บทเรียนจากความเจ็บป่วยของคนดัง : หยุด Bully คนอื่นสักที

78 9
"อ้วนขึ้นรึเปล่า"

" ทำไมถึงมีสิวเต็มหน้า "

"แขนใหญ่แบบนี้กล้าใส่เสื้อแขนกุดได้ไง"

" ผอมเหมือนไม้จิ้มฟัน กินข้าวเยอะๆนะ"

" ใต้ตาดำดูโทรมมากเลย  ทาอายครีมบ้างสิ"


ฯลฯ
คุณเป็นอีกคนหรือเปล่าที่เคยได้ยินถ้อยคำที่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกจากคนรอบข้างที่ใช้คำว่า "เป็นห่วง" หรือ "ล้อเล่น" มาคอยไถ่ถามสร้างความบั่นทอนในจิตใจ      แม้คนพวกนั้นจะรู้ดีว่า ใครๆต่างก็มีกระจกส่องตัวเอง  แต่ไม่เคยรู้หรอกว่า อีกฝ่ายต้องเผชิญอะไรมาบ้าง และไม่มีใครเลยที่จะจำเป็นต้องได้รับพลังงานด้านลบเพิ่มเพียงเพราะคุณอยากจะเปิดบทสนทนาว่าพวกเค้าดูย่ำแย่มากแค่ไหน
และที่น่าปวดใจไปกว่านั้น   หากคนที่ถูก bully  กำลังเผชิญกับอย่างโรคร้ายอยู่ล่ะ ?        กว่าที่พวกเค้าต่อสู้ให้มีชีวิตไปได้อีกวันหนึ่งก็ต้องใช้พลังใจมากมาย   การซ้ำเติมด้วยถ้อยคำbully   ก็ไม่ต่างจากการยื่นยาพิษกัดกร่อนจิตใจให้อ่อนแอ



Chadwick Boseman

หนึ่งชีวิตที่ถูกโรคร้ายพรากไปก่อนวัยอันควร แต่กลับถูกหยามหยันว่าเป็นขี้ยา


การจากไปของ Chadwick นับเป็นความสูญเสีบครั้งใหญjของวงการ Hollywood หลายคนยืนยันว่า ถ้อยคำการไว้อาลัยของเพื่อนร่วมวงการนั้นเต็มไปด้วยความโศกสลดและระลึกถึงคุณงามความดีของเขาอย่างจริงใจ มิใช่การแสดงความเสียใจตามมารยาท แต่ท่ามกลางการไว้อาลัยจากผู้คนมากมาย ก็ได้มีคลื่นแห่งความกราดเกรี้ยวก่อตัวขึ้นมา เมื่อแฟนๆของพระเอกผู้ล่วงลับประกาศว่า "ยังจำได้นะว่า หลายคนที่ไว้อาลัยให้ Chadwick น่ะเคยเล่นมุกว่าเขาเป็น Crack Panther มาก่อน"


Chadwick ขึ้นชื่อลือชาในความรัก privacy เขาแทบไม่เปิดเผยให้คนภายนอกได้รับรู้ถึงความเป็นไปในชีวิตที่อยู่นอกเหนือจากหน้ากล้อง มีการยืนยันภายหลังว่า เขาต้องการเก็บรักษาปัญหาเรื่องสุขภาพไว้ไม่ให้คนภายนอกได้รับรู้ เพราะไม่อยากให้ใครต้องรู้สึกกังวล แม้แต่เพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันก็เปิดเผยว่าไม่เคยรู้เรื่องความเจ็บป่วยของเขามาก่อน

แต่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขากำลังต้องเจอกับอะไรมาบ้างก็มีคนสร้าง meme ล้อเลียนรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปว่าดูเหมือนพ่อเสือดำขี้ยา!


ที่จริงแล้ว สื่อพยายามคาดเดาเรื่องปัญหาส่วนตัวของ Chadwick มาก่อนที่เขาจะจากไปอย่างกะทันหันแล้วค่ะ พาพาราซซี่ได้ติดตามถ่ายภาพตอนที่เขาอยู่กับครอบครัว แม้จะช่วยเหลือตัวเอง ช่วยยกสิ่งของและออกกำลังกาย แต่ภาพที่ต้องใช้ไม้เท้าเพื่อช่วยให้เดินเหินสะดวกก็ทำให้บางคนเชื่อว่า เขากำลังต้องเผชิญกับความยากลำบากบางอย่างและยังมีคนแอบถ่ายตอน Chadwick นั่งรถเข็นที่ภายนอกโรงพยาบาลด้วยซ้ำ แต่ภาพ Crack Panther ก็ถูกส่งต่อไปแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน จะมีกี่คนที่คิดว่า พระเอกภาพลักษณ์ดีงามคนนี้ติดยาเสพติดจนผ่ายผอมจริงๆ ?

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยจากแฟนที่เจ็บแค้นแทน Chadwick ที่ผ่านการต่อสู้กับโรคร้ายมาสี่ปี แต่กลับถูกเย้ยหยันราวกับเป็นตัวตลก     ไม่น่าแปลกใจที่แฟนๆที่ชื่นชมเขาได้ออกมาเรียกร้องให้พวก bully ได้แสดงคำขอโทษต่อ Chadwick และครอบครัว


Selena Gomez




ทั้งๆ กำลังต่อสู้กับโรค Lupus  กลับถูกโจมตีว่าอ้วนจนไม่สวยเหมือนเก่า  


เธออาจจะมีรอยยิ้มที่สดใสร่าเริงอยู่เสมอและยังโลดแล่นในวงการในฐานะ popstar ที่ประสบความสำเร็จ   แต่ Selena ยังต้องต่อสู้จากโรคร้ายแรงไปพร้อมกับการถูกตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก     
ตอนที่ Selena เปิดเผยว่าป่วยเป็นโรค Lupus ปฏิกิริยาจากผู้คนไม่ได้เรียกได้ว่าอยู่ในระดับ shocking    อาจจะเป็นเพราะว่าการขาดความรู้ว่าที่จริงแล้วโรคนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วไม่น้อย       แม้เธอจะยืนยันว่า เคยต้องรับคีโมเพื่อรักษาอาการ   แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและรูปลักษณ์ที่เต็มอิ่มสุขภาพดี   อาจจะทำให้บางคนคิดว่า เธอไม่ได้ป่วยหนักนัก    เรื่องแย่ๆที่ตามมาคือเรื่อง body shamingนั่นเอง
ผู้มีประสบการณ์โรค Lupus ต่างอธิบายว่า  ภาวะไตอักเสบทำให้ร่างกายบวมขึ้น   ที่ผ่านมา Selena จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มและผอมลงสลับกันไปมา  แฟนๆของเธอเชื่อว่า  มันเป็นผลกระทบจากอาการป่วยของเธอนั่นเอง  แต่กระนั้น  เธอก็พยายามใช้ชีวิตอย่างอย่างเต็มที่โดยไม่ค่อยปิดบังรูปร่างที่ดูดีดไปมาอยู่ตลอด
หลังจากที่เธอได้เปิดเผยว่าด้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตโดยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้บริจาคอวัยวะสำคัญเพื่อช่วยชีวิต  ก็ทำให้หลายคนได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคนี้   Selena เคยเผิดเผยว่า เธอเคยผ่านจุดที่อันตรายถึงชีวิตมาแล้ว  แต่โชคดีที่เหลือที่การแพทย์ช่วยเหลือเธอไว้ได้



น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งปกติที่พบได้กลังจากการผ่าตัดปลูกถ่ายไต และดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นกับ Selena เช่นกัน แต่นอกจากรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด เธออาจจะมีแผลใจที่สร้างความเจ็บปวดเพราะคำพูดของชาวเน็ทที่ตามจิกกัดเรื่องรูปร่างและใบหน้าที่ดูบวมขึ้น เธอจึงได้ระบายความรู้สึกและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่ต้องเผชิญกับ body shaming ไว้ว่า อาการบวมนั้นมาจากยาที่เธอต้องใช้รักษาตัวไปตลอดชีวิต

" มันเป็นเพราะยาที่ชั้นต้องใช้ไปตลอดชีวิตค่ะ   มันก็แล้วแต่ว่าเดือนไหนจะเป็นขึ้นมาอีก  เมื่อไรที่คนอื่นจิกกัดชั้นก็จะรู้เลยว่าเริ่มบวมขึ้นมาอีกแล้ว    มันคือความเป็นจริง  น้ำหนักชั้นขึ้นๆลงๆตลอด  ขึ้นอยู่กับว่าชั้นต้องเจอกับอะไรบ้าง"


Selena ยอมรับว่า การโจมตีจากโรคออนไลน์ทำให้เธอจิตตกหนัก แต่ก็พยายามมีความสุขที่ยังมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่



เมื่อ Selena กลับมาผอมเพรียวใน MV Ice cream แทบลอยด์อย่าง Daily Mail ได้พาดหัวชื่นชมเธอว่า " โชว์รูปร่างที่ผอมลงจนสวยเริ่ดหลังจากที่เคยถูก bosyshame เมื่อปีก่อนๆ"
แต่ขอให้เชื่อไว้เลยว่า เมื่อใดที่ผลข้างเคียงของยาทำให้น้ำหนักเธอดีดขึ้นมาอีก แทบลอยด์ชื่อดังก็จะปั่นด้วยคำพูดที่เหมือนจะดูดี แต่ที่จริงมีเจตนาดึงพวก bully มาจิกกัดเรื่องรูปร่างเธอเพื่อดึงยอด view เหมือนกับที่เคยทำมาแล้ว

แต่เมื่อไรล่ะที่คนอื่นจะยอมรับตัวเธอที่เป็นเธอ  ไม่ใช่แค่ตอนที่น้ำหนักลดลงจนเข้ากับมาตรฐานความงาม ?


Selma Blair



แม้ว่าจะป่วยเป็นโรคร้ายจนต้องทำคีโมและสูญเสียการเคลื่อนไหวแบบปกติ  แต่ก็ยังถูกจิกเรื่องผมร่วง


เพราะมีผลงานอย่างต่อเนื่อง คนที่อาจจะไม่ได้ติดตามข่าวคราวของนางเอกดังรายนี้อาจจะประหลาดใจที่ได้ทราบว่า เธอกำลังเจ็บป่วยถึงขั้นที่เริ่มคิดถึงเรื่องความตายแล้ว



เมื่อได้เห็น Selma เดินไปไหนมาไหนด้วยการใช้ไม้เท้าช่วยเดิน หลายคนอาจจะเดาว่า เธออาจจะบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหรือกระดูกชั่วคราว อีกไม่นานก็คงรักษาจนหายดี   แต่แท้จริงแล้วเธอกำลังป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosisหรือโรคเอ็มเอส MS ) ที่อาจจะทำให้เธอเข้าสู่ภาวะทุพพลภาพในอนาคตข้างหน้า
เมื่อต้นปี  Selma ได้ปรากฏตัวที่ Vanity Fair party  ด้วยท่าทางที่ร่าเริง แต่จากภาพนิ่งคงไม่สามารถบอกได้ว่า เธอเดินได้อย่างยากลำบาก  ถึงจุดหนึ่งในการโพสท่า   เธอก็ได้หลั่งน้ำตาออกมา  และได้เปิดเผยภายหลังว่า

" นี่เป็นแสงสว่างที่เป็นสัญญาณบอกว่าชั้นได้มาถึงที่นี่แล้ว อาการของชั้นยังกำเริบอยู่จึงมีความประหม่าขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ชั้นยังไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองเคยทำได้ แต่ชั้นกลับมาทำมันอีกให้ได้ ชั้นเป็นคุณแม่ที่ต้องฝ่าฟันและจะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้มากกว่านี้"


จากการเข้ารับคีโมบำบัด  ผมของ Selma ก็หลุดร่วงออกไป  ผมที่เริ่มขึ้นมาก็กลายเป็นสีเทาทั่วศีรษะ   ในขณะที่เธอพยายามมองโลกในแง่บวกและพยายามยอมรับความเปลี่ยนแปลงว่า เธอคงต้องคอยโกนผมและปล่อยให้หงอกไว้เช่นนั้น  ถึงแม้เธอจะไม่เคยอยากจะได้ทรงผมแบบนี้มาก่อน  แต่การไว้ผมยาวสีเข้มเงางามเหมือนเก่าดูจะยุ่งยากเกินไป   และยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การยอมจำนนต่อโรค


ถึงกระนั้นก็ยังมีคนปากเสียจิกกัดเธอว่า หัวล้านเลี่ยนดูตลก ซ้ำร้ายยังมีคนกล่าวหาว่าเธอแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจ !


ใช่ค่ะ  ความโหดของคนในโลกออนไลน์มาถึงจุดที่โจมตีผู้ป่วยโรค MS ที่เสี่ยงที่จะสูญเสียการงานที่เคยสร้างรายได้สูงลิ่วว่าเป็นการเสแสร้งเพื่อสร้างกระแส   ในขณะที่เธอต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาด้วยความหวังว่าจะไม่กลายเป็นคนพิการและช่วยเหลือตัวเองให้ได้    จากที่เป็นสาวกระฉับกระเฉงก็ต้องสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปทีละอย่าง และต้องเจ็บปวดที่ไม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่เหมือนที่ผ่านมา      แต่กลับถูกบางคนจิกกัดว่าเป็น drama queen ที่ใช้ความสงสารของคนอื่นมาเติมเต็มตัวเอง
นับตั้งแต่ที่เธอเปิดเผยอาการป่วย  และบอกเล่าถึงเส้นทางในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรค MS  เธอกลับถูกวิจารณ์ในทางเสียหายยิ่งกว่าตอนที่ยังแข็งแรงซะอีก   แม้จะมีผู้คนที่คอยให้กำลังใจเธอเป็นจำนวนมาก แต่ก็จะมีความเห็นที่คอยว่าร้ายปะปนอยู่ด้วยและนั่นก็ได้บั่นทอนกำลังใจไปไม่น้อย  อย่างการโพกผ้าเพื่อพรางศีรษะที่โล้นจากการทำคีโมก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นการ "ฉกฉวยทางวัฒนธรรม" จากผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์ ซึ่งนับว่าเป็นการดูหมิ่นทางศาสนา       ทำให้ Selma ต้องชี้แจงว่า การใช้ผ้าพันคอมาโพกผมนั้นปรากฏอยู่ในหลากหลายชาติพันธุ์มาเนิ่นนานแล้ว  เธอไม่ได้เลียนแบบผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์   แต่มันเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงที่ไม่มีผม และเธอก็จะเลือกใส่ turban ตามที่ต้องการต่อไป



ภาพนิ่งของ Selma ที่ดูเต็มไปด้วยความมั่นใจนั้นมีเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก     แต่เธอเชื่อว่า แม้ร่างกายจะเจ็บป่วย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเก็บตัวตัดขาดจากภายนอก  เธอพยายามทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและคนรัก   ดั่งที่ได้เห็นจากภาพอันน่าประทับใจ  เมื่อเพื่อนเก่าแก่อย่าง Sarah Michelle Gellar  มาคอยดูแลช่วยเข็นรถให้เธอในระหว่างที่ไปเที่ยวดิสนียเวิลด์ด้วยกัน
คำว่า Be Kind  ใช้ได้เสมอกับการปฏิบัติต่อคนอื่น    ยิ่งได้เห็นว่า บุคคลนั้นกำลังเจ็บป่วย  สิ่งที่เราควรมอบให้กันคือกำลังใจมิใช่หรือ ?


Sarah Hyland



เธอถูกกล่าวหาว่าคลั่งผอมและเป็นแบบอย่างไม่ดีต่อเด็กผู้หญิง  แต่ความจริงแล้วป่วยหนักจนต้องผ่าตัดปลูกถ่ายไตมาแล้วสองครั้ง
 "ผอมจนน่ากลัว"

"คงคลั่งผอมจนอดอาหาร"

"หัดกินเบอร์เกอร์เข้าไปบ้าง"

คำพูดเหล่านี้ได้ทิ่มแทงจิตใจของนางเอกสาวร่างเล็กจาก Modern Family มานาน ก่อนที่เธอจะเปิดเผยว่า ป่วยเป็นโรคChronic จนอาการวิกฤติแต่ก็รอดมาได้จากการผ่าตัดปลูกถ่ายไตที่พ่อของเธอเป็นผู้บริจาคอวัยวะ แต่เธอก็เริ่มป่วยหนักอีกครั้ง เพราะร่างกายของเธอปฏิเสธไตที่พ่อสละเพื่อช่วยชีวิตเธอเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากอาการที่ทรุดหนักลงทำให้เธอต้องใช้เวลาช่วงคริสต์มาส ปีใหม่ วันขอบคุณพระเจ้า ไปจนถึงวันเกิดอยู่ในโรงพยาบาล และในที่สุดก็พบว่า จะต้องผ่าตัดปลูกถ่ายไตครั้งที่สอง ซึ่งยังมีโชคอยู่มากที่น้องชายของเธอมีไตที่เข้ากับร่างกายของเธอ และเขาก็พร้อมที่จะสละอวัยวะส่วนนี้เพื่อจะช่วยให้เธอได้มีชีวิตต่อไป


ในตอนแรกที่ Sarah ถูกรุมจิกกัดว่าผอมกะหร่องเหมือนคนเป็นโรคปฏิเสธอาหาร เธอได้ใช้พื้นที่บนสังคมออนไลน์โต้ตอบด้วยเหตุผลยืดยาวว่า ปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่ดีนักสำหรับเธอ  ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผย   แต่สักวันหนึ่งเธอจะเล่าเรื่องราวให้ได้รับรู้   แต่เธอยืนยันว่า  เธอไม่สามารถกำหนดรูปร่างของตัวเองได้ว่าจะให้ออกมาเป็นแบบใด     แต่เธอการันตีได้ว่า เธอได้ผ่านอะไรมามากมายเกินกว่าที่คนอื่นจะมองเห็น  กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งเป็นอย่างสูง  และเธอไม่ได้อดอาหารเพราะอยากจะผอมบางอย่างแน่นอน



และในที่สุดเรื่องราวก็เฉลยออกมาว่า  เธอป่วยหนักจนต้องผ่าตัดปลูกถ่ายไตอีกครั้ง

"ชั้นรู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้มีชีวิตอยู่  คุณก็ควรจะรู้สึกเช่นเดียวกํน  อย่าปล่อยให้ความเห็นของคนอื่นทำร้ายคุณได้"     นี่คือคำแนะนำของ Sarah ที่เคยผ่านความเป็นความตายจากอาการไตวายมาก่อน

หลังจากที่ได้เปิดเผยความจริงที่ชวนใจหายไปแล้ว   Sarah ก็เริ่มบอกเล่าเรื่องราวปัญหาสุขภาพของเธอผ่านsocial media เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจ   น้ำหนักที่ลดลงไปต่ำกว่า 40 กิโลกรัมนั้นไม่ได้มาจากความปรารถนาของเธอ  ตรงกันข้าม เธอพยายามเป็นอย่างมากที่จะกลับมาแข็งแรงพอเพื่อแพทย์จะอนุญาตให้เธอออกกำลังกายได้อีกครั้ง   
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร  Haters Gonna  Hate!     สื่ออาจจะทำข่าวใหญ่โตเรื่องอาการเจ็บป่วยของ Sarah   แต่เมื่อเธอไปเดินพรมแดงที่  Vanity Fair Party     และได้โพสท์-ข้อความแบบขำๆว่า "ทำไมต้องไดเอทล่ะ ถ้าเราสามารถอำพรางมันได้"  ชาวเน็ทหลายคนก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีเธอว่า  


- เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อผู้หญิง ในเมื่อผอมอยู่แล้วจะต้องใส่ spanx ทำให้ดูยิ่งผอมไปทำไม

- ทำให้คนที่กังวลเรื่องรูปร่างอยู่แล้วยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีก

- เธอผอมอยู่แล้ว หยุดกังวลเรื่องรูปร่าง และพัฒนาความสามารถจะดีกว่า




spanx เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับแฟชั่นงานพรมแดงแบบไม่ต้องบอกก็ดูออกว่าใครใส่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นคนดังที่มีรูปร่างผอมเพรียวหรืออวบอิ่มก็ผ่านการใส่ spanx มาแล้วทั้งนั้น (แม้แต่สาวที่สูงเพรียวขายาวเหมือนนางแบบอย่าง Gwyneth ก็ใช้ shapewear ช่วยเช่นกัน)
เพราะมันจะสามารถช่วยให้ภาพของอาภรณ์ด้านนอกดูเรียบลื่นไม่สะดุดตาจากขอบชุดชั้นในหรือส่วนเกิน อันเป็นมาตรฐานความงามบนพรมแดงที่ทราบกันดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลือกใส่ spanx เพื่อจะได้ดูผอมลงกว่าเดิม แต่มันเป็นเครื่องมือในการสร้างเส้นสายร่างกายให้ดู smooth นั่นเอง และความเป็นจริงที่สำคัญยอีกอย่างก็คือ หากคนดังเปิดเผยให้เห็นส่วนเกินแม้เพียงนิดเดียวก็จะกลายเป็นเป้าหมายของ body shamer เช่นเดียวกัน

ชาวเน็ทรายหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า เธอผ่านการผ่าตัดปลูกถ่ายไตมาเช่นเดียวกัน และต้องพบกับปัญหารอยแผลเป็นนูนขนาดใหญ่ สิ่งที่จะช่วยอำพรางตอนใส่ชุดรัดรูปได้ก็มีแต่ spanx และ Sarah ก็ได้ตอบกลับว่า ในที่สุดก็มีคนเข้าใจเธอสักที



ลองเปลี่ยนจากการแสดงความเห็นเรื่องรูปลักษณ์คนอื่นในทางลบ มาเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยจะดีไหม

สร้างพลังทางบวก แทนที่จะใช้คำพูดถากถางกันจนอาจเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย หากต้องกระทบกระทั่งกันขึ้นมา


เราไม่อยากเห็นใครต้องมาเสียดายคำพูด หากวันหนึ่งจะต้องสูญเสียมิตรภาพที่ดี หรือมารู้ภายหลังว่า ได้ทำลายจิตใจของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความเสียใจ ดังกรณีของ Chadwick ที่ถูกยัดเยียดภาพที่ย่ำแย่ ทั้งๆที่กำลังทุกข์ทรมานจากโรค เมื่อเขาจากโลกนี้ไป จะรู้สึกผิด ก็สายเกินจะขอโทษ

แล้วยังมีคนที่เจ็บป่วยทางจิตใจ พวกเค้าอาจจะรู้สึกเหมือนยืนบนปากเหว คำพูดคะนองปากจากใครบางคนอาจจะกลายเป็นมือผลักให้ตกลงไปในความมืดมิดก็เป็นได้


เราไม่มีทางรู้เลยว่า คนที่ต้องทนฟังความเห็นร้ายๆต้องผ่านอะไรมาบ้าง


หยุด Bully สักที



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE