้ตาดูมีแสงเงา (ใช้สีน้ำตาลธรรมชาติๆ) และเบลนฟุ้งๆในลักษณะครึ่งวงกลมตรงเปลือกตา เพื่อให้ตาดูมีมิติมากขึ้นนั่นเองค่ะ
การลงอินเนอร์ไลน์เนอร์ พี่ป้อมจะลงเส้นเล็กๆ ลากมาจากขนตาเส้นสุดท้ายถึงช่วงกลางตา ลากให้ชิดโคนขนตาบนมากที่สุด
มาต่อกันที่ ขนตา พี่ป้อมได้ให้ข้อมูลว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว คนไทยเราจะมีเส้นขนตาที่พุ่งลง ทำให้ดูตาเล็ก(เมื่อยังไม่ดัดขนตา) เนื่องจากมีเงาจากเส้นขนตาที่พุ่งลง ซึ่งจ๋าก็ได้คลายสงสัยว่าทำไมเวลาเราดัดขนตาแล้วเราถึงรู้สึกว่าตาเราโตขึ้น เพราะเมื่อเราดัดขนตา เงาจากแนวขนตาหายไป ตาเราก็ดูเปิดดูโตขึ้นนั่นเองค่า นอกจากนี้เวลาที่ปัดมาสคาร่า พี่ป้อมก็ได้แนะนำว่า ควรปัดอยากบางเบาไปรอบนึงก่อน จากนั้นค่อยปัดเพิ่มตามความเหมาะสม เราจะไม่ปัดเยอะๆหนาๆไปเลยทีเดียว
สำหรับใครที่ประสบปัญหาปัดขนตาแล้วขนตาตก พี่ป้อมแนะนำว่าให้ปัดมาสคาร่าไปก่อนที่จะดัดขนตา วิธีนี้จะช่วยยกขนตาให้ตั้งและอยู่ทรงได้ดี นอกจากนั้นพี่ป้อมยังอธิบายว่า มาสคาร่าราคาแพงส่วนใหญ่เวลาเราปัดๆกัน จะสังเกตได้ว่า ปัดไปแป้บๆ ขนตาก็จะตกลงมา นั่นเป็นเพราะในเนื้อมาสคาร่าเค้ามีส่วนผสมที่เป็นสารบำรุงขนตาอยู่นั่นเอง
สำหรับมาสคาร่าประเภทที่ปัดปุ้บแห้งปั้บ เหล่านี้จะมีส่วนผสมที่ทำให้ระเหย เจ้าส่วนผสมนี้พี่ป้อมบอกว่า เป็นสาเหตุทำให้ขนตาเราหลุดร่วงได้ง่าย ฉะนั้นการเลือกมาสคาร่าที่ดีนั้น สำคัญมากๆค่ะ
งานปาก พี่ป้อมแนะนำให้ใช้ BURBERRY Lip Colour Contour ลงไปก่อน ซึ่งเราสามารถใช้ตัวนี้กำหนดรูปปากของเราได้ด้วย ส่วนลิปสติกที่ใช้พี่ป้อมใช้ BURBERRY Liquid Lip Velvet ซึ่งพี่ป้อมได้กระซิบว่า ตัวนี้เวลาทาไปแล้วนั้น ระหว่างวันปากจะไม่แห้ง แตก ลอก เพราะเค้าผสมสารบำรุงริมฝีปากไว้ด้วยนั่นเองค่า อีกทั้งตัวนี้สามารถทาได้ทั้งแบบ Full lips หรือ Tint ก็ได้ และพี่ป้อมจะชอบใช้นิ้วมือในการค่อยๆแตะเนื้อลิปไปบนริมฝีปาก
นอกจากนี้พี่ป้อมยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ริมฝีปากของเราเป็นสิ่งที่บ่งบอกวัยได้ก่อนรอบดวงตา ฉะนั้นควรเลือกใช้ลิปที่มีส่วนผสมของสารบำรุงริมฝีปาก