[รีวิว]รวม 17 สกินแคร์ออร์แกนิค/ธรรมชาติที่ใช้แล้วอยากบอกต่อ #EP1
Devilish-Child 69 17สวัสดีค่า กระทู้นี้มารีวิวตามหัวข้อที่บอกเลยค่ะ แต่ก่อนจะเริ่ม อยากบอกว่า นี่คือ Blog ที่ปอนด์ใช้เวลาเขียนนานมากที่สุดแล้ว (( นานนนนนแบบข้ามปีเลยจริง ๆ )) คือถ่ายรูปไว้ตั้งแต่ต้นปี 2019 และพยายามเขียนรีวิวให้เสร็จ แต่เขียนไปท้อไปเพราะของที่ใช้มันมีเยอะเหลือเกินแถมงอกเรื่อย ๆ จนเหนื่อยก็พักการเขียนบ้าง มีเวลาก็มานั่งเขียน เติมทีละชิ้นบ้างท้อบ้างจนหันไปจับรีวิวชิ้นอื่นที่สั้นกว่าซะงั้น 5555+
"แต่ตอนนี้มีเวลาแล้วจ้า.. คิดถึงการรีวิวมาก ขอคัมแบ็คและต้อนรับการกลับมาของตัวเองด้วยรีวิวมากชิ้นสะใจแบบนี้แหละ ปรบมือให้ตัวเองรัวรัววววว 555"
เรื่องของเรื่องที่เกิดเป็นรีวิวนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ปอนด์ซื้อสกินแคร์ชิ้นใหม่ลองใช้ทีละชิ้นตั้งแต่ช่วงปี 2018 แล้วชอบ และเจอของใหม่เรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็คือ อ้าว มีแต่ของออร์แกนิค ของธรรมชาติเต็มบ้านเลยนี่หน่า??!! แสดงว่าเราชอบแนวนี้... เพราะงั้นเราควรทำรีวิวออกมาทั้งกรุ๊ปนี้เลยดีมั้ย??? ของส่วนใหญ่ไม่ได้ใหม่อะไรหรอก ส่วนใหญ่มีมานานแล้ว (กว่ารีวิวนี้จะคลอดคนก็น่าจะรู้จักกันหมดละจ้า) แต่เราอยากบอกต่อว่าชอบชิ้นไหนเพราะอะไร โอเค.. ทำสิ เชิญอ่านกันดูเผื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจจ้าา
(วิธีเรียงของปอนด์คือจัดลำดับจากช่วงเวลาที่ได้ของมานะคะ)
1.) Ainterol : DöDö Deodorant
ขนาด 90 ml.
ผลิตภัณฑ์สัญชาติฟินนิชขวดนี้นับว่าเป็นไอเทมชิ้นแรกที่ทำให้ปอนด์สนใจและเห็นความสำคัญของการใช้สกินแคร์ออแกนิคเลยก็ได้ เพราะเจ้านายที่เป็นคนชอบดูแลสุขภาพแนะนำให้รู้จัก พร้อมบอกว่าคนเราจะมีบางส่วนของร่างกายที่ไม่ว่าใช้อะไรก็อาจซึมเข้าร่างกายได้โดยตรง เช่น ใต้วงแขน และหนังศีรษะ เพราะงั้นถ้าเลือกได้ เราก็ควรใช้สิ่งที่มาจากธรรมชาติบริสุทธิ์โดยตรง ผ่านการสังเคราะห์ให้น้อยที่สุดมันก็จะดีกว่า
ปอนด์ก็เลยลองเปลี่ยนมาใช้โรลออนเดอเด้อ ของ ‘ไอน์เตโรล’ แล้วชอบ เพราะคุณสมบัติตอบโจทย์ได้เหมือนยี่ห้อล่าสุดที่ใช้อยู่ บางข้อก็ดีกว่า ตามนี้...
1. ไร้กลิ่นแบบไม่มีน้ำหอมทำให้ไม่ตีกับกลิ่นน้ำหอมที่เราใช้
2. ปกป้องวงแขนระหว่างวันได้ดีทั้งเรื่องเหงื่อและกลิ่น ทำให้มั่นใจ ปอนด์รู้สึกว่าเค้าช่วยลดการเหงื่อออกได้จริง (ในวันปกตินะ ถ้าช่วงร้อนตับแลบแบบเมษานี่ยังไงก็เหงื่อออกทั้งตัวจ้ะ ต้องหาวิธีอื่นช่วยเพิ่ม)
3. สีใสทำให้ไม่เลอะเสื้อผ้า แต่ดีกว่าตรงที่เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ 100% (Vegeable content)
4. ใช้แล้วไม่พบว่าผิวใต้วงแขนคล้ำ
5. ไม่รู้สึกอุดตันรูขุมขน เวลาอาบน้ำไม่ฝืดผิว (เคยใช้บางยี่ห้อที่กันน้ำบล็อกเหงื่อได้ดีมาก แต่ล้างไม่ออก แต่ขวดนี้อาบน้ำได้สบายเหมือนผิวปกติ ทำให้รู้สึกว่าไม่ตกค้างกับร่างกายค่ะ)
ยี่ห้อนี้ใช้ต่อเนื่องมานานเกินเป็นปีแล้วน้า แต่ก็ยังเป็นขวดที่ 3 อยู่เลย เพราะขวดนึงใช้ได้นานมาก และเค้าชอบมีโปร 1 แถม 1 ด้วย ขวดที่ใช้อยู่ก็ซื้อ 1 แถม 1 มาและยังไม่ได้เปิดขวดใหม่เพราะไม่มีทีท่าว่าจะหมดง่าย ๆ ได้มาคือไม่ต้องซื้อบ่อยเลย
2.) Ainterol : Himalayan Micellar Cleansing Water
ขนาด 500 ml.
ไมเซล่าเช็ดเครื่องสำอางขวดนี้มีกิมมิคที่เราถูกใจทุกข้อตรงที่..
1. เป็นสารสกัดมาจากเกลือสีชมพูแท้จากเทือกเขาหิมาลัย ที่เรารู้อยู่ว่ามีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวอยู่มากมายที่มีคุณสมบัติในการดีท็อกซ์+ผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ เลิฟมาก
2. ปราศจากสารอันตรายต่อผิว 11 อย่าง
3. และยังผสม L-Arginine และ L-Methionine **ซึ่งมาจากพืช 100% ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดริ้วรอยด้วย คือมันดีมากที่เราจะบำรุงหน้าไปขณะเช็ดเครื่องสำอางแบบนี้ รู้สึกได้กำไร
4. ความพิเศษอีกอย่างคือนางเป็นไมเซล่าเช็ดคสอ.ที่ได้ FDA Food Grade ด้วยจ้า (แต่เอาเข้าปากแล้วจะขม เตือนไว้นะ)
ความเห็น:
ใช้ดีจริงและลบได้แม้แต่ลิปเมเบอลีนซุปเปอร์สเตย์แมตต์อิงค์ที่ว่าลบยากลบเย็น ก็ยังลบออกแค่ต้องใจเย็นและแปะทิ้งไว้ซักพัก ใช้เช็ดเมคอัพตาที่ล้างออกยาก ๆ ก็ได้แบบไม่ต้องซื้ออายรีมูฟเวอร์แยก คืออันนี้เช็ดออกได้ปกติเลยแบบไม่ต้องเทเยอะ ยิ่งใช้คู่กับสำลี Rii กล่องฟ้ายิ่งประหยัด ทำให้ไม่เปลือง ขวดนึงใช้เป็นปียังไม่หมด (ปอนด์ไม่ได้ใช้รองพื้นทุกวันนะ ทาแค่กันแดดโทนอัพต่าง ๆ นิดหน่อย)
นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ได้มา 2 ขวดเพราะรู้ว่าเป็นของดี แต่ก็ใช้ขวดแรกลากได้เป็นปีเลย 555+
อีกอย่างคือเค้าเคลมว่าเช็ดแล้วไม่ต้องล้างหน้าซ้ำจะนอนเลยก็ได้ ปอนด์ก็เคยทำนะวันไหนเหนื่อยมากขี้เกียจมาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็จะไปล้างดีกว่าเพราะกลิ่นมันค่อนข้างจะให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นอะไรบางอย่างเวลาทำกับข้าว ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่ามันกลิ่นอะไรแต่ก็ชินแล้วจ้า
ใครยังลังเลอยู่แนะนำว่าให้ลองไปถอยมาซักขวดค่ะ เพราะปอนด์ป้ายยาใครคนนั้นก็ไปบอกต่อคนรู้จักเป็นทอด ๆ ซื้อใช้ตามกันเป็นลูกโซ่เลย แสดงว่าลองแล้วคงชอบกันจริง ๆ เหมือนเรานั่นแหละ
3.) Green Pharmacy: Micellar solution 3 in 1 Oat
ขนาด 500 ml.
เพราะว่าเจอตัวนี้มาขาย แต่ขวดบนก็ยังไม่หมดซ๊ากกกที แต่อยากลองก็เลยสอยมา เปรียบเทียบกับ Ainterol แล้วกลิ่นหอมกว่าเยอะ เป็นกลิ่นข้าวโอ๊ตอ่อน ๆ ผ่อนคลาย เช็ดเครื่องสำอางค์ออกได้ดีเหมือนกัน
ขวดนี้จะใช้เทคโนโลยีบับเบิ้ล คือมันจะมีฟองขึ้นง่ายตลอดเวลาในขวด แบบในภาพ แล้วก็เวลาเช็ด ถ้าเช็ดจนสะอาดแล้วมันจะมีฟองขึ้นมาบนผิวเราด้วย แบรนด์นี้จะไม่มีตรารับรองหรือเคลมความออร์แกนิคนะคะ แต่ ๆ ๆ เค้าเน้นใช้สารสกัดจากสมุนไพรและพืช ไม่มีพาราเบน โซป ไม่แต่งสีและน้ำหอม ก็ถือว่าโอเคกว่าใช้ไมเซล่าแบบสังเคราะห์เพียว ๆ น้าา
ขวดนี้เสียใจอย่างเดียวคือเวลาเช็ดผิวตาแล้วจะมีความรู้สึกแสบลูกกะตานิดนึงแม้จะไม่ไหลเข้าตาก็ตาม น่าจะมีบางอย่างอยู่ในไอระเหย แต่ความแสบจะอยู่แค่แป๊ปนึง ซึ่งของไอน์เตโรลก็แสบนะถ้าไหลเข้าตาแต่จะเป็นอารมณ์แสบแบบน้ำเกลือเข้าตามากกว่า ทั้งนี้คือไม่ระคายเคืองผิวตาทั้งสองยี่ห้อค่ะ
ส่วนความประทับใจอยู่ตรงที่ สภาพผิวหลังเช็ด ซึ่งถูกใจตั้งแต่ที่ใช้ครั้งแรก ก็คือเมื่อเช็ดเสร็จแล้วไปล้างหน้า พอโดนน้ำปุ๊ปจะสัมผัสได้ว่าผิวเด้ง ๆ ตึง ๆ ดี อ้อ แล้วเค้าก็ใช้เช็ดเป็นโทนเนอร์หลังล้างหน้าได้ด้วยนะ
4.) Alteya Organic Bulgarian Rosewater
ขนาด 100 ml.
ยุคที่ยังไม่อินกับของออร์แกนิคพอรู้จักตัวนี้แล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นของสิ้นเปลืองที่บางทีไม่รู้จะซื้อมาทำอะไร แต่ด้วยคุณสมบัติเลอเลิศ อัดแน่นด้วยคุณค่าจากกลีบกุหลาบสายพันธุ์ที่ดีที่สุดกว่า 5,000 กลีบใน 1 ขวด ซึ่งได้ยินมานาน และสนใจเพราะเป็นสายกุหลาบ พอเริ่มจะเข้าวงการก็เลยซื้อมาลองใช้ ความรู้สึกแรกคือ เหยยย กลิ่นไม่โอเคจ้า 55555+ ก็มันไม่ใช่ฟีลกุหลาบแบบที่เราคาดหวัง แต่มันเหมือนกลีบดอกไม้แห้ง ๆ แรก ๆ คือรับไม่ได้เลย แต่ใช้ไปเรื่อย ๆ ก็ชิน กลั้นใจเอาว่าได้ประโยชน์จากนาง บลา ๆๆๆ ออร์แกนิคมันก็ต้องแบบนี้แหละ ลองพ่นใส่น้ำเปล่าที่โต๊ะทำงานดื่มดูก็รสชาติดี สดชื่น (เค้าเป็น USDA ORGANIC ที่เป็น Food Grade ด้วยฮะ)
ความเซอร์ไพรซ์
แต่รู้มั้ยสุดท้ายที่มาค้นพบจริง ๆ คือ นางแก้อาการแพ้คันระคายเคืองที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ กับผิวเราได้แบบชะงัดเร็วมาก เลิฟจริง ๆ จ้า
คือช่วงอากาศเปลี่ยน ผิวจะมีแบบเนี้ย ตุ่ม ๆ ขึ้นมาเวลาผิวอ่อนแอ ไปสัมผัสอะไรเข้าแล้วคันแบบหาสาเหตุไม่ได้ ไม่ใช่อาการแมลงสัตว์กัดต่อยด้วยนะ พอเริ่มมีแบบนี้แล้วเราฉีด คือมันหยุดคันได้เลย และผิวที่บวมแดงอักเสบก็ยุบลงไป อันนี้ทำให้เลิฟนางมาก แบบยังไม่มีสกินแคร์อื่นทำได้เท่านี้ ทำให้มักจะพกเค้าติดตัวไปด้วยตลอด
มีอีกสูตรที่อยากลองนะคือสูตรที่เป็นกุหลาบสีขาว กำลังคิดอยู่ว่าถ้าขวดปัจจุบันหมดจะลองดีมั้ยหรือซื้อขวดนี้ต่อไปอีกดีน้าาา
5.) Juv: Water gel, Matte-Fluid UV Protection SPF50 PA+++
ขนาด 30 ml.
ต้องบอกว่าก่อนจะซื้อน้องจุ๊ฟมาใช้ คือเป็นยุคที่ตัวเองไม่ค่อยทากันแดดจริงจังมานาน คงเพราะตัวที่เคยถูกใจเค้าเลิกทำขายไปด้วยล่ะมั้ง ที่บ้านมี Anessa ขวดทอง ก็คือตั้งทิ้งให้หมดอายุไปเพราะเหมือนอยากใช้จริง ๆ ตอนไปทะเลไม่งั้นใช้ทุกวันก็อุดตันเกิน แล้วพอมาเจอ JUV ก็ได้ลองคิดดี ๆ เอ้อมันจำเป็นต้องทานะ ไม่งั้นจะบำรุงหน้าไปให้แดดทำลายเพื่ออะไรกัน
ปอนด์ก็เริ่มรู้จัก JUV ขวดฟ้าก่อน ได้เห็นสรรพคุณว่าเป็นออร์แกนิคและมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมาก ทั้งเรื่องเนื้อดี และคำเคลมอย่างมีหลักการที่บอกว่าปกป้องผิวได้นานถึง 12 ชม. แค่นี้ก็ซื้อเลยแหละ
ผลการใช้ส่วนตัว:
ตอนใช้สีฟ้าก็ว่าชอบแล้วนะ พอสีส้มออกมาเป็นเนื้อ Matt แล้วลองก็ชอบสีส้มมากกว่าอีก เพราะไม่รู้สึกเหนอะแบบสีฟ้า และสีผิวใกล้เคียงกับผิวเราดี ทาแล้วไม่รู้สึกสีผิวเปลี่ยน มันทำให้หน้าเนียนแบบบางเบาดี ไม่หนัก (ทาแล้วเหมือนไม่ทาแต่ผิวเนียนขึ้นนิดนึง)
วันไหนอยากให้หน้าดูสว่างก็ใช้สีฟ้า วันไหนอยากได้ผิวโทนธรรมชาติก็ใช้สีส้ม ส่วนหน้าร้อนใช้สีส้มเป็นหลัก จะได้เซ็ตตัวไว ๆ เพราะปอนด์ไม่ค่อยขยันทาแป้ง คือบำรุงหน้า ทากันแดดแล้วจบ ออกจากบ้านเลย เค้าก็เลยเหมาะกับไลฟ์สไตล์เรามาก (สีฟ้าถ้าใช้ช่วงอากาศร้อนมาก ๆ ถ้าไม่เซตแป้งตามคือไม่รอดจ้า แต่ก็ยังชอบและซื้อใช้อยู่)
ระหว่างวันหน้าก็ไม่มันด้วย (แต่ปอนด์มีผิวค่อนข้างไปทางแห้งนะ อันนี้ทาแล้วก็ไม่เป็นขุยอยู่ดี) ถามว่ากันทุกสิ่งได้ถึง 12 ชม.ตามคำเคลมมั้ย ปอนด์ก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง แต่ที่รู้คือ เคยพกติดกระเป๋าไปทำงาน สุดท้ายก็ขี้เกียจเติมอยู่ดี ก็แปลว่าทาครั้งเดียวตอนเช้า และเห็นผลจากการใช้คือตอนส่องกระจกอาบน้ำ สีผิวหน้าจะเป็นสีเดียวกับตรงที่ใส่เสื้อ คือไม่คล้ำไปกว่าผิวจริงเลย ส่วนสีแขนจะเกรียม ๆ เพราะปอนด์ขี้เกียจทากันแดดตัว อันนี้ส่วนตัวก็คิดว่าเป็นการพิสูจน์ได้นะว่าเค้าปกป้องได้ดีจริงถึง 12 ชม.นะ แถมหน้าเราก็มีสิวอุดตันน้อยมากแม้ทากันแดดต่อเนื่องทุกวัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสกินแคร์ในขั้นตอนทำความสะอาดด้วย เอาเป็นว่าเค้าเป็นกันแดดในชีวิตประจำวันชิ้นเดียวที่ใช้ทาหน้าอยู่ตอนนี้ค่ะ
ข้อมูลของน้องจุ๊ฟ ถ้าขี้เกียจอ่านก็ข้ามได้:
สำหรับใครที่ยังไม่รู้สรรพคุณที่คุ้มราคาของ JUV ปอนด์แปะข้อมูลเข้าใจง่าย ๆ ไว้ให้ตรงนี้นะคะ บอกเลยว่าเค้าไม่ใช่กันแดดธรรมดา ตั้งแต่ใช้มายังไม่รู้สึกดีกับกันแดดไหนเท่ายี่ห้อนี้จริง ๆ
จุดขายของ JUV คือ
ปกป้องผิวสูงสุด 5 เท่า นาน 12 ชม. ทั้งจากรังสี UVA/UVB/แสงสีฟ้าหน้าจอ/มลภาวะ และอื่น ๆ
ล็อคความสดจาก Superfruits Active Ingredient บำรุงด้วย Fresh Cell ให้ผิวแข็งแรง ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ มีสารอาหารบำรุงผิวมากมาย (ก็คือฟื้นฟูป้องกันริ้วรอย ต่าง ๆ ปรับความกระจ่างใสและทำให้ผิวดีขึ้นได้แบบเห็นผลจริงนะเราว่า)
คุมมัน ไม่อุดตัน ผิวหายใจสะดวก
ปราศจาก 10 สารก่อระคายเคือง
ใช้โปรตีนในพืชมาปรับโครงสร้างให้ขนาดเล็กทำหน้าที่เป็นฟิล์มบาง ๆ ปกป้องผิวจากคลื่นแสงต่าง ๆ ซึ่งเป็นสารสกัดที่มีชื่อเป็นทางการโดยนำเข้ามาจาก USA เป็นสารสกัดได้รับรางวัลด้วยฮะ
ความออร์แกนิคและสารสกัดจำเพาะอื่น ๆ ทำให้หมดกังวลเรื่องสารกันแดดซึมเข้าผิว
และที่เค้าเคลมมา เราใช้แล้วก็ดีแบบนั้นจริง ๆ ในรูปคือเราทิ้งหลอดเปล่าไปบ้างแล้ว และซื้อเติมตลอด ใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ 2018 ก็ 2 ปีแล้วจ้า
6.) Skinplants: Hyaluronic Oligo Advance Serum
ขนาด 10 ml.
หลังจากเคยลองใช้ไฮยาลูรอนยี่ห้อฮิตขวดม่วงของญี่ปุ่นอยู่แล้ว เจ้านายมียี่ห้อนี้มาแนะนำให้ลองบ้าง ก็ชอบพอกันทั้งคู่ ผลระยะยาวไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้น แต่ที่รู้สึกทันทีคือแต่งหน้าง่่าย ความซึมเร็วยี่ห้อนี้เหมือนจะเร็วกว่านิดหน่อย และการเซตบนผิวจะไม่รู้สึกหยุ่น ๆ ตึงแบบหนา ๆ เท่าของญี่ปุ่น แต่ตึงแบบบางเบามากกว่า
ส่วนประสิทธิภาพที่เค้าเคลมว่ามีโมเลกุลเป็น Oilgo 3 ขนาด ซึมเข้าได้ลึกถึง 3 ชั้นเซลล์ผิว ก็ยังเห็นภาพไม่ชัด คงต้องใช้ยาวกว่านี้ แต่เหตุผลที่เอามาแนะนำก็คือ รู้สึกว่าผสมสกินแคร์แล้วทาหน้า ทำให้ซึมเข้าหน้าได้เร็วขึ้น แล้วก็รู้สึกดีจากที่รู้ว่าเค้ามีส่วนผสม Natural & Organic มีสารสกัดบำรุงหน้าด้วยน้ำกุหลาบไปด้วย อะไรงี้ ใครใช้ไฮยาลูรอนขวดม่วงของญี่ปุ่นแล้วแพ้ ก็ลองตัวนี้ดูค่ะ
7.) Green Pharmacy: Bath Soap
Lavender with flaxseed OilManuka honey with olive oil
ขนาด 100 g.
น้องเค้าเป็นสบู่ก้อน ยี่ห้อเดียวกับไมเซล่าข้าวโอ๊ตยี่ห้อข้างบนเลยค่ะ เราเริ่มจากใช้ก้อนสีม่วงก่อน เพราะชอบกลิ่นลาเวนเดอร์ เค้าไม่ใช่ออร์แกนิคนะ แต่อย่างที่บอกว่าแบรนด์นี้เค้าเน้นสารสกัดสมุนไพร พืช ๆ แล้วพอเอามาทำเป็นคอนเซ็ปต์เอาพืชผสมกับน้ำมันต่าง ๆ ที่มีประโยชน์กับผิว มาอยู่ในรูปแบบสบู่ มันทำให้ดูน่าใช้น่าลองดีค่ะ อย่างสูตรที่เคยลองเป็นลาเวนเดอร์ผสมนน้ำมันเมล็ดเฟล็กซ์
ผลการใช้คือผิวไม่แห้งตึง ชุ่มดี ตอนล้างจะรู้สึกถึงน้ำมันนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ออกยากอะไร กลิ่นไม่ได้ติดทนผิวเท่าไหร่ แต่กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องน้ำมากค่ะเหมือนทำสปา ส่วนสูตรน้ำผึ้งมานูก้าผสมน้ำมันมะกอก เราว่ากลิ่นธรรมชาติ แอบหืน ๆ ไปนิด แต่ทำให้ผิวชุ่มชื่นกว่าอีกสูตรนึงค่ะ
ยังมีสีชมพูกลิ่นกุหลาบ และสีฟ้าดอกเวอร์บิน่าที่อยากลองอีก แต่ของเค้าหาซื้อยากม๊ากกกก ทั้งที่เจอตอนลดราคาก็ไม่ยอมกวาดซื้อไง ไม่รู้ตอนนี้ที่ Facebook Page เค้ายังสั่งซื้อได้รึเปล่า แต่ปอนด์ติดใจอยากซื้อมาติดห้องน้ำไว้อีก เพราะรู้สึกว่าใช้แล้วได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติดี ลองดูเว็บของโปแลนด์แล้วแต่ให้สั่งหิ้วมาคงไม่ไหว ฮอลลล...
8.) Baby in love: Perfect Balm
ขนาด 15 g.
บาล์มอเนกประสงค์สีฟ้าอ่อนจากการผสมสีของโคลนบราซิลออร์แกนิค ใช้ทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ผดผื่นคัน แพ้อากาศ แพ้เหงื่อ ระคายเคือง มีสรรพคุณด้านความเย็น ทาแล้วไม่แสบร้อน ปอนด์เคยทาตอนโดนของร้อนลวก แทนครีมบัวหิมะที่มีติดบ้านอยู่ ทำให้แผลไม่บวมพองไม่แห้งแสบจนกลายเป็นแผลเป็น แถมหายไวขึ้น ใช้ดีมาก
ชิ้นนี้ผ่านอย.ไทย ได้ USDA ของอเมริกา และ ecocert ในฝรั่งเศส มีเบสหลักเป็นวิตามินจากไขเมล็ดทานตะวัน พร้อม freshcell ที่เป็นสารซ่อมแซมผิวและเชียร์บัตเตอร์ ไร้ส่วนผสมของปิโตรเลี่ยมเจลลี่ในเนื้อครีมจึงไม่ทำให้ผิวเสียหายเมื่อใช้ต่อเนื่อง ไม่มีสารกันเสียอย่างพาราเบน แต่ใช้ Phenoxythanol ซึ่งไม่เป็นสารก่อมะเร็ง ปลอดภัยกับทารก
หลอดนี้ซื้อฝากใคร คนนั้นก็ชอบต้องกลับมาถามหาซื้อต่อเองกันใหญ่ เช่น..
พี่สาวมีลูกสาวที่มีอาการแพ้ ผิวหนังแห้งคัน ใช้อะไรก็ไม่หาย คันคะเยอจนผิวเหวอะไปหมด น่าสงสารมาก ปอนด์ไปต่างจังหวัดด้วยเลยควักออกมาทาให้ หายคันจ้า เลยยกให้ไปทั้งหลอดเลย ตอนหลังพี่สาวบอกพอคันทีไรหลานจะบอกเลย “ทายาเป็ด ทายาเป็ด” ใช้หมดก็สั่งซื้อใหม่เองด้วย
ญาติผู้ใหญ่ท่านนึงอยู่ต่างประเทศทำงานโรงงานนาฬิกาเล่าให้ฟังว่ามือโดนสารเคมีจนผิวจุดนึงด้านแห้ง พอกลับมาเลยลองซื้อให้เป็นของขวัญหลอดนึง เค้าใช้หมดและอยากได้อีกหลอด บอกว่าโดนมีดบาดกลางทะเลในเรือส่วนตัวแล้วเลือดไหลเต็มอ่างไม่รู้จะทำยังไงจึงคว้าหลอดนี้มาทาหนา ๆ ปรากฏว่าห้ามเลือด ช่วยชีวิตให้ขึ้นฝั่งไปรักษาต่อค่ะ
9.) Baby in love: Mosquito Protection
ขนาด 50 g.
คุณสมบัติ:
(ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป)
ไม่มีข้อห้ามสำหรับเด็กต่ำกว่า 4 ปีและสามารถทาซ้ำได้บ่อยตามต้องการ เพราะไม่มีสารอันตรายอย่าง Deet ที่ผลิตภัณฑ์กันยุงมักใส่ไว้ไล่ยุง ซึ่งจะทาเกิน 2 ครั้งต่อวันไม่ได้
ความพิเศษของโลชั่นตัวนี้คือเค้าจดทะเบียนในรูปแบบของโลชั่นบำรุงผิว ซึ่งหากมีสาร Deet ในนั้นจะไม่สามารถจดทะเบียนนี้ได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์จัดเป็นโลชั่นบำรุงผิวที่สามารถกันยุงและแมลงทั่วไปได้ แถมใช้สารสกัดแบบออร์แกนิค ซึ่งเป็นของที่ผ่าน อย.ไทย และ USDA อเมริการวมทั้ง ecocert ด้วย
เนื่องจากพี่เจ้าของแบรนด์ไม่ชอบกลิ่นตะไคร้หอม จึงสั่งทำให้ใส่ตะไคร้หอมได้ เมื่อทาตอนแรกกลิ่นโลชั่นมีเป็นกลิ่นตะไคร้หอม และซักพักจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์แทนค่ะ ปอนด์ชอบกลิ่นของเค้า และเนื้อโลชั่นก็ซึมเร็วดี เหมือนทาโลชั่นทั่วไป และสบายใจที่จะทาแล้วจับของทานต่อ เพราะก่อนหน้านี้เวลาไปเที่ยวจะใช้ยี่ห้อ Off Family และซอฟต์เฟล ซึ่งกันยุงได้ดีจริง แต่จะหลอน ๆ เวลาจะหยิบอะไรทานว่าเราล้างมือรึยัง พอใช้หลอดนี้ก็กังวลน้อยลงค่ะ
ทั้ง 2 ชิ้นนี้ปอนด์คิดว่าเจ้าของแบรนด์อาจจะเปลี่ยนรูปแบบหน้าตาแพคเกจไปแล้วนะ แต่ปอนด์ยังใช้ไม่หมด แต่คุณสมบัติใด ๆ ก็น่าจะเป็นไปตามเดิมที่รีวิวไว้ค่ะ
10.) Banh: Goat milk Shower Gel
ขนาด 250 ml.
สำหรับเรา คิดว่าเค้าเป็นเจลอาบน้ำที่ราคาค่อนข้างโหดนะเมื่อเทียบกับปริมาณ ขวดนี้เป็น 97% Natural ค่ะ ไม่ถึงกับออร์แกนิค แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นอ่านข้อมูลเกี่ยวกับนมลานมแพะและรู้มาว่ามีประโยชน์กับผิว จึงตัดสินใจถอยน้องเค้ามา แต่ ๆ ๆ ๆ น้องไม่ได้แพงเสียเปล่าค่ะ นาน ๆ ทีจะมีผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่อาบเสร็จแล้วผิวลื๊นนนน ลื่น ไม่แห้งตึงแบบไม่ต้องทาโลชั่น (ปอนด์ไม่อาบน้ำเย็นเพราะขี้หนาว ชอบอาบน้ำอุ่นไปถึงน้ำร้อน และขี้เกียจทาโลชั่นเป็นประจำ)
อันนี้ต้องไปพิสูจกันเองนะ ปอนด์พิสูจน์มาแล้วว่าลื่นไปทั้งวันเลย ระหว่างทำงานจับผิวก็รู้สึกได้ชัด น้องเค้าทำได้จริงแบบไม่ต้องใช้ระยะเวลาต่อเนื่องนานมากก็รู้แล้ว
แต่ข้อเสียที่เจอกับตัวเองก็มีนะ คือ ใช้แล้วคันยิบ ๆ เบา ๆ ช่วงที่ล้างออก น้องเค้าอาจจะกัดผิว หรือเราอาจจะแพ้เอง บวกกับราคาสูงด้วย หมดง่าย ปอนด์เลยไม่ได้ซื้อต่อค่ะ ถ้าไม่คันคงลงทุนซื้ออีกแหละเพราะเห็นผลดีแบบชัดมาก เพื่อน ๆ ลองไปตำกันดูว่าชอบแบบเรามั้ย
11.) GIOVANI: 2chic Ultra-Luxurious Cherry Blossom & Rose Petals Shampoo, Conditioner
ขนาด 8.5 Oz
ต่อกันที่แชมพูกันบ้างค่า แชมพูออร์แกนิคชิ้นแรกที่ได้ใช้ก็เป็น GIOVANNI เลย ตอนใช้ไม่ได้นึกหรอกว่าเป็นออร์แกนิค แค่เห็นโฆษณาแล้วรู้สึกว่าน่าลองเฉยๆ เพราะน้องเป็นกลิ่น Cheryy Blossom กลิ่นที่เราโปรดปรานรองจากกลิ่นกุหลาบ และช่วงนั้นทำสีผมเอง ไม่อยากให้สีหลุด จึงมองหาแชมพูปกป้องสีผม
และพอได้ลองใช้แชมพูออร์แกนิคแล้วติดใจค่ะ ทำให้รู้ว่าฟีลมันต่างจากแชมพูปกติจริง ๆ พอไม่มีซัลเฟตแล้วฟองขึ้นยากกว่า แต่รู้สึกว่าเส้นผมดีแบบสัมผัสแล้วมีความสุขขึ้นนะ คือมันไม่มีสารก่อฟองทำร้ายผมใช่มั้ย แล้วเหมือนเค้าบำรุงผมได้ดีจากข้างในด้วย ไม่ใช่เคลือบ ๆ ให้ลื่นแค่ข้างนอกพอทิ้งหลายวันก็หายนุ่มแบบแชมพูสิลิโคน ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นลองใช้ยี่ห้อดังและดีและเป็นสูตรพรีเมี่ยมทำให้เห็นข้อแตกต่างจากแชมพูธรรมดาแบบชัดเจนค่ะ
อันนี้เป็น texture ของครีมนวดค่ะ อั้นไว้หยดสุดท้ายเพื่อถ่ายรีวิว ส่วนของแชมพูไม่มีรูปโชว์ texture เพราะหมดเกลี้ยงจริง ๆ มันหมดไปนานเป็นปีแล้วแหละ แต่ปอนด์เก็บหลอดไว้เพื่อถ่ายรีวิว ยังไม่ได้ซื้อต่อเพราะน้องราคาค่อนข้างโหด 5555
สรุปสิ่งที่ชอบใน 2 ชิ้นนี้คือ แชมพูหอมมากเป็นเนื้อสีชมพูมุก ๆ เข้มข้น สระแล้วสบายผม ล้างออกง่าย ฟองไม่ฟูแน่นเหมือนแชมพูทั่วไปแต่สะอาด สดชื่นดี ครีมนวดก็เนื้อเข้มข้น ไม่ต้องใช้ปริมาณเยอะก็ชุ่มชื่น และไม่ได้เคลือบผมแค่ภายนอก แต่จับผมแล้วรู้สึกได้ว่าบำรุงจากข้างในจริง ๆ
เรื่องสีผมไม่ได้เห็นผลอะไรชัด แต่ผมดีขึ้นจริง ๆ โดยไม่ต้องรอให้หมดหลอด ถ้ามีตังก็จะซื้อใช้อีกค่ะ
12.) Giovanni: Eco Chic® Root 66 Max Volume Shampoo
ขนาด 8.5 Oz
ขวดนี้ซื้อมาพร้อม ๆ กับน้องข้างบนเลย ด้วยความสับสนว่าเราอยากจะใช้แชมพูปกป้องสีผม แต่ก็เป็นคนผมลีบด้วย ก็อยากให้มีแชมพูเพิ่มโวลุ่มผมด้วย เลยถอยตัวนี้มาแบบงง ๆ ไม่ได้เอาครีมนวดมาอีกต่างหาก สรุปคือตัวนี้คุณภาพอาจจะไม่พรีเมี่ยมเท่าสูตรข้างบนค่ะ (แต่รู้สึกว่าไลน์นี้มีขวดที่ดังเรื่องแก้ผมร่วงนะ สีเขียว)
ถ้าให้รีวิวคือจะบอกว่าฟองเยอะหนาม๊วกกก ถ้าเทียบกับออร์แกนิคตัวบน ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกันและกลิ่นไม่ได้ออกแนวอ่อนโยนธรรมชาติเหมือนไลน์ 2 chic กลิ่นจะให้อารมณ์สังเคราะห์แต่นางได้ USDA Certified Organic และเป็น 100% Vegetarian Ingredients เด้อ แต่กลิ่นหอมแบบแต่ง ๆ ดมแล้วนึกถึงขนมกัมมี่เคลือบน้ำตาล (ซึ่งเราก็ชอบกลิ่นเค้าอยู่แหละไม่ได้แย่นะ)
ในเรื่องโวลุ่มคือใช้แล้วผมมี Taxture เพิ่มขึ้นจริง แต่แห้งไปหน่อย ทั้งที่เราก็ใช้ครีมนวดสูตรบนด้วยนะ (เราสระ 2 รอบแรกด้วยสูตรบน จากนั้นรอบที่ 3 ใช้ขวดนี้ และลองสระรอบแรกด้วยสูตรนี้อีก 2 รอบที่เหลือใช้สูตรบน ผลก็ไม่ต่างคือผมแห้ง) พอลองไม่ใช้ขวดนี้แล้วผมดีกว่า ชุ่มชื่นกว่า (หรือที่จริงต้องใช้คู่กับครีมนวดสูตรของเค้าเองปอนด์ก็ไม่แน่ใจค่ะ ไว้มีโอกาสจะลองใช้คู่กับครีมนวดของเค้า) แต่ถ้าใครต้องการโวลุ่มผมจากแชมพูออร์แกนิคก็แนะนำตัวนี้แหละทำได้ดีค่ะ
13.) Kyren Moisture Nature Shampoo, Treatment
ขนาด 500 ml.
และหลังจากที่ชุลมุนสับสนอยู่พักนึงกับแบรนด์ GIOVANNI น้องคนนี้ก็เข้ามาจ้า เริ่มแรกได้ยินชื่อเสียงเรียงนามว่าคนเกาหลีชื่นชมกันมาก จนน้องเค้าเข้ามาขายและเราได้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจของเค้าอันได้แก่ เป็นแชมพูที่อัดแน่นด้วยสกัดธรรมชาติกว่า 30 ชนิด และปราศจากสารอันตราย แม้จะไม่ใช่ออร์แกนิคแต่ก็อ่อนโยนมากแบบคนท้องใช้ได้ ผสมโปรตีน-เคราตินธรรมชาติบำรุงหนังศีรษะ 7 ชนิด บวกกับปริมาณที่ได้มานั้นช่างคุ้มราคา ก็ถอยเป็นคู่ตั้งแต่เริ่มเข้าไทยเลยจ้า
#กลิ่น Sweet Bouquet
บอกตามตรงว่าการตัดสินใจเลือกว่าจะซื้อกลิ่นอะไรนั้นเป็นเรื่องลำบากใจม๊ากกกก เพราะกลิ่นกุหลาบก็ชอบอันดับหนึ่ง กลิ่นลาเวนเดอร์ก็รักไม่แพ้กัน สุดท้ายเลือก Sweet Bouquet จ้า เพราะมีโอกาสได้ทำของแจกทั้ง 3 กลิ่นให้ที่บริษัท และได้ดมกลิ่นจากนอกขวดจึงตัดสินใจเลือกได้ เค้าหอมทั้ง 3 กลิ่นแหละ แต่อันนี้หอมแบบถูกจริตที่สุด และเป็นกลิ่นขายดีสุดด้วยนะ คนเกาหลีที่เลือกกลิ่นนี้ก็น่าจะความรู้สึกเดียวกับเรานั่นแหละ
จนตอนนี้ใช้วนหลายขวดแล้วคิดว่าขวดหน้าจะซื้อสีใหม่ แต่ไม่รู้จะซื้อสีชมพูหรือม่วงก่อน ตัดสินใจไม่ได้ก็เลยซื้อสีขาวเหมือนเดิมซะงั้น 5555
ฟังรีวิวจากเรากันบ้าง:
แชมพูยี่ห้อนี้ฟองขึ้นยากมากค่ะ แรก ๆ ไม่ชินเลย เพราะเป็นคนไม่ได้สระผมทุกวัน รอบแรกก็จะฟองขึ้นช้าอยู่แล้ว แต่น้อง Kyren เค้าช้ากว่าปกติจริง ๆ ล้างออกก็ยากเพราะรู้สึกเหมือนล้างไม่หมด ปอนด์เข้าใจว่าคงเป็นน้ำมันสารสกัดธรรมชาตินั่นแหละที่เค้าผสมมาเยอะ ๆ มันทำให้ล้างไม่ง่ายเท่าแชมพูทั่วไป แต่ก็มีข้อดีคือ กลิ่นที่เป็นน้ำมันธรรมชาติ มันติดผมยาวนานมากสระผมตอนกลางคืน ตื่นมาแล้วสดชื่น กลิ่นฟุ้งแบบฝัน ๆ เลย และกลิ่นก็ติดอยู่แบบนั้นยาวนานไม่เหมือนแชมพูทั่วไปที่จะมีความรู้สึกหอมแค่วันที่สระเสร็จใหม่ ๆ ในส่วนของผมก็พลิ้วดีมาก เป็นอีกยี่ห้อที่ใช้แล้วรู้สึกได้ว่าผมดีจากข้างในออกมาจริง ๆ ไม่ได้เคลือบแบบฉาบฉวยค่ะ
หนังศีรษะ
ต้องบอกว่าการเปลี่ยนแชมพูมีผลกับหนังศีรษะทุกครั้งนะคะ และตั้งแต่ใช้แชมพู 3 สูตร 2 ยี่ห้อที่กล่าวมา ผมไม่เป็นรังแค ไม่คัน (แม้จะไม่ได้สระทุกวันเพราะขี้เกียจ) หนังศีรษะมันยากขึ้น และแข็งแรงขึ้นเยอะแบบรู้สึกได้ เลยมองย้อนกลับไปว่าที่เคยมีปัญหา แพ้คันมาตลอดมันก็เกิดจากการใช้แชมพูที่ไม่ได้อ่อนโยนกับผิวนั่นเอง ผลที่ได้ตรงนี้มันยิ่งสนับสนุนความตั้งใจใช้สกินแคร์ Organic/Natural ของเราด้วย จากเมื่อก่อนบังเอิญซื้อหลายอย่างมารวมกัน ตอนนี้เปลี่ยนสายไปทางนั้นแบบตั้งใจแล้วค่ะ คงไม่ได้ใช้ทุกชิ้นในชีวิตเป็น Natural 100% นะคะ แต่ก็คงดูสารสกัดก่อนตัดสินใจซื้ออะไรมากขึ้นและถ้าเจอเคมีแรงมาก ๆ ก็ตัดคะแนนความอยากซื้อออกไปค่ะ
14.) Arganna: The Camel Milk Soap
ขนาด 100 g.
สบู่น้ำนมอูฐจากแดนตะวันออกกลางอันแสนแพงชิ้นนี้ สำหรับเราคือแพงมาก 555 แถมจริง ๆ แล้วเอาเค้าเน้นล้างหน้า มีรีวิวว่ารักษาสิว แต่หน้าเราไม่เป็นสิวและมีโฟมล้างหน้าประจำอยู่แล้ว ก็เลยเอามาฟอกตัวจ้า ถามว่าทำไมถึงซื้อมา ก็เพราะ Story ของน้องเค้าล้วน ๆ เลย มาดูจุดขายกันว่าทำไมเราถึงซื้อมาได้
เป็นสบู่แฮนด์เมดทุกชิ้น กวนเย็น เพื่อไม่ให้ความร้อนทำลายสารสกัดในสบู่
มีส่วนผสมเป็นออร์แกนิคจากเชียบัตเตอร์ และน้ำมันมะกอกสกัดเย็น
น้องเค้าต่างจากสบู่นมอูฐทั่วไปที่เค้าขายกันนะ อันนี้ใช้น้ำนมอูฐสด ๆ เพียว ๆ ไม่ผสมนมผง เป็นนมจากอูฐฟาร์มเดียวกับที่ส่งน้ำนมเข้าพระราชวังดูไบอ่ะแกรรรร
น้ำนมอูฐมีโปรตีน วิตามินสูง ให้ผิวชุ่มชื่นลดจุดด่างดำ มีกรดอ่อน ๆ ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ และช่วยกำจัดแบคทีเรียด้วย
มีกลิ่นให้เลือก 3 กลิ่น และ 1 ในนั้นน่าสนใจ ซึ่งได้แก่ กลิ่น Lavender & Rose Geranium ที่ข้าพเจ้าสอยมานั่นเอง 5555
แพคเกจจิ้งคือเลิศเลอเวอร์อลัง จึงทำให้นางราคาสูงได้เพียงนี้แน่เลย