ย้อนรอยเรื่องฉาวสั่นสะเทือน Victoria's Secret จนต้องรีแบรนด์

14 5
ช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา Victoria's Secret สร้างชื่อเสียงจากการปลุกพลังในตัวผู้หญิงให้เผยความเซ็กซี่อย่างมั่นใจ และยืนหนึ่งเรื่องความโดดเด่นด้วย fashion show ที่ตราตรึงใจแฟนๆมากมายทั่วโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เคยดูสวยงามกลับถูกโจมตีว่า เป็นสิ่งที่ดูเสแสร้งจอมปลอม การตลาดที่ภายนอกดูดีแต่แฝงมากับแนวคิด male gaze ที่ตกยุคสมัยจนยากจะครองใจกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ได้อีกต่อไป มิหนำซ้ำ สื่อดังหลายเจ้ายังตามขุดคุ้ยเรื่องราวอื้อฉาวภายในองค์กรจนเกิดวิกฤติทางภาพลักษณ์ ไม่เพียงแต่กระแสความนิยมต่อ fashion show ระดับตำนานจะถดถอยลงไปจนต้องประกาศยกเลิกไปในปี 2019 ยอดขายสินค้าก็เริ่มลดลงไปด้วย เกิดเป็นเสียงวิจารณ์กระหึ่มว่า แบรนด์ lingerie ชื่อดังกำลังก้าวเข้าสู่ era ขาลง





แน่นอนว่า ถูกมองในแง่ลบถึงเพียงนี้้ แบรนด์จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา และนั่นหมายถึงการกลับมาทวงตำแหน่ง fashion show สุดตระการตาที่โด่งดังระดับโลก แต่เส้นทางการรีแบรนด์ของ Victoria's Secret ก็ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นความพยายามจะพัฒนาให้ทัเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง หรือว่าแค่ขายความ woke แบบเปลี่ยนแนวฉับพลันเพื่อเอาใจผู้บริโภค

เหตุใด หลายคนจึงยังฝังใจกับเรื่องราวอื้อฉาวของ Victoria's Secret?
มาติดตามกับเราได้เลยค่ะ

ข้อกล่าวหา Ed Razek เรื่องการใช้อำนาจคุกคามและพฤติกรรมล่วงละเมิดนางแบบ


การปิดฉากบทบาทผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ Ed Razek ห่างไกลจากการลงจากตำแหน่งอย่างสวยงามสมศักดิ์ศรีผู้ที่เป็นมันสมองปลุกปั้น Victoria's Secret Fashion Show  เนื่องจากข้อกล่าวหาสุดฉาวจากนางแบบและอดีตพนักงานที่ทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์ดังมีมลทิน ส่งผลให้ผู้คนปักใจว่า หากผู้บริหารที่เป็นหน้าเป็นตาของแบรนด์ยังพัวพันกับเรื่องราวย่ำแย่ขนาดนี้ ก็น่าจะสื่อถึงวัฒนธรรมในองค์กรที่ไม่เคารพต่อคุณค่าเพศหญิง ทำให้คำพูดสวยหรูที่ใช้ประชาสัมพันธ์ตัวเองไม่ดูน่าเชื่อถืออีกต่อไป

  • สื่อดัง The New York Times นำเสนอผลงานสืบสวนจากคนวงในถึงปัญหาภายในองค์กร เมื่อพนักงานหลายคนได้ร้องเรียนฝ่ายบุคคลถึงพฤติกรรมคุกคามของ Razek แต่บริษัทกลับไม่ take action ใดๆ รวมถึง Casey Crowe Taylor อดีตพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Victoria’s Secret ยืนยันว่า เคยประจักษ์ถึงการกระทำอันไม่เหมาะสมของ Razek และเขายังเคยเหยียดหยามเรื่องน้ำหนักตัวของเธอมาแล้ว เธอชี้ว่า ไม่เพียงแต่องค์กรจะเมินเฉยต่อคำร้องเรียนของพนักงาน  ที่ร้ายกว่านั้นคือ ผู้ที่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองจะถูกลงโทษซะด้วยซ้ำ

  • Alyssa Miller  นางแบบสาวที่เคยถ่ายแบบให้กับ Victoria's Secret ให้คำจำกัดความ Razek ว่า มีภาวะความเป็นชายสุด toxic เขาแสดงทัศนคติชัดเจนว่า เขาคือผู้ครอบครองอำนาจที่จะทำให้ปลุกปั้นให้พวกเธอโด่งดังหรือจะทำลายให้พินาศก็ย่อมได้ 

  • แม้การร่วมคัดเลือกนางแบบที่แต่งกายวาบหวิวเพื่อเข้าร่วมเดิน fashion show จะเป็นหน้าที่ของ Razek แต่มีพยานที่เผยว่า เขาล้ำเส้นความเป็นมืออาชีพด้วยการขอให้พวกนางแบบมานั่งตักและเคยแตะบริเวณของสงวนของนางแบบรายหนึ่ง เขายังขอเบอร์โทรศัพท์พวกเธอเพื่อติดต่ออย่างเป็นส่วนตัว และมีข่าวลือหนาหูว่า เขาเคยใช้คำพูดลามกจาบจ้วงนางแบบจนดูเป็นเรื่องปกติ  The New York Times รายงานว่า มีคนได้ยินเขาวิจารณ์ Bella Hadid ในขณะวัดตัวเพื่อตัดเย็บชุดว่า ให้เธอลืมเรื่องใส่กางเกงชั้นในไปได้เลย และกล่าวหน้าตาเฉยว่า เธอมีนมที่สวยเริ่ด

  • Andi Muise นางแบบที่เคยเดิน VS show ยืนยันว่า Razek เคยนัดให้เธอที่ขณะนั้นมีวัยเพียง 19 ปี ให้ไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน และเธอตกลงรับเชิญเพื่อสานความสัมพันธ์แบบมืออาชีพ แต่เขากลับพยายามจูบเธอในรถ แม้เธอจะพยายามปัดป้องแต่เขาก็ถอดใจ เธอยังได้โชว์อีเมลที่ Razek ส่งมาเพื่อเชื้อเชิญให้เธอย้ายเข้าไปอยู่ในบ้่นพักตากอากาศของเขา และอีเมลฉบับอื่นที่ปรากฏถ้อยคำเกี้ยวพาเด็กสาวรุ่นราวคราวลูก ซึ่งเธอได้ตอบกลับด้วยการรักษาท่าทีสุภาพเพื่อปกป้องอาชีพนางแบบของตัวเอง แต่หลังจากที่เธอปฏิเสธคำเชิญไปดินเนอร์ตามลำพังกับเขา ไม่นานจากนั้นก็ได้พบว่า เธอไม่ได้อยู่ในรายชื่อนางแบบที่ได้รับเลือกให้เดิน VS show แม้ว่าเคยออดิชั่นผ่านสามปีติดกัน

แม้ว่า Razek จะสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมจาก VS show ซึ่งกลายมาเป็น signature ของแบรนด์ แต่บทความแนวสืบสวนจาก The New York Times ก็สร้างแรงกดดันใหญ่หลวงจนในที่สุดเขาก็จ้องถอนตัวออกจากตำแหน่งผู้บริหาร หลังจากที่เขาได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ข้อกล่าวหาเรื่องพฤติกรรม red flag ที่ปรากฏตามหน้าสื่อว่าไม่เป็นความจริง แต่หลายฝ่ายฟันธงว่า หากองค์กรยืนหยัดปกป้อง Razek ให้ครองอิทธิพลล้นเหลือต่อไป ภาพลักษณ์ของแบรนด์ก็ยิ่งเสี่ยงกับความเสียหายจนยากจะแก้ไข

สองปีต่อมา ช่อง Hulu ก็นำเสนอสารคดี Victoria's Secret: Angels And Demon ตีแผ่ด้านมืดเบื้องหลังภาพอันสวยงามระยิบระยับ ตอกย้ำถึงความไม่ชอบมาพากลการใช้อำนาจไม่ทางไม่เหมาะสมของผู้บริหาร ซึ่งไม่ได้มีเพียงแต่ Razek เพียงผู้เดียวที่ต้องเผชิญกับการโจมตีจากโลกออนไลน์

ความเชื่อมโยงของอดีตประธานบริษัทกับ Jeffrey Epstein


หากการก่ออาชญากรรมทางเพศของ Jeffrey Epstein ที่ถูกเชื่อมโยงกับเจ้าชาย Andrew จะกลายเป็นมหากาพย์สุดฉาวจนถูกยกให้เป็นวิกฤติด้านภาพลักษณ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษ ก็คงไม่ต้องสงสัยว่า บรรดาคนใหญ่คนโตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาชญากรทางเพศสุดอื้อฉาวรายนี้จะต้องหวาดระแวงว่าจะถูกเปิดโปงไปด้วย ทำให้ต้องเคลียร์ตัวเองจากเรื่องการมีเอี่ยวการค้ามนุษย์,ค้าประเวณีเด็กและกระทำชำเราผู้หญิงหลายสิบคน รวมถึงผู้เยาว์วัย 14 ปี

หนึ่งในกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคดี Epstein ก็คือ Les Wexner มหาเศรษฐีพันล้านที่ซื้อกิจการ Victoria's Secret มาขยับขยายกิจการจนโด่งดังตั้งแต่ยุค 80s เขาไว้วางใจให้ Epstein ทำหน้าที่ผู้จัดการทางการเงินและที่ปรึกษาทางธุรกิจติดต่อกันหลายปี และยังแต่งตั้งตำแหน่งผู้ดูแลผลประโยชน์ให้กับมูลนิธิ Wexner อีกด้วย

สื่อชั้นนำอย่าง Wall Street Journal เคยเปิดเผยเรื่องราวที่คนแวดวงเดียวกันรู้ดีว่า ชายทรงอิทธิพลทั้งสองรักษามิตรภาพอันแนบแน่นมายาวนานร่วมๆสองทศวรรษ ซึ่งความเกี่ยวโยงนี้ได้กลายมาเป็น red flag ที่ทำให้สังคมมองอดีตผู้บริหารแบรนด์ดังด้วยความคลางแคลงใจมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะหลายคนเชื่อว่า มันยากจะเป็นไปได้ หาก Wexner จะไม่รู้เห็นใดๆกับพฤติกรรมเลวร้ายของ Epstein

ไม่เพียงแต่ Wexner จะเคยเป็นลูกค้าทางธุรกิจคนสำคัญของ Epstein แต่การผูกความสัมพันธ์ทางธุรกิจอันใกล้ชิดนั้นได้เปิดทางในการฉกฉวยผลประโยชน์ในการค้ามนุษย์และล่วงละเมิดทางเพศ อดีตกรรมการในบอร์ด L Brands (บริษัทแม่ของ Victoria's Secret ที่ Wexner เคยครองตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมายาวนานหลายสิบปี) ได้เปิดเผยว่า เขาได้ใช้ conection กับเจ้าของแบรนด์เพื่อล่อลวงหญิงสาวให้หลงเชื่อว่า จะช่วยให้พวกเธอคว้าโอกาสในการร่วมงานกับ Victoria's Secret

ในปี 2021 เหล่าผู้ถือหุ้นของ L Brands ได้ร้องเรียนต่อศาลยุติธรรมว่า Wexner ได้ชักนำให้เกิดวัฒนธรรมกดขี่ผู้หญิง รวมถึงปัญหากลั่นแกล้งคุกคามในองค์กร ไม่ดำเนินมาตรการแก้ไขหลังจากบุคลากรยื่นคำร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมของ Ed Razek มาแล้วหลายครั้ง และทั้งๆที่ Wexner และภรรยาจะรับรู้ถึงการค้ามนุษย์และกระทำผิดทางเพศของ Epstein ผู้ที่เขาให้ความไว้วางใจ แต่กลับไม่แก้ไขสถานการณ์ เมื่อมีการตีแผ่เรื่องมิตรภาพของ Wexner และ Epstein ข่าวอื้อฉาวนี้ก็ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อแบรนด์ ซึ่งผู้ถือหุ้นได้กล่าวหาว่า นี่คือการละเมิดต่อหน้าที่ความรับผิดชอบต่อองค์กร




มีรายงานว่า กรรมการบริหาร L Brands ได้แจ้งพฤติกรรมเสื่อมเสียที่ Epstein แอบอ้างตัวว่าเป็นผู้คัดเลือกนางแบบ Victoria's Secret ในการประชุมบอร์ดบริหารในช่วงยุค 90s แต่ Wexner กลับเพิกเฉยต่อการเอาผิดคนสนิท ทั้งๆที่ในระหว่างนั้น มีผู้หญิงรายแจ้งต่อ FBI ว่า ถูก Epstein ล่อลวงไปล่วงละเมิดทางเพศที่บ้านรับรองแขกของ Wexner รวมถึงนางแบบสาวที่กล่าวหาว่า Epstein นัดให้เธอไปออดิชั่นงานถ่ายแบบ Victoria's Secret ที่ห้องโรงแรมแล้วฉวยโอกาสลวนลามเธอ แต่ Wexner ก็ยังเลือกร่วมงานด้านการเงินกับ Epstein ต่อยาวๆอีกหลายปี จนกระทั่ง Epstein ถูกดำเนินคดีค้าประเวณีและล่วงละเมิดผู้เยาว์ในปี 2007 กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Wexner ตัดสินใจปิดฉากมิตรภาพเพื่อไม่ให้ถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมของอดีตคนสนิทนั่นเอง

หลังจาก Wexner ต้องพบกับแรงกดดันของสังคมให้ออกมาชี้แจงฤิถึงความสัมพันธ์ยาวนานกับ Epstein เขาก็ได้ยืนยันว่า เขาถูกเพื่อนหักหลังอย่างรุนแรง เและรู้สึกอับอายยิ่งนักที่ปล่อยให้อีกฝ่ายฉกฉวยประโยชน์จากความไว้วางใจ เจ้าพ่อวงการ retail ได้ประนามพฤติกรรมน่ารังเกียจของ Epstein และยังเผยว่า Epstein ได้ยักยอกทรัพย์สินส่วนตัวของเขาและครอบครัวไปเกินกว่า 46 ล้านดอลลาร์

แต่เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นไปแล้ว รายได้ที่ตกลงฮวบของ Victoria's Secret ในปี 2020 ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงปฏิกิริยาของสาธารณชนได้ชัดเจน Wexner จึงเลือกทางเดียวกับ Razek  เขาและภรรยาได้ก้าวลงจากตำแหน่ง แม้ว่าจะยังอยู่ในบอร์ฺดบริหาร แต่ก็เปิดทางให้ CEO คนใหม่เข้ามาปฎิรูปองค์กร


กระแสกดดันที่เกิดขึ้นเมื่อแบรนด์ไม่ได้มีอิทธิพลกับผู้บริโภคดังในอดีต

ในขณะที่ผู้คนมองว่า ข้อกล่าวหาเรื่องพฤติกรรม red flag ของผู้บริหารสร้างผลกระทบหนักหน่วงต่อแบรนด์ แต่ยอดขายของ Victoria's Secret เริ่มลดลงในปีหลังๆ หลังจากผู้บริโภคจำนวนมากแสดงความไม่พอใจในปัญหาสินค้าขาดคุณภาพและความหลากหลายของไซส์  แม้ Victoria's Secret จะนำเสนอบริการวัดไซส์เพื่อหาบราที่พอดีกับรูปร่างลูกค้า แต่ท่ามกลางการแข่งขันอย่างสูงในวงการธุรกิจนี้ แบรนด์คู่แข่งที่พัฒนาจุดขายโดดเด่นด้านคุณภาพและไซส์ที่หลากหลายได้เข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งยอดขาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น

"เราวางกลุ่มเป้าหมายอย่างเจาะจงว่า จะขายสินค้าให้กับคนกลุ่มไหน เราไม่ได้ขายให้กับคนทั้งโลก" Ed Razek เคยประกาศอย่างทะนงในจุดยืนของแบรนด์ แต่มันกลับย้อนมาเล่นงานภายหลัง


ในขณะที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปิดใจยอมรับชื่นชมความงามที่หลากหลาย Razek กลับฟาดเปรี้ยงว่า ไม่ได้มองนางแบบ transgender และ plus size ว่าสมควรจะได้รับคัดเลือกให้มาร่วมเดินใน VS Show เนื่องจากตัวตนของพวกเธอไม่เข้ากับคอนเสปท์ fantasy ของแบรนด์ที่โดดเด่นยืนหนึ่งในระดับโลก คำพูดไม่ไว้หน้าใครของอดีตผู้บริหารรายนี้ก่อให้เกิดกระแสโจมตีอย่างหนัก ทั้งยังมีการแชร์ประสบการณ์จากนางแบบบางคนที่เคยร่วมงานกับแบรนด์ว่า ต้องทุกข์ใจจากแรงกดดันให้คุมน้ำหนักให้ผอมบางเสมอ แม้ว่าจะพวกเธอจะมีรูปร่างสวยงามอยู่แล้วแต่ก็รู้สึกว่าดีไม่พอ ชาวเน็ทจำนวนมากประกาศว่า จะไม่เสียเงินให้กับแบรนด์ที่มีอุดมการณ์สวนทางกับ body positivity และยังกล่าวหาว่า จุดขายแบบเดิมๆของ Victoria's Secret เป็นสิ่งบั่นทอนความภาคภูมิใจในตัวเองของผู้หญิง ไม่คู่ควรกับความเชื่อถือจากผู้บริโภค



หากมองจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เป็นชายสูงวัยก็ทำยิ่งทำให้หลายคนปักใจว่า ทั้งๆที่เป้าหมายสำคัญที่จะเพิ่มพูนรายได้ให้กับแบรนด์เป็นเพศหญิงที่มีตัวตนแตกต่างหลากรูปแบบ แต่กลับใช้ male gaze มากำหนดทิศทางของแบรนด์จนดูไม่เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แตกต่างจากแบรนด์คู่แข่งที่ให้ความสำคัญกับการลดความแบ่งแยกและเชิดชู body positivity ช่วยกระตุ้นยอดขายสูงลิบลิ่ว เห็นได้จากแบรนด์หน้าใหม่อย่าง Skims ที่สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนสร้างมูลค่าแบรนด์สูงถึงสี่พันล้านในเวลาไม่นาน แต่เมื่อ Victoria's Secret หันมาปรับกลยุทธ์ ทั้งทาบทามนางแบบ trans และ plus size มาร่วมงาน ก็ไม่พ้นถูกวิจารณ์ว่า เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช้าเกินไปและดูขาดความจริงใจ ทั้งๆที่มีเสียงเรียกร้องจากจากผู้บริโภคและสื่อให้แบรนด์หันมาเปิดใจกับเรื่องความงามอันหลากหลายมาหลายครั้ง แต่ไม่ได้มีการตอบรับ จนกระทั่งถูก scandal รุมเล่นงานจึงเริ่มเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการลุกมาปฏิรูปตามหลังเจ้าอื่นๆแบบเว้นระยะห่างเลยทีเดียว

แม้ในช่วงหลัง ยอดขายของ Victoria's Secret เป็นไปในทิศทางดีขึ้น แต่ยังเป็นที่จับตามองว่า ตัวเลขดังกล่าวจะดีพอต่อการลงทุนเพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ และวิธีนี้จะให้ผลลัพธ์อย่างยั่งยืนหรือไม่?

การทุ่มทุนเพื่อเรียกความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของ VS Show ให้หวนคืนมาในวันนี้จะช่วยเปลี่ยนมุมมองในด้านลบต่อแบรนด์รึเปล่านะ ลองมาแสดงความเห็นกันสิคะ?


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE