4พฤติกรรมเหยียดเชื้อชาติที่แนะว่า "อย่าหาทำ"

59 7
ในโลกที่ถูกย่อส่วนให้เชื่อมหากันได้ภายใต้การขยับปลายนิ้วมือเพียงไม่กี่ครั้ง   การส่งผ่านวัฒนธรรมจากคนละฟากโลกอย่างรวดเร็วได้เพิ่มศักยภาพให้กับวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมได้อย่างไม่สิ้นสุด

แต่การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมนั้นก็ยังมีพื้นแสนเปราะบางที่พวกเราควรต้องทำการเรียนรู้สร้างความเข้าใจ   คุณไม่จำเป็นต้องค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในห้องสมุด  แต่สามารถเสาะหาได้อย่างง่ายดายตามแหล่งความรู้ที่ได้รับความน่าเชื่อถือทาง internet   และสามารถเปิดใจยอมรับถึงความแตกต่างเพื่อลดความขัดแย้งทางเชื้อชาติอันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม


เมื่อใดที่ได้พบเห็นดราม่าจากความขัดแย้งของ race ต่างๆ  หลายคนที่อาศัยอยู่ในเอเชียอาจจะเคยนึกสงสัยว่า  เพราะอะไรพฤติกรรมที่ทำห้เกิดกระแสโจมตีนั้นจึงถูกจัดให้เป็นการเหยียดเชื้อชาติ    

ใช้ N Word


คำถามสุดฮิตที่คนผิวดำหลายคนจะต้องคอยชี้แจงซ้ำๆคือ เพราะอะไร N Word จึงเป็นเรื่องต้องห้ามของคน race อื่นที่ไม่ใช่ผิวดำ เมื่อนานมาแล้ว เราเคยคิดสงสัยเช่นกันว่า...


- ทำไมคำนี้จึงถูกเซนเซอร์ในสื่อต่างๆ อย่าว่าแต่การออกเสียง แต่จะพิมพ์เป็นคำตรงๆก็ต้องเซนเซอร์เหลือไว้แต่ตัว N ละไว้ในฐานที่เข้าใจ

- ในเมื่อคนผิวดำและลูกครึ่งผิวดำสามารถใช้คำนี้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในชีวิตประจำวันและผลงานทางดนตรี แต่คนเชื้อชาติอื่น หากร้องเพลงแร็พตามทุกคำกลับสร้างความขัดแย้งทางเชื้อชาติได้ทันที








เรื่องนี้มีคำตอบที่ไม่ซับซ้อน N word เคยเป็นศัพท์ที่เปรียบเหมือนตราบาปของทาสผิวดำผู้เป็นบรรพบุรุษของคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และถูกมองว่าเป็นเพียงแรงงานที่ไม่มีควรค่าที่จะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับมนุษย์เป็นเวลาหลายร้อยปี แม้ว่าจะได้รับการปลดปล่อยเพื่อให้ใช้ชีวิตในฐานะเสรีชน แต่ก็ยังต้องทุกข์ทรมานจากตราบาปที่คนขาวยัดเยียดให้ต่อไปอีกหลายสิบปี แม้ว่าคนรุ่นหลังจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างทาสที่ซื้อขายได้ราวกับสัตว์ที่นำมาใช้แรงงานได้เหมือนในอดีต แต่ภาพการต่อสู้อย่างยืดเยื้อเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมกันก็ทำให้มีการส่งต่อแนวคิดปลดแอกจากรุ่นสู่รุ่น และนำไปสู่การตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมา N word กลายมาเป็น racist slur ที่ผู้คนต้องระมัดระวังไม่ให้หลุดปากออกมา


ในเมื่อมันเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะอะไรชุมชนคนผิวดำจึงนำคำนี้มาใช้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ?


Professor Neal Lester แห่งArizona State University ได้อธิบายว่า คนดำบางกลุ่มถือว่านี่คือการแสดงความเป็นขบถต่ออคติเดิมๆที่เหยียดหยามคนดำด้วยคำนี้ และหลายคนถือว่านี่คือการทวงคำนี้คืนมา ในขณะที่มันเป็นเหยียดผิวสำหรับคน race อื่น แต่พวกเค้าสามารถใช้คำนี้เพื่อแสดงความรักผูกพันในกลุ่มเพื่อนพ้อง

หากให้เปรียบเทียบ อาจจะเหมือนกับกับคำว่า Faggot ที่ถือเป็นคำหยาบคายเหยียดเพศทางเลือก แต่ในชุมชนชาวเกย์ได้นำคำนี้มาใช้เรียกกันเองในแง่ที่มีอารมณ์ขัน    เกย์หลายคนอาจจะเรียกเพื่อนว่า "อีตุ๊ด" ด้วยความสนุกสานและแสดงความผูกพันในกลุ่มเดียวกัน   แต่หากคนนอกกลุ่มมาจิกกัดเรียกด้วยคำเดียวกัน  มันอาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป  (  แม้หลายคนจะไม่ถือ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนั้น)
เมื่อJustin Bieber ได้เติบใหญ่   เขาได้หวนรำลึกถึงความผิดพลาดจากการพูด  N Word ว่า  "ตอนที่ผมยังเด็ก  ผมไม่ได้รับการเรียนรู้และได้พูดคำที่ร้ายแรงออกมาโดยคาดไม่ถึงว่า คำพูดของผมจะส่งผลเสียเช่นไร "      เขาเรียกร้องให้แฟนๆต่อต้านการเหยียดผิวและสนับสนุนความเท่าเทียม  ช่วงที่สื่อแฉด้วยคลิปนี้   Justin ได้ติดต่อหา Usherและ Will Smith ให้ช่วยชี้นำเพื่อให้เขาวางตัวได้เหมาะสม ไม่สร้างประเด็นฉาวเรื่องเหยียดผิวอีกต่อไป  







ในขณะที่ K Pop โด่งดังไปไกลถึงโลกตะวันตก และแฟนๆอีกซีกโลกก็ได้คาดหวังว่า ศิลปินจะแสดงออกเข้ากับแนวคิดที่เป็นสากลไปด้วย    ทันทีมีคนปล่อยวีดีโอของ Bam Bam แห่ง Got7 พูด  N Word ในparty  โลกออนไลน์ก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที      ในขณะที่มีแฟนๆหลายคนออกโรงปกป้องว่า เขาไม่ได้พูดออกมาในด้วยเจตนาเหยียดเชื้อชาติ และไม่ได้รู้ถึงที่มาว่าคำนี้เป็นคำต้องห้ามไม่ต่างกับชาวเอเชียน     แต่ก็มีเสียงแย้งตามมาว่า     ในเมื่อ K Pop รับวัฒนธรรม Hip Hop มาไม่น้อย  และยังขยายตลาดไปถึง USA แล้ว  ศิลปินและต้นสังกัดก็ควรจะเรียนรู้เรื่องนี้เพื่อป้องกันกระแสต่อต้านไว้ด้วย
ถ้ากวาดตามองใน social media  จะพบว่าดนตรี K Pop มีแฟนๆผิวดำเพิ่มขึ้นมาก   เมื่อศิลปินมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางเชื้อชาติ  แน่นอนว่าพวกเค้าจะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา  และส่วนมาก จะเห็นไปในทางเดียวกันคือ  แม้จะไม่ปลื้มที่เห็นคนrace อื่นพูด N Word   แต่ก็ควรจะตักเตือนกันดีๆ  และชี้แจงถึงที่มาที่ไปอย่างสุภาพ  โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติที่อาจจะเข้าใจปิดว่าการใช้  N Word เป็นเรื่องโก้เก๋  


ทาง Bam Bam เองก็ได้ขอโทษต่อสิ่งที่ทำลงไป และดูเหมือนว่าจะได้เรียนรู้จากดราม่านี้ไม่ต่างไปจาก Justin Bieber   







ดึงหางตาให้หยีเพื่อสื่อว่าเป็นลุคของชาว East Asian

นี่คือพฤติกรรม bully ที่ชาวเอเชียนที่อาศัยในโลกตะวันตกต้องรับมือ  โดยเฉพาะผู้ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับคนประเทศแถบเอเชียนตะวันออก   การได้พบกับเด็กทะโมนที่แสร้งทำเป็นพูดจีนมั่วๆและเรียกพวกเค้าว่า Chink  ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแหวกแนวแต่อย่างใด   หนักเข้าก็หยีตาหรือดึงหาตาให้เล็กเฉียงใส่


แน่นอนว่า พฤติกรรมนี้ ไม่ได้มาจากความเข้าใจผิดหรือขาดความรู้ความเข้าใจเหมือนกับกรณีชาวต่างชาติใช้ N Word มันคือความตั้งใจล้อเลียน เปี่ยมไปด้วย energy ด้านลบ


ตาเล็ก ไม่ใช่เครื่องมือสร้างเสียงหัวเราะ  แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง ลักษณะทางกายภาพของชาวเอเชียนดูจะทำให้พวกเค้าบันเทิงใจเหลือเกิน
ตอนที่ Miley ยังเป็นซุปตาร์วัยทีน  ได้มีคนนำภาพนี้ออกมาโจมตีว่า  เธอและผองเพื่อนกำลังล้อเลียนคนเอเชียน (น่าจะเป็นหนุ่มคนที่สองจากด้านซ้าย)    และเมื่อมีกระแสโจมตี  เธอกลับให้เหตุผลง่ายๆว่า แค่ทำหน้าเอ๋อๆอยู่ ไม่ได้ล้อเลียนใครสักหน่อย   แหม  แต่นั่นก็ไม่ได้อธิบายเลยว่า เหตุใดเพื่อนเธอทุกคนจึงดูสนุกสนานกับการหยีตาให้เล็ก    แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อน Cancel Culture จะไม่ดุเดือดเหมือนกับปัจจุบัน    แต่ก็มีหญิงเชื้อสายเอเชียนลุกขึ้นมาฟ้องร้องเธอที่ล่วงละเมิดชาวเอเชียนและเรียกค่าเสียหายถึงสี่พันล้านสำหรับชาวเอเชียนที่อาศัยใน LA  แม้ฟังดูแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกร้องเงินมากมายจากภาพนี้และศาลก็ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า Miley ไม่ได้ก่อความเสียหายให้กับชาวเอเชียน    แต่หลายเดือนต่อมา เธอก็ได้ออกมาประกาศขอโทษ

มันอาจจะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที Gigi  Hadid  หยีตาเลียนแบบขนมรูปพระพุทธเจ้า  แต่มันนำข้อกล่าวหาว่าเธอเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติตามมา   และว่ากันว่า  นี่เป็นสาเหตที่ทำให้เธอจำใจต้องถอตัวจากการเดินแบบ VS Show ที่จัดขึ้นในปักกิ่ง  (มีเสียงร่ำลือว่า รัฐบาลจีนban ไม่ให้เธอเข้าประเทศอย่างไม่มีกำหนด)


การล้อเลียนตาของชาวเอเชียนเป็นสิ่งที่พบได้ในประเทศทางอเมริกาใต้  บางคนอ้างว่า ทำไปเพื่อแสดงความชื่นชมชาวเอเชียน   แต่หากถามประสบการณ์ของผู้ที่ถูกล้อเลียนมาตั้งแต่เด็กจนโต  รวมไปถึงกิริยาของนักกีฬาเอเชียนที่ถูกคู่แข่งแสดงท่าทางเช่นนี้เพื่อเยาะเย้ยและดูแคลนในระหว่างเกม  มันไม่มีทางจะเป็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความชื่นชม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กระทำถูกปรับจากสมาคมกีฬาและบีบให้ออกมาขอโทษที่ล่วงละเมิดคู่แข่งจากการเหยียดผิวอย่างโจ่งแจ้ง
บอกเลยค่ะว่า  นักกีฬาเอเชียนจะเจอเรื่องพวกนี้แทบทุกวงการกีฬาในระดับนานาชาติ  ฟุตบอล เทนนิส ฟันดาบ วอลเลย์บอล เบสบอล  บาสเกตบอล   ทั้งๆ ชาวเอเชียนจำนวนมากมายได้ระบายความรู้สึกว่ารู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น และมีกรณีตัวอย่างที่นักกีฬาถูกแบนจากการแข่งขันและปรับเงินแล้ว  แต่ยังมีอีกหลายคนที่สนุกสนานกับการกระทำนี้
ลองนึกภาพสิ่งที่ Giannie Lee  นักสตรีมเกมเชื้อสายเกาหลีต้องเจอใน Germany   อยู่ดีๆก็มีชายสองคนเข้ามาก่อกวนทำเสียงเลียนแบบภาษาชาวเอเชียนและดึงหางตาใส่อย่างกับเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก    เธอตักเตือนไปว่า นี่เป็นการเหยียดผิว  และขอให้หยุดการกระทำนี้ซะ เธอรักประเทศนี้ อย่าทำให้เสียความรู้สึกเลย   แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายหาได้แคร์แต่อย่างใด   (และนั่นไม่ใช่ครั้งเดียวที่เธอถูกล้อเลียนเรื่องความเป็นเอเชียนตอนกำลัง live ในที่สาธารณะที่ Germany)




ใช้คำว่าลิงเปรียบเทียบกับคนraceต่างๆ



ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะเปรียบเทียบเด็กๆที่ว่าซุกซนเหมือนลิง    แต่ถ้าคุณไปเปรียบเทียบคนเชื้อชาติอื่นว่าเป็นลิง  มันอาจจะบานปลายไปเรื่องใหญ่เหมือนกับ H&M  ที่ shop ในแอฟริกาใต้ถูกผู้ประท้วงทำลายเสียหาย 

การใช้คำพูดและแสดงท่าทางถากถางคนดำว่าเป็นลิงคือการหยามเกียรติอย่างร้ายกาจ   เพราะแม้ว่ายุคสมัยในการปกครองทาสผิวดำจะจบไปนานแล้ว  แต่การส่งผ่านความคิดแบ่งแยกทางเชื้อชาติจากรุ่นสู่รุ่นก็ทำให้ยังมีคนใช้พฤติกรรมนี้ทำร้ายผู้อื่นอยู่


การเปรียบว่าคนอื่นเป็นสัตว์เดรัจฉานย่อมจะสร้างความเจ็บแค้นใจให้อีกฝ่าย   คุณอาจจะยืนยันว่า  เป็นคำพูดที่แสดงถึงความเอ็นดู  ไม่ได้จงใจเหยียดรูปลักษณ์และเหยียบหัวให้พวกเค้าอยู่ต่ำต้อยกว่ามนุษย์ที่มีสติปัญญา    แต่มันก็อาจจะนำมาสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้


นักแสดงตลกในตำนานอย่าง  Dave Chappelle  เคยถูกชายผิวขาวปาเปลือกกล้วยใส่ ระหว่างการแสดง  เขาถูกตำรวจจับแม้จะยืนยันว่า ไม่ได้ปาเปลือกกล้วยใส่ศิลปินผิวดำเพราะเหยียดผิว     เรื่องราวกลับมาฮือฮาอีกครั้งเมื่อเขาลุกมาฟ้องตลกชื่อดัง ทั้งๆที่เป็นฝ่ายถูกจับกุม   แต่ก็แพ้คดี


นักฟุตบอลผิวดำหลายคนในลีคยุโรปต้องรับความกดดันจากคนดูฝั่งตรงข้ามที่ปากล้วยใส่และส่งเสียงคล้ายลิงเพื่อข่มขวัญระหว่างเกม  บางคนสามารถตั้งสติแล้วจับกล้วยมากินเย้ยพวก troll แต่ก็มีคนที่เครียดหนักถึงกับต้องหลั่งน้ำตา 
มือปากล้วยใส่นักฟุตบอลผิวดำในItaly ทำให้องค์กรต้องเข้ามาจัดการลงโทษสโมสรที่ไม่สามารถควบคุมปัญหาการเหยียดผิวได้  เป็นเวลาหลายปีที่มีการรนณรงค์ต่อต้านการเหยียดผิว  แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างถอนรากถอนโคน





Blackface



ไม่ได้แตกต่างกับ slanted eyes gesture ผู้คนหลายมุมโลกยึดมั่นว่า ผิวดำคือสัญลักษณ์แห่งความไม่โสภา นำมาเป็น costume เพื่อเรียกเสียงหัวเราะ ส่วนที่อีกมุมหนึ่งมีสายตาของคนดำที่มองมาที่การเลียนแบบผิวดำที่สื่อออกมาในโทนเยาะเย้ย และต้องตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า

"ความมีตัวตนของพวกเค้ามันชวนตลกขบขันยังไง"


เมื่อย้อนกลับไปในจุดแรกเริ่มของการแต่ง blackface ที่ได้จับคนขาวมาเลียนแบบคนดำเพื่อแสดงโชว์สุดขำขัน  เป็นการใช้ประโยชน์จากผิวดำแบบปลอมๆ  ในขณะที่คนดำเองยังต้องทนทุกข์จากการกดขี่ให้เป็นทาส   โชว์แบบนี้ได้ถูกล้มล้างไปแล้ว  แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดถูกถอนรากถอนโคน  โดยเฉพาะในเอเชีย คุณสามารถพบกับ blackface ตามรายการ TV  โฆษณาต่างๆ  แต่เป็นเพราะว่าเราได้เข้าสู่ยุคที่โลกถูกเชื่อมต่อกันด้วย internet  เมื่อมีการแต่ง blackface เมื่อใด  ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงโจมตีจาก netizen นานาชาติ


สื่อในประเทศSingapore ยอมรับเสียงวิจารณ์ต่อต้านและถูกปรับเงินจากการนำเสนอ content ที่มี blackface  แต่สำหรับในจีนที่ดูเหยียดคนดังจนกลายเป็น viral ทั่วโลกมาแล้วได้ยืนยันว่า การที่พวกเค้าจับนักแสดงเอเชียนมาแต่งเป็นคนดำเพื่อแสดงบทที่ขำขัน และให้นักแสดงผิวดำมารับบทเป็นลิงไม่ใช่เรื่องเหยียดผิวแต่งอย่างใด


แม้กระทั่ง Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีแห่ง Canada ที่สร้างความนิยมในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่มีวิสัยทัศน์ก็ต้องตกเป็นเป้าหมายโจมตีเมื่อถูกเผยแพร่ภาพตอนที่เขาแต่งแฟนซีสำหรับงาน Arabian Night    แม้จากเครื่องแต่งกายจะเห็นชัดว่าแต่งเลียนแบบชาวอาหรับ   แต่ใบหน้าที่ทาสีเข้มนั้นกลายเป็นเหตุให้เจ้าตัวต้องแถลงการณ์ชี้แจงและขอโทษประชาชนยืดยาว       จากนั้นก็มีการเปิดเผยภาพตามมาอีกว่า เขาเคยแต่ง blackface ในโอกาสอื่นมาแล้ว   เรียกได้ว่าภาพพจน์สั่นคลอนไปบ้างทีเดียว

เทศกาล Zwarte Piet ของ  Holland ที่ไม่ใช่ว่าชาว Dutch จะเห็นดีเห็นงามไปหมดทุกคน  แม้แต่ในวีดีโอ America First - The Netherlands Second ที่ทำมาล้อเลียน Donald Trump จนกลายเป็น viral เค้าก็ยังจิกกัดตัวเองว่ามีเทศกาลที่เหยียดผิวมากสุดๆ

และจำนวนผู้ประท้วงให้ยุติเทศกาลนี้ก็มีเพิ่มขึ้นทุกๆปี

ลองจินตนาการภาพของชาวต่างชาตินำรูปลักษณ์ของคนไทยไปแต่งแล้วนำเสนอออกมาเป็นตัวตลกเป็นเวลายาวนานเป็นร้อยๆปีดูสิคะ  


นี่เป็นเพียงพฤติกรรมส่วนน้อยที่แสดงถึงการแบ่งแยกและเหยียดหยันผู้ที่มีความแตกต่าง ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในฝั่งตะวันออกของโลกใบนี้ และอาจจะเคยแสดงออกอย่างไม่เหมาะสมออกไปเพราะขาดความรู้ แต่โลกที่ไร้พรมแดนได้เชื่อมต่อให้ผู้คนร่วมเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเราคงไม่ทุรนทุรายหากไม่ได้พูด N Word - ทำตาหยีล้อคนเอเชียน - ปากล้วยใส่คนดำ - blackface อย่างสนุกสนาน

เชื่อเราเถอะว่า การเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นง่ายกว่ากันเยอะเลย



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE