ได้เวลาเปลี่ยนแปรง พร้อมสาระเรื่อง "แปรงแห้ง"
Sarah.K 37 9
มาค่า ไหนๆ เราก็ชอบดูแลตัวเองกันไปแล้ว สาวๆ หลายคนต้องไม่ลืมดูแลเรื่องสำคัญอย่างฟันสวยๆ ด้วยนะคะ บางคนฟันผุ ลมหายใจมีกลิ่น คราบอาหารติดร่องฟัน รวมทั้งเรื่องของฟันเหลือง!!
คือเนสเป็นคนหนึ่งที่ "ฟันเหลือง" ค่ะ แต่คือมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อการใช้ชีวิตประจำวันมาก จะมีก็ตอนที่ต้องทาลิปสติกบางสี อย่างสีแดงอ่อนหรือชมพูแบบนี้ ยิ้มที เอ๊ะ.. หุบยิ้มแทบไม่ทัน มันก็แค่ทำให้เราไม่มั่นใจค่ะ
บอกก่อนว่าเนสเป็นคนดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลมทุกวันค่ะ แต่ก็ไม่ได้เพิ่งจะมีฟันเหลืองนะ สังเกตุตัวเองก็เหลืองมานานแล้ว เรื่องของการดูแลช่องปากก็ทำอย่างสม่ำเสมอค่ะ แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ตอนทำงานประจำก็แปรงวันละ 3 ครั้งเลย ใช้ไหมขัดฟันเพราะเป็นคนฟันชิดและไปขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ฟันก็มีผุค่ะ แต่ก็ทำการรักษาไป ซึ่งก็ไม่เคยมีประวัติถอนฟัน หรือผ่าฝันใดๆ ทั้งสิ้น ... แต่ฟันมันก็เหลืองง่ะ เลยมาหาสาเหตุกัน พบว่า อ๋อ การที่ฟันเหลือง อันที่จริงก็เกิดจากการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์ น้ำผลไม้ สูบบุหรี่ และทานอาหารมีสี ไหนจะเกิดจากการทานยา การจัดฟัน และเรื่องของวัย .. ยิ่งอายุมากขึ้นเคลือบฟันก็เปลี่ยนสีไปค่ะ ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าฟันเราจะเหลือง .. แต่ไม่ควรจะเหลืองจนสังเกตุได้อ่ะเนอะ
ตอนนี้ก็มีนวัตกรรมหลายๆ อย่างเลยที่ช่วยดูแลให้สีฟันขาว ไม่ว่าจะด้วยการฟอกสีฟัน เลเซอร์ฟันขาว ฯลฯ ซึ่ง เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เนสเคยใช้เจลฟอกฟันขาวค่ะ ตอนนู้นไปอเมริกาแล้วก็ลองซื้อใช้ดู ซึ่งมันก็ขาวขึ้นมาประมาณ 2 step ค่ะ แต่ก็รู้สึกเสียวฟันนะคะ หลังจากที่ได้ลองใช้ แล้วพอมันหมดก็ไม่ใช้ต่อ เพราะสมัยนั้นที่ไทยยังไม่ได้รับความนิยมเลยหาซื้อยาก
เรื่องของฟันเหลือง..ไม่ได้กวนใจเนสเท่าไหร่นะคะ แต่นั่นแหล่ะ อย่างที่บอกว่ามันจะมีปัญหาก็ตอนทาลิปสติกบางสี ทีนี้เลยคิดว่าตัวเองน่าจะมีปัญหาฟันเหลืองจากการดื่มชา กาแฟ และน้ำอัดลม ก็เลยลองมาโฟกัสที่การแปรงฟัน ก็พบว่า ..เอ๊ะ!! มันมีเรื่องของ "แปรงแห้ง" ความรู้เก่าที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แถมยังได้รับการวิจัย ศึกษามาแล้วตั้งแต่ปี 1980 ห๊ะ!! นั่นปีเกิดของเนสเลย แล้ววิธีที่แปรงมาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้อายุ 40 แล้วนั้น คืออะไรอ่า
แปรงแห้ง หรือ spit don't rinse คือการแปรงฟันแบบถุยทิ้งไม่บ้วนน้ำค่ะ วิธีการก็คือบีบยาสีฟันลงไปบนแปรงฟัน แล้วก็แปรงให้ถูกวิธีปัดๆ เมื่อเสร็จแล้วก็ไม่ต้องบ้วนน้ำทิ้งค่ะ เพียงแต่ให้บ้วนน้ำลายออกไป จนกว่าฟองจะหมด ประมาณ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการที่หากเราบ้วนน้ำทิ้งไป น้ำจะไปล้างฟลูออไลด์ที่มีอยู่ในยาสีฟันหมดค่ะ ก็..แล้วจะใช้ทำไม
จากข้อมูลเขาบอกว่า การแปรงฟันเพื่อป้องกันฟันผุ
1. เราควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (หลังอาหารเช้าและก่อนนอน)
2. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
3. แปรงแห้ง และ
4. ไม่กินหรือดื่มหลังแปรงฟันอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงค่ะ
คือเนสเป็นคนหนึ่งที่ "ฟันเหลือง" ค่ะ แต่คือมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อการใช้ชีวิตประจำวันมาก จะมีก็ตอนที่ต้องทาลิปสติกบางสี อย่างสีแดงอ่อนหรือชมพูแบบนี้ ยิ้มที เอ๊ะ.. หุบยิ้มแทบไม่ทัน มันก็แค่ทำให้เราไม่มั่นใจค่ะ
บอกก่อนว่าเนสเป็นคนดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลมทุกวันค่ะ แต่ก็ไม่ได้เพิ่งจะมีฟันเหลืองนะ สังเกตุตัวเองก็เหลืองมานานแล้ว เรื่องของการดูแลช่องปากก็ทำอย่างสม่ำเสมอค่ะ แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ตอนทำงานประจำก็แปรงวันละ 3 ครั้งเลย ใช้ไหมขัดฟันเพราะเป็นคนฟันชิดและไปขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ฟันก็มีผุค่ะ แต่ก็ทำการรักษาไป ซึ่งก็ไม่เคยมีประวัติถอนฟัน หรือผ่าฝันใดๆ ทั้งสิ้น ... แต่ฟันมันก็เหลืองง่ะ เลยมาหาสาเหตุกัน พบว่า อ๋อ การที่ฟันเหลือง อันที่จริงก็เกิดจากการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์ น้ำผลไม้ สูบบุหรี่ และทานอาหารมีสี ไหนจะเกิดจากการทานยา การจัดฟัน และเรื่องของวัย .. ยิ่งอายุมากขึ้นเคลือบฟันก็เปลี่ยนสีไปค่ะ ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าฟันเราจะเหลือง .. แต่ไม่ควรจะเหลืองจนสังเกตุได้อ่ะเนอะ
ตอนนี้ก็มีนวัตกรรมหลายๆ อย่างเลยที่ช่วยดูแลให้สีฟันขาว ไม่ว่าจะด้วยการฟอกสีฟัน เลเซอร์ฟันขาว ฯลฯ ซึ่ง เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เนสเคยใช้เจลฟอกฟันขาวค่ะ ตอนนู้นไปอเมริกาแล้วก็ลองซื้อใช้ดู ซึ่งมันก็ขาวขึ้นมาประมาณ 2 step ค่ะ แต่ก็รู้สึกเสียวฟันนะคะ หลังจากที่ได้ลองใช้ แล้วพอมันหมดก็ไม่ใช้ต่อ เพราะสมัยนั้นที่ไทยยังไม่ได้รับความนิยมเลยหาซื้อยาก
เรื่องของฟันเหลือง..ไม่ได้กวนใจเนสเท่าไหร่นะคะ แต่นั่นแหล่ะ อย่างที่บอกว่ามันจะมีปัญหาก็ตอนทาลิปสติกบางสี ทีนี้เลยคิดว่าตัวเองน่าจะมีปัญหาฟันเหลืองจากการดื่มชา กาแฟ และน้ำอัดลม ก็เลยลองมาโฟกัสที่การแปรงฟัน ก็พบว่า ..เอ๊ะ!! มันมีเรื่องของ "แปรงแห้ง" ความรู้เก่าที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แถมยังได้รับการวิจัย ศึกษามาแล้วตั้งแต่ปี 1980 ห๊ะ!! นั่นปีเกิดของเนสเลย แล้ววิธีที่แปรงมาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้อายุ 40 แล้วนั้น คืออะไรอ่า
แปรงแห้ง หรือ spit don't rinse คือการแปรงฟันแบบถุยทิ้งไม่บ้วนน้ำค่ะ วิธีการก็คือบีบยาสีฟันลงไปบนแปรงฟัน แล้วก็แปรงให้ถูกวิธีปัดๆ เมื่อเสร็จแล้วก็ไม่ต้องบ้วนน้ำทิ้งค่ะ เพียงแต่ให้บ้วนน้ำลายออกไป จนกว่าฟองจะหมด ประมาณ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการที่หากเราบ้วนน้ำทิ้งไป น้ำจะไปล้างฟลูออไลด์ที่มีอยู่ในยาสีฟันหมดค่ะ ก็..แล้วจะใช้ทำไม
จากข้อมูลเขาบอกว่า การแปรงฟันเพื่อป้องกันฟันผุ
1. เราควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (หลังอาหารเช้าและก่อนนอน)
2. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
3. แปรงแห้ง และ
4. ไม่กินหรือดื่มหลังแปรงฟันอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงค่ะ
อ่า รู้แบบนี้แล้ว .. ก็เลยต้องเปลี่ยนวิธีการแปรงฟันใหม่เลยตอนนี้ เพราะปกติก็บ้วนน้ำทิ้งตลอดค่ะ แถมยังเป็นคนชอบบ้วนปากซะด้วย เขาบอกว่า คนที่ฟันผุมากๆ ไม่ควรบ้วนน้ำเปล่าเลยแต่ให้บ้วนน้ำยาบ้วนปากแทนค่ะ
ทีนี้มาด้วยเรื่องของแปรงสีฟันที่ใช้ เพราะความที่ตอนนั้นคิดว่าปัญหาน่าจะเกิดจากการแปรงฟัน ก็เลยมีการเปลี่ยนแปรงไปเรื่อยๆ ค่ะ ปกติเราควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 2 เดือนอยู่แล้ว เมื่อก่อนเนสก็ใช้แปรงสีฟันทั่วไปค่ะ แต่พออายุมากขึ้นก็จะเลือกใช้แบบนี้
ทีนี้มาด้วยเรื่องของแปรงสีฟันที่ใช้ เพราะความที่ตอนนั้นคิดว่าปัญหาน่าจะเกิดจากการแปรงฟัน ก็เลยมีการเปลี่ยนแปรงไปเรื่อยๆ ค่ะ ปกติเราควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 2 เดือนอยู่แล้ว เมื่อก่อนเนสก็ใช้แปรงสีฟันทั่วไปค่ะ แต่พออายุมากขึ้นก็จะเลือกใช้แบบนี้
ตัวนี้เก่ามาก..เหลือแต่ด้าม 55 ไม่ได้ซื้อหัวเปลี่ยนแล้วเพราะไม่ได้ใช้เลย อันนี้ก็ดีนะคะ เขาจะปล่อยพลังไอโอนิคมาในขณะที่แปรง ซึ่งไอโอนิคก็คือประจุลบที่ช่วยให้คราบพลัคที่เกาะตามฟัน และซอกฟันหลุดไป แถมยังช่วยยับยั้งแบคทีเรียและลดการเกิดหินปูนด้วยค่ะ ตัวนี้เป็นนวัตกรรมของประเทศญี่ปุ่น ราคาก็กลางๆ ค่ะ จำไม่ผิดไม่เกิน 250 บาท.
ใช้ตัวนั้นไปสักพัก เปลี่ยนหัวแปรงไปก็บ่อย ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นระบบสั่นกันบ้าง ตัวนี้จะเป็นแปรงสีฟันไฟฟ้า Sonic ค่ะ เขาจะทำความสะอาดแบบสั่นด้วยการใส่ถ่าน AAA 1 ก้อน ก็ทำให้เราไม่ต้องขยับมือตามหลักวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้องเลย แค่ขยับไปตามซี่ๆ ให้ครบทั้งปากเอง อันนี้เป็นระบบสั่นอันแรกที่เนสรู้สึกว่าชอบค่ะ หัวแปรงเขาจะสั่นประมาณ 22,000 ครั้งต่อนาที ราคาไม่เกิน 400 บาทค่ะ อ่ะ เนสใช้มาสักพักเลย เปลี่ยนหัวแปรงไปหลายชิ้นค่ะ จนได้เวลาที่ตัวเองอยากมองหาอะไรใหม่ๆ (อีกแล้ว) ก็มาที่ตัวนี้ค่ะ
อันนี้ก็คือแฟนเนสใช้ด้วยเลยมี 2 อันนะคะ ต่างกันที่ด้ามของแฟนเนสจะเป็นหัวแปรงปกติ ซึ่งเวลาซื้อเขาก็จะแถมหัวนั้นมาเลย (หัวสีฟ้าน้ำเงินขาว) ส่วนของเนสเปลี่ยนหัวไปแล้วค่ะ เนสเปลี่ยนมาใช้หัวแบบ Oral-B Cross Action (Plaque) ตัวนี้เนสเรื่องการกำจัดคราบพลัคได้มากกว่าหัวธรรมดา 2 เท่า เพราะเราอยากโฟกัสเรื่องฟันเหลือง 555
ตัวนี้เขาจะทำความสะอาดด้วยเทคโนโลยี 2D หัวหมุน 7,000 รอบต่อนาที ลักษณะการหมุนคือเหวี่ยง ซ้าย-ขวา ตามลักษณะการแปรงที่ถูกวิธีค่ะ ที่สำคัญเมื่อครบ 2 นาที เขาจะเตือนเราด้วยนะ ไม่ต้องจับเวลาแล้ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาทค่ะ แต่ก็เห็นที่อื่นมีราคาเปลี่ยนไปตามโปรโมชั่นนะคะ ก็จะได้แท่นชาร์จพร้อมหัวแปรงมาด้วย 1 อันค่ะ
ซึ่งเนสชอบตัวนี้เลย แปรงสะใจแล้วรู้สึกว่าสะอาดขึ้น แต่นั่นแหล่ะค่ะ ข้อเสียคือ จะอมแปรงสีฟันไม่ได้ เพราะหนัก 55 จริงๆ ก็ไม่ควรอมแปรงอ่ะนะ ตอนนี้การแปรงเลยโฟกัสมากๆ ค่ะ เปลี่ยนไปทีละซี่ ด้านนอกด้านใน และแปรงลิ้นด้วย
ที่สำคัญตอนนี้เนสต้องเปลี่ยนวิธีการแปรงฟัน เป็นแปรงแห้งแทน ความรู้ใหม่ที่ต้องใช้ดู แล้วเป็นยังไง คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
สำหรับครั้งนี้แชร์กันเผื่อใครกำลังจะเปลี่ยนแปรงโน๊ะ ^_^ ส่วนใครมีแปรงแบบไหนแนะนำก็เม้นท์มาได้เลยน๊า เผื่อเนสลองไปใช้ดูบ้างค่ะ
ตัวนี้เขาจะทำความสะอาดด้วยเทคโนโลยี 2D หัวหมุน 7,000 รอบต่อนาที ลักษณะการหมุนคือเหวี่ยง ซ้าย-ขวา ตามลักษณะการแปรงที่ถูกวิธีค่ะ ที่สำคัญเมื่อครบ 2 นาที เขาจะเตือนเราด้วยนะ ไม่ต้องจับเวลาแล้ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาทค่ะ แต่ก็เห็นที่อื่นมีราคาเปลี่ยนไปตามโปรโมชั่นนะคะ ก็จะได้แท่นชาร์จพร้อมหัวแปรงมาด้วย 1 อันค่ะ
ซึ่งเนสชอบตัวนี้เลย แปรงสะใจแล้วรู้สึกว่าสะอาดขึ้น แต่นั่นแหล่ะค่ะ ข้อเสียคือ จะอมแปรงสีฟันไม่ได้ เพราะหนัก 55 จริงๆ ก็ไม่ควรอมแปรงอ่ะนะ ตอนนี้การแปรงเลยโฟกัสมากๆ ค่ะ เปลี่ยนไปทีละซี่ ด้านนอกด้านใน และแปรงลิ้นด้วย
ที่สำคัญตอนนี้เนสต้องเปลี่ยนวิธีการแปรงฟัน เป็นแปรงแห้งแทน ความรู้ใหม่ที่ต้องใช้ดู แล้วเป็นยังไง คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
สำหรับครั้งนี้แชร์กันเผื่อใครกำลังจะเปลี่ยนแปรงโน๊ะ ^_^ ส่วนใครมีแปรงแบบไหนแนะนำก็เม้นท์มาได้เลยน๊า เผื่อเนสลองไปใช้ดูบ้างค่ะ