รีวิวรองพื้น Giorgio Armani Beauty Luminous Silk และประสบการณ์เลือกรองพื้นที่ Boutique
KathyC 107 30 JEBAN GIVEAWAY / ได้รางวัลจากจีบันนี่แหละ!สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์การเลือกรองพื้นที่ Giorgio Armani Beauty Boutique ซึ่งเราเป็น ใน 20 สาวผู้โชคดีที่ได้ไปสัมผัสประสบการณ์การเลือกรองพื้นรุ่น Lumious Silk ซึ่งเป็นตัวดังของแบรนด์ เราได้ขนาดทดลองตามสีผิวของเรามาลอง ซึ่งในกระทู้นี้เราจะรีวิวแบบ Wear Test ด้วย ว่าแล้วไปเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
Giorgio Armani Beauty Luminous Silk Foundation (Natural Silky Light Weight Fluid) เป็นรองพื้นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผ้าไหมแพรพรรณ "The Fabric of Emperors" หรือผ้าสูงค่าที่ใช้ในวงจักรพรรดิ รองพื้นตัวนี้ถือว่าเป็นตัวดังของแบรนด์เลย ช่างแต่งหน้าใช้กันเยอะมาก เนื้อบางเบา ให้ผิวโกลว์สวยธรรมชาติ ผิวดูเปล่งประกาย เนื้อรองพื้นเป็นแบบ Oil-Free แต่ไม่ได้เด่นเรื่องคุมมัน จะเน้นงานผิวสวยมากกว่า นอกจากนี้ยังมี Micro-Fil Technology มีเส้นใยระดับไมโคร ทำให้รองพื้นเข้ากระชับผิวหน้าและทำให้ผิวดูกระจ่างใส ระดับการปกปิดคือ Sheer to Medium Coverage สามารถลงเพิ่มเพื่อให้เป็นปกปิดระดับปานกลางได้
การเลือกรองพื้นที่บูทีค :
ในวันงานจะมีสาวๆทั้งหมด 20 คน โดยแบ่งเป็น 4 รอบ รอบละ 5 คน ใน 1 ชั่วโมงนั้น Face Designer (BA) จะสอนวิธีการเลือกเฉดรองพื้น รวมทั้งการทดลองลงรองพื้นที่หน้าให้กับสาวเพื่อให้เลือกเฉดสีได้ตรงที่สุด
เริ่มกันด้วยพี่แจ็ค Face Designer สอนวิธีการดู Undertone ของแต่ละคนก่อน โดยการดูเส้นเลือดที่ข้อมือ
- สีม่วงหรือสีน้ำเงิน จะเป็นอันเดอร์โทนชมพู ซึ่งหายได้ยากในคนไทย
- สีม่วงผสมกับสีเขียว จะเป็นอันเดอร์โทนNeutral
- สีเขียว จะเป็นอันเดอร์โทนเหลือง
ตัวเราเองเป็นคนที่มีUndertone Neutral เพราะเส้นเลือดที่ข้อมือเรามีสีม่วงผสมกับสีเขียว ซึ่งพอพี่แจ็คเอาเเขนเราไปเทียบกับน้องๆอีก 2 คน ที่มีอันเดอร์โทนเหลือง ก็จะเห็นชัดว่าผิวเราจะมีความอมชมพูนิดนึง
เขียนมาถึงตรงนี้ สาวๆหลายคนอาจสงสัยว่าถ้าหน้ากับคอคนละโทนล่ะจะทำยังไง??
***Tricks : จากประสบการณ์โดยตรงของเราเอง เราเป็นคนที่หน้ากับคอคนละโทนชัดมาก หน้าเราคืออันเดอร์โทนชมพูแต่คอและตัวเป็นNeutral เราใช้รองพื้นโทนชมพูได้สีเดียวกับหน้าเป๊ะ แต่ผลที่ออกมาคือคนละสีกับคอ ทำให้หน้าเราดูขาวกว่าคอ แต่หน้าเราไม่เทานะเพราะมันคือสีผิวหน้าเราจริงๆ การเลือกรองพื้นของเราเลยต้องเลือกตามสีที่คอ
"หน้าเทา" เกิดจากอะไร??
หน้าเทาเกิดจากการใช้รองพื้นผิดอันเดอร์โทนและมักจะขาวกว่าหน้า คนที่โทนชมพูสามารถใช้รองพื้นโทนเหลืองได้ แต่**** ขอดอกจันทร์ไว้เลยค่ะ ...คนโทนเหลืองหรือโทนNeutralจะใช้รองพื้นโทนชมพูไม่ได้*** เวลาที่เจอแสงธรรมชาติเราจะรับรู้ได้ว่าความหน้าเทาคืออะไร
เอาจริงว่าเราไม่เคยเข้าใจคำว่าหน้าเทา อาจารย์สอนแต่งหน้าเคยอธิบายให้ฟังแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นภาพนะ จนกระทั่งเราบินกับแอร์โฮสเตสคนนึงที่มีผิวโทนเหลือง แต่ใช้รองพื้นโทนชมพูที่ขาวกว่าหน้า ในแสงนีออนว่าวอกแล้ว วันนั้นแลนด์ที่มัลดีฟช่วงกลางวัน พอเจอแสงธรรมชาติไป เราเข้าใจคำว่าหน้าเทาเลย คือเทาชัดมากจริงๆ
กลับมาต่อกันที่พี่แจ็คค่ะ แบรนด์นี้จะเทียบรองพื้น ลิปสติกและอายแชโดว์กับเนื้อผ้า แต่ละรุ่นก็จะมีเนื้อผ้าเทียบให้ดูว่าเนื้อและฟีนิชเป็นแบบไหน ตัวเราเองเราเคยใช้รองพื้นรุ่น Maestro มาก่อน ซึ่งเรารู้สึกว่าไม่ปกปิดเลย ซึ่งในชาร์ทนั้นก็จะเห็นได้ว่าMaestro เปรียบได้กับผ้าโปร่งแสงเลย ส่วน Luminous Silk นี่จะดูเป็นแบบผ้าไหมฝรั่งเศสที่มีความนุ่มลื่น เบาสบายและเป็นผ้าแบบมันๆ
มาต่อกันกับการเลือกเฉดสีแบบใช้ Tapeเทียบสี พี่แจ็คเทียบที่คอให้ เพราะการเลือกรองพื้นเราควรจะใส่ใจกับสีที่คอด้วย อย่างที่เราบอกเลือกรองพื้นสีเดียวกับคอยังไงก็รอด เพราะคนส่วนมากหน้าขาวกว่าคอ
รองพื้นขอ Armani แบ่งได้ทั้งหมด 5 เฉดสี
- Fair
- Light
- Medium
- Tan
- Deep
- Cool สำหรับอันเดอร์โทนชมพู
- Neutral
- Warm สำหรับอันเดอร์โทนเหลือง
จากเราที่พี่แจ็คเอาTape เทียบสีมาวัดที่คอให้ สีที่ตรงกับผิวเราคือเบอร์ 3 (Fair with Neutral Undertone) แต่เราขอเลือกเบอร์ 3.5 (Fair with Yellow Undertone) เสียดายมากที่เราไม่ได้ถ่ายรูปตอนที่พี่แจ็คลงรองพื้นให้
แต่เราถ่ายรูปที่เราลองปาดที่หน้ากับที่แขนมา
รูปผลิตภัณฑ์อื่นๆในบูทีค น่าใช้ทั้งนั้นเลย
มาเข้าสู่ช่วงรีวิวรองพื้นกันค่ะ เราใช้ฟองน้ำไข่ในการเบลนด์รองพื้นโดยการแต้มที่หน้าก่อน เป็นวิธีที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับการใช้ฟองน้ำไข่ ไม่งั้นบางตัวนี่กินรองพื้นหมดเลยยย
เราเริ่มจากการลงครึ่งหน้าก่อน ตอนถ่ายออกมาตกใจเลย แทบดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าลงรองพื้นแล้ว คือเป็นรองพื้นที่กลืนเข้ากับผิวได้ดีจริงๆ
พอลงทั้งหน้าแล้วได้งานผิวที่สวยมาก เป็นรองพื้นตัวแรกที่เราเคยได้ลองเลยมั้งที่ให้ฟีนิชแบบ Healthy Glow หลังจากลงเสร็จ รองพื้นโดยส่วนมากต้องรอให้เซตเข้ากับผิวหน้าก่อน ถ้าลงรอบเดียวเราว่าเป็นLight Coverage เพราะตุ่มแดงๆที่หน้าเรายังชัดอยู่ ต้องใช้คอนซีลเลอร์ปิด เราเข้าใจนะ รองพื้นที่ให้งานผิวสวยมักไม่มากับการปกปิดสูงๆ เพราะงานผิวสวยควรที่จะบางเบาเผยผิวสวยที่ดูเป็นผิวเรา
วันนี้เราแต่งหน้าวาวมากๆ เราเลยเลือกที่จะเซตรองพื้นด้วยแป้งฝุ่นก่อน เราใช้แปรงลงแบบบางมากๆ
หลังจากที่แต่งหน้า 3 ชม. เป็นช่วงที่เราว่ารองพื้นสวยมาก เบลอรูขุมขนได้
เราลืมถ่ายรูปหน้าชัดๆไว้ นี่เราหารูปที่ไปงานจีบันที่คิดว่าเห็นชัดที่สุดแล้ว
และหลังจากนั้นเราได้เช็คอีกก็เป็นเวลา 11 ชม.แล้วหลังจากที่แต่งหน้า หน้าคือมันมากๆ แต่รองพื้นก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ยังไม่มีการหลุดลอก
และหลังจากนั้นเราได้เช็คอีกก็เป็นเวลา 11 ชม.แล้วหลังจากที่แต่งหน้า หน้าคือมันมากๆ แต่รองพื้นก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ยังไม่มีการหลุดลอก
และการเช็คครั้งสุดท้ายของเราคือ 18 ชม. ตอนนี้ล่ะคือมันมากๆทั้งหน้า เอาจริงว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราแต่งหน้าถึง 18 ชม.โดยที่ยังไม่ได้ซับหน้าเลยทั้งวัน ปกติเราจะซับหน้าตอนช่วงประมาณ 6-10 ชม.หลังแต่งหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลังจากใช้กระดาษซับมันซับแล้ว รองพื้นมีหลุดลอกตรงช่วงปลายจมูก ส่วนอื่นก็ยังติดหน้าอยู่ เราคิดว่าถ้าเราซับหน้าเร็วกกว่านี้รองพื้นน่าจะยังสวยกว่านี้ อันนี้เป็นการทำ Wear Test ที่ยาวนานมากจริงๆ ส่วนข้างปีกจมูกที่ดูเป็นคราบ อันนี้เราไม่โทษรองพื้นนะ เพราะจมูกเราลอกอ่ะเลยมีเป็นคราบ ซึ่งรองพื้นตัวอื่นก็เป็น
ถึงแม้ว่าหลังจากที่ใช้กระดาษซับมันแล้วรองพื้นจะหลุดลอกไปบ้าง แต่ถ้าเราลงแป้งทับ เราว่าก็น่าจะยังสวยอยู่
Trick การแต่งหน้าให้รองพื้ติดทนของเราคือ
1. เลือกไพร์เมอร์ที่ช่วยเรื่องความติดทน เราขาดไพรเมอร์ไม่ได้ ถ้าวันไหนรู้ว่าต้องแต่งหน้านาน ไพร์เมอร์ที่ใช้จะต้องช่วยให้รองพื้นติดทน
2. ลงแป้งเซตรองพื้นเสมอ ข้อนี้เราก็ขาดไม่ได้ แป้งที่เราใช้จะเป็นแป้งฝุ่น
3. ซับหน้าช่วง 6-10 ชม.หลังจากแต่งหน้า โดยปกติเราใช้กระดาษซับหน้ามัน พอซับเสร็จก็ฉีดสเปรย์น้ำแร่เพื่อความสดชื่น แต่ถ้าลืมกระดาษซับมันกับน้ำแร่ เราจะใช้น้ำพรมที่หน้าไม่ต้องเยอะมากแล้วใช้กระดาษทิชชู่ซับ
4. ไม่จับหน้า เวลาที่เราจับหน้าเนี่ยมันเลี่ยงไม่ได้จริงๆที่รองพื้นจะหลุดลอกตรงช่วงที่เราจับ
5. การบำรุงหน้าก็สำคัญ สังเกตได้ว่าถ้าวันไหนหน้าแห้งมากจนลอก แต่งหน้าเก่งแค่ไหนเครื่องสำอางก็จะไม่ค่อยติดหน้า
เราเป็นคนที่แต่งหน้ารอบเดียว เมื่อก่อนตอนทำงาน แต่งหน้าถึง 35 ชม.ก็ทำมาแล้ว ถ้าไม่เคยทำจะมาบอกเล่าคนอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
ความรู้สึกหลังใช้ :
เนื้อผลิตภัณฑ์ : เนื้อกำลังดีเลยไม่เหลวแล้วก็ไม่ข้นจนเกินไป ไม่แห้งเร็ว พอเกลี่ยแล้วกระชับเข้าผิวเราได้เร็วมาก นึกว่าผิวจริงเลยล่ะ
การเกลี่ย : เราว่าเกลี่ยได้ง่ายดีนะ พอป้ายลงที่หน้า รองพื้นไม่ได้แห้งเร็ว ยังพอมีเวลาเกลี่ยได้
การปกปิด : เป็น Light to Medium Coverage เราชอบที่จะลงแบบเป็น Light Coverage แล้วปิดเฉพาะจุดด้วยคอนซีลเลอร์มากกว่าที่จะลงเพิ่มเพื่อนให้เป็น Medium Coverage ส่วนเรื่องการเบลอรูขุมขนแอบทำได้ดีนะ แต่ถ้ารูขุมขนใหญ่ก็ต้องทำใจค่ะ เราก็ยังไม่เจอรองพื้นที่ทำได้เหมือนกัน
กันน้ำ กันเหงื่อ : เราว่ากันน้ำกันเหงื่อได้ดีเลยล่ะ คือที่เราไปงานเนี่ยเราลองฉีด Mist ซะจนหน้าเปียกเลย ก็ไม่มีหลุดลอกนะ ถึง Mist จะช่วยล็อคเมคอัพ แต่ฉีดเยอะขนาดนั้นไม่น่าช่วยล็อคได้นะ แต่เท่าที่ดูรองพื้นก็ยังไม่หลุด ในช่วง 18 ชม.นี้ก็มีช่วงที่เราเดินในที่ร้อนๆมีเหงือออกบ้างแต่รองพื้นก็ยังไม่หลุดนะ
ความติดทน : เป็นรองพื้นที่ให้งานผิวสวยดูเป็นธรรมชาติที่ติดทนมากพอสมควรเลยล่ะ อย่างที่เราบอกว่าถ้าเราซับหน้าก่อน 18 ชม. รองพื้นน่าจะติดทนมากกว่านี้ แต่ถึงจะหลุดลอกไปบ้าง ถ้าเติมแป้งไปเราก็ว่ายังสวยอยู่นะ
เฉดสี : มีให้เลือกมากกว่า 40 เฉดสี มีให้เลือกครบทุกสีผิวและเลือกได้ตามอันเดอร์โทนเลย
ราคา : ถ้าจะว่าแพงมันก็แพงนะ แต่สำหรับที่ใช้รองพื้นราคา 1,500-2,000 มานาน เรารู้สึกว่าเพิ่มอีก 500 บาทเพื่องานผิวสวยแบบนี้ เรายอมจ่ายนะ เวลาที่เราแนะนำใครเราพูดเสมอว่า "งานผิวสวยต้องลุงทุนนะ"
แพ็กเก็จ : ฝาดำ ขวดแก้ว เหมือนจะดูธรรมดา แต่พอมีสัญลักษณ์ของแบรนด์อยู่ที่ฝา ถึงแม้จะเล็กแต่ก็ทำให้แพ็กเก็จดูเรียบ ดูหรู ดูแพงมาก
รองพื้นตัวนี้ราคา 2,500 บาท (30 ml.)
นี่ก็คือรีวิวที่เป็นความเห็นส่วนตัวของเรานะคะ เราชอบ Texture และฟีนิชที่เป็นงานผิวแบบนี้ แต่ก็อาจมีคนที่ไม่ได้ชอบแบบนี้ก็ต้องลองกันเองด้วยนะคะ
หวังว่าจะชอบรีวิวนี้นะคะ