[รีวิวเจาะส่วนประกอบ] 2 สกินแคร์ลูกรักจาก FYNE เพื่อผิวใสไร้สิว และ ปราการผิวแข็งแรง 🏆
donut 107 21 WITH <strong>FYNE</strong> / ร่วมงานรีวิวกับแบรนด์ :)ถ้าเอ่ยถึงแบรนด์ไทยที่โดนัทชอบที่สุด ก็คงเป็นแบรนด์ไหนไปไม่ได้นอกจากแบรนด์ FYNE
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ... ที่มาจากการลองใช้ BHA และเจลล้างหน้าของแบรนด์ FYNE เพราะช่วงนั้นสิวขึ้น (Adult Acne)
แล้วพอได้ใช้โดนัทรู้สึกชอบมากๆ เลยรีวิวลงในเพจ
และพอสาวๆที่มีปัญหาเดียวกันก็ได้ลองใช้บ้าง ก็จนติดใจกันถึงทุกวันนี้
จนต่อมาโดนัทได้ลอง Barrier Cream เพราะอยากเน้นเรื่องความแข็งแรงของผิว ก็ชอบอีก
และมาถึงกันแดดก็ได้ลองใช้และรีวิวแบบจัดเต็มในกระทู้จีบันเรียบร้อย
ตอกย้ำความชอบผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ FYNE แบบสุดๆ ^^
และเมื่อ FYNE ได้พัฒนาสูตรให้อัพเดท ส่วนประกอบครบ และดูแลผิวได้ดีขึ้น
โดนัทก็ต้องไม่พลาด เลยมารีวิวอัพเดทแบบละเอียดๆกันอีกครั้งค่ะ
สำหรับ Products ที่ผ่านการปรับสูตร คือ FYNE Skin Barrier (+ Prebiotic) Serum-in-Cream
ซึ่งสูตรนี้จากปกติจะมีส่วนประกอบที่เน้นให้ความชุ่มชื้น และเสริมสร้าง Skin Barrier ได้ดีอยู่แล้ว
แต่เมื่อได้มีการอัพเกรดสูตรขึ้น บอกได้คำเดียวว่า ครบ และเยี่ยมมากๆเลยค่ะ
โดยส่วนตัวโดนัทเป็นสิวง่าย และอุดตันง่ายมากๆ
ดังนั้นการเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ จะต้องเลือกที่ส่วนประกอบปลอดภัยต่อปัญหาการอุดตัน
และโดนัทคิดว่าเซรั่มชิ้นนี้เหมาะมาก โดนัทใช้แล้วรู้สึกเลยว่าผิวชุ่มชื้น และไม่เกิดปัญหาอุดตัน
และสำหรับสกินแคร์ชิ้นนี้เป็นสกินแคร์พื้นฐานสำหรับทุกคน ทุกสภาพผิว เนื่องจากส่วนประกอบในสูตรสามารถส่งเสริมให้ผิวเราแข็งแรงขึ้น
เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวเราสวย และมีสุขภาพที่ดี คือ
- Barrier function หรือเกราะป้องกันผิวต้องแข็งแรงและ
- Skin hydration คือผิวต้องชุ่มชื้น
ซึ่งถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็มีโมเดลที่ใช้อธิบายเรื่องความแข็งแรงของผิว คือ
Brick-Mortar- Model (โมเดลอิฐ และปูน)
ซึ่งโมเดลนี้เปรียบเทียบผิวเราเป็นกำแพง และมีส่วนสำคัญคืออิฐและปูน
เพราะ “กำแพงผิวจะแข็งแรงได้ ต้องมีครบทั้งส่วนอิฐ และส่วนปูน”
โดยอิฐคือ เซลล์ผิว (Corneocyte) และส่วนปูนก็จะต้องประกอบด้วย
1. ส่วนของน้ำ (Water Layer)
ส่วนนี้คือ NMF หรือปัจจัยให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ
โดยมีส่วนประกอบเช่น Amino acid ,PCA,Urea เป็นต้น
2. ส่วนของน้ำมัน (Intercellular lipid)
นั่นคือพวก Ceramide , Cholesterol ,Free fatty acid เป็นต้น
ซึ่งผิวเราควรต้องมี 2 ส่วนนี้อย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียน้ำออกจากผิว
ซึ่งถ้ามีครบถ้วน ก็จะส่งผลให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง และผิวชุ่มชื้นสุขภาพดีนั่นเองค่ะ
แต่ความพิเศษคือในส่วนการเสริม Intercellular Lipid นี้
จำเป็นมากๆที่ต้องเสริม Cholesterol, Ceramide ,Free fatty acid ในสัดส่วนที่สมดุลนั่นคือ 3:1:1
เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดในการเสริมชั้นผิวให้แข็งแรง
ซึ่งถ้ามาดูในส่วนประกอบของ FYNE Skin Barrier (+ Prebiotic) Serum in Cream
จะพบว่ามีส่วนประกอบของทั้ง 2 ส่วนนี้ครบถ้วนเลย
1. ส่วนของน้ำ (Water Layer)
จะพบว่าในสูตรมี กรดอะมิโน 11 ชนิด, Sodium PCA, Sodium Lactate
และมี Hyaluron 4 ขนาดโมเลกุล ที่จะช่วยทั้งดูดความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว, เติมความชุ่มชื้นล้ำลึก และช่วยสมานแผล
2. ส่วนของน้ำมัน (Intercellular lipid)
มีการเสริมอย่างครบถ้วนเลยค่ะ ซึ่งเยี่ยมมากๆ โดยในส่วนประกอบมีทั้ง Ceramide NP,Cholesterol,Linolenic Acid ซึ่งทั้ง 3 เป็นไลปิดที่สำคัญต่อปัจจัยความแข็งแรงของ Skin Barrier ค่ะ
แล้วนอกจากนั้นที่เซอร์ไพรซ์มากๆ คือ ในส่วนประกอบยังมี Prebiotic (อาหารที่จำเพาะเจาะจงต่อแบคทีเรียดี) ซึ่งสำคัญมากๆต่อระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ของผิวเรา เพื่อสุขภาพผิวแข็งแรง และอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
เนื่องจากปกติผิวเราจะมีสมดุลแบคทีเรียดีเพื่อป้องกันการรุกรานของแบคทีเรียตัวร้าย ที่ถ้าเจริญเติบโตมากเกินไป จะก่อให้เกิดปัญหาผิวได้ในอนาคต
ซึ่งในสูตรใช้ Prebiotic เป็น Alpha-Glucan Oligosaccharide นั่นเองค่ะ
นอกจากนั้นในสูตรยังเน้นการปลอบประโลม ลดอาการระคายเคืองของผิว ด้วยสารสกัดจาก Aloe Leaf Juice, Chamomile และ Allantoin
นอกจากนั้นยังมีสารสกัดจาก Centella Asiatica Extract หรือบัวบกที่มีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนท์ และยังมีฤทธิ์ดีงามรอบด้านต่อผิว โดยสารสกัดจากบัวบกมีสารสำคัญมากมายทั้ง triterpenoid saponins, flavonoids, phenolic acids, amino acids และน้ำตาล
ซึ่งพบฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนท์, Anti-aging, ต้านอาการอักเสบ, เพิ่มความชุ่มชื้น และเสริม Barrier Function ของผิวได้
Texture
เนื้อสัมผัสบางเบา แต่ให้ความชุ่มชื้นได้ดีมาก ที่สำคัญที่สุดคือโดนัทใช้แล้วไม่เกิดอาการอุดตันเลย
และในส่วนประกอบแต่ละตัวก็ Comedogenic Rating (แนวโน้มการอุดตัน) ต่ำมากๆ
สามารถทาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน และใช้ร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นๆได้โดยไม่ทำให้เป็นขุย และแต่งหน้าต่อก็สบายมาก
มาถึงอีกชิ้นที่มีการปรับสูตรเช่นกัน นั่นคือ FYNE BHA Clarifying Serum
ซึ่งก่อนอื่นขอปรบมือยาวให้กับแพคเกจจิ้งก่อนเลยค่ะ ที่เค้าเปลี่ยนจาก Dropper เป็นขวดแก้วหัวปั๊ม
เพราะโดนัทชอบขวดแบบใหม่มากๆ ใช้ง่าย คลีน ไร้การปนเปื้อน
ดีงามมากจริงๆที่ทางแบรนด์มีการปรับและพัฒนา แม้จะขายดีมากๆอยู่แล้ว ถือว่าน่าชื่นชมมากๆ
มาค่ะ เรามาดูกันเลยว่าส่วนประกอบมีอะไรบ้าง
สำหรับชิ้นนี้ Active Ingredients หรือสารสำคัญที่ออกฤทธิ์คือ Salicylic หรือ BHA ที่ 2%
ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับ BHA (บีเอชเอ) กันเลยค่ะ
- ชื่อเต็มๆของ BHA คือ BETA HYDROXY ACID
- BHA สามารถละลายได้ในน้ำมัน จึงสามารถเข้าไปสลายสิ่งอุดตันรูขุมขนได้ (Comedolytic)
- สามารถสลาย Keratin มีผลทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวออกไป
- มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Bactericidal)
-มีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ (Anti-inflammatory)
- แนะนำให้ใช้ที่ 2% เพื่อรักษาสิวอักเสบ และอุดตัน
- เมื่อใช้แล้วต้องทากันแดด
การใช้ BHA เราสามารถปรับความถี่ในการใช้ได้ อาจจะลดความถี่ลง หรือเพิ่มความถี่ได้ “ให้ดูผิวเราเป็นหลัก”
ซึ่งหลายๆคนคงอาจจะเคยได้ยินมาว่า ใช้ BHA แล้วสิวผุดขึ้นมา และอยากรู้ว่าสรุปแล้วมันดีหรือไม่ดีกันแน่
โดนัทเลยขอรวมไว้ให้ตรงนี้ด้วยเลยนะคะ
อาการที่ใช้สกินแคร์ หรือตัวยาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวจะสามารถเกิดอาการ Purging หรือสิวผุด, ผิวดัน หรือสิวขึ้นแบบดีได้
ซึ่งอาการ Purging มักจะเจอกับการใช้สกินแคร์หรือยา เช่น AHA, BHA, PHA, LHA, Retinoid เป็นต้น
ซึ่งสิวที่ขึ้นนี้ไม่ได้ก่อตัวขึ้นใหม่แต่อย่างใดค่ะ แต่เป็นการผลัก Microcomedone หรือเจ้าสิวเล็กๆที่อยู่ใต้ผิวออกมา ซึ่งการผลัดนี้จะทำให้ผิวเรียบเนียนในอนาคตค่ะ ซึ่งแบบนี้ถือว่าเป็นสิวขึ้นดี
ข้อสังเกต
สิวจะขึ้นตำแหน่งที่เรามักมีสิวขึ้นอยู่แล้ว หรือลูบไปไม่เรียบ และหลังจากการใช้สิวจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
บางคนไว บางคนอาจจะใช้เวลาบ้าง แต่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหลังจากใช้ไป 6-8 อาทิตย์ค่ะ
อีกคำถามที่โดนัทเจอบ่อยเช่นกันคือ ใช้ BHA แล้วผิวบางไหม ?
ตอบเลยว่า ไม่บางนะคะ เพราะว่า BHA จะสามารถผลัดเฉพาะเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือผิวชั้นขี้ไคลออกไปได้เท่านั้น ไม่ได้มีการลอกของผิวชั้นหนังแท้แต่อย่างใดค่ะ
เข้าเรื่อง BHA ยาวเลย เรามาดูส่วนประกอบอื่นๆกันบ้างดีกว่านะคะ
เนื่องจากในสูตรต้องการให้ผิวสบาย ไม่ระคายเคือง จึงพบสารสกัดกลุ่มที่ช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการระคายเคืองมากมาย ตั้งแต่สารสกัดจากพืชหลายชนิด คือ Aloe Leaf Juice, Chamomile, Cucumber และยังมี Allantoin
ในสูตรยังมีสารสกัดที่มีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนท์ และลดจุดด่างดำ รอยสิวด้วย นั่นคือ สารสกัดจากชาเขียว และสารสกัดจากบัวบก
ส่วนประกอบที่มีประโยชน์มากต่อผิวคือ Panthenol หรือวิตามิน B5 ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว (TEWL) และช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรง
และยังเสริมความชุ่มชื้นด้วย Sodium Hyaluronate เพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อทำให้การ Function ของผิวเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ค่ะ
Texture
เป็นเจลใสเบาบาง เย็นผิว ไม่มีกลิ่น โดนัทใช้เองแล้วไม่รู้สึกแสบยิบๆนะคะ และโดนัทใช้ก่อนนอนเป็นหลักค่ะ จริงๆสามารถใช้ได้ทั้งเช้าและก่อนนอนนะคะ
ทาลงไปแล้วสบายผิว และไม่มีขุยกวนใจใดๆ
โดย Tips การทา
แนะนำให้ทาอันดับแรกหลังจากโทนเนอร์ และหลังจากทาควรเว้นช่วง 15 นาทีก่อนจะทาสกินแคร์ตัวอื่นๆนะคะ
ผลลัพธ์หลังการใช้ทั้ง 2 Products
คือเวลาใช้ BHA Serum จะรู้เลยว่าสามารถควบคุมสิวได้ดีขึ้น และอาการอุดตันลดน้อยลง สิวที่ขึ้นจะแห้งไวขึ้น การรักษาสิวจะง่ายขึ้นเลยค่ะ
และสำหรับ Barrier Serum in Cream ก็ไม่ต้องอธิบายมากเพราะเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่อยู่คู่ผิวมานานมากๆแล้ว ต้องมีอยู่หน้ากระจกตลอด ยิ่งช่วงไหนโดนัทไปเจอมลภาวะ หรือได้ไปลองรูทีนสกินแคร์ที่สามารถก่อให้เกิดการระคายเคือง แสบแดงได้ โดนัทจะนึกถึงชิ้นนี้เป็นตัวแรกตลอดเลย
ซึ่งพอใช้แล้วจะรู้สึกได้เลยว่าผิวนุ่มชุ่มชื้น รู้สึกว่าผิวแข็งแรงขึ้น ผดผื่นสิวขึ้นน้อยลง และอาการระคายเคืองก็ลดน้อยลงค่ะ
เรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับสกินแคร์ 2 ชิ้นโปรดที่โดนัทใช้มาตั้งแต่ปี 2018 จนถึงทุกวันนี้
รักกันมายาวนาน และแนะนำใครไปก็แฮปปี้ทุกๆคน
โดนัทมั่นใจในแบรนด์ รวมทั้งความปลอดภัย และความจริงใจของ FYNE มากๆ
ดังนั้นถ้าใครมีปัญหาผิวที่ตรงกับผลิตภัณฑ์จะแก้ได้ ไม่ต้องลังเลเลยค่ะ ลองเลย
ถ้าใครมีคำถามใดๆ สามารถถามโดนัท หรือทักทางแบรนด์ FYNE ได้เลยนะคะ
ขอบคุณที่รับชมค่า