เมื่อไม่นานมานี้เวฟมีโอกาสไปตรวจสภาพผิวกับ Lancome คิดว่าเพื่อนๆน่าจะทราบข่าวกันมาบ้างแล้ว หลังจากที่เวฟทราบข่าว ก็ตื่นเต้นและแอบมีกังวลร่วมด้วย ที่กังวล คือ เวฟกลัวผลลัพธ์หลังการตรวจผิว ยิ่งทางแบรนด์เคลมมาว่า เครื่อง Skin Screen รุ่นใหม่นี้สามารถวิเคราะห์สภาพผิวได้ถึง 3 ระดับชั้นผิวหนัง เวฟแอบคิดในใจนะว่า ควรไปต่อ หรือถอยกลับ กล้าๆกลัวๆ กลัวรับสภาพผิวหน้าตัวเองไม่ได้
สำหรับรีวิวนี้ เวฟขออนุญาตเล่าเป็นบรรยกาศและสอดแทรกสาระดีๆจากการที่เวฟไปตรวจสภาพผิวกับ Lancome ด้วยเครื่อง Skin Screen ที่ทางแบรนด์ยืนยันว่า สามารถตรวจผิวได้ถึง 10 มิติ อันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทางลังโคมที่ผสานเทคโนโลยี ไตรโพลาร์ไลท์ ผนวกกับระบบการวิเคราะห์ผิวสุดล้ำ ด้วยความที่เป็นลิขสิทธิเฉพาะ เวฟจึงไม่สามารถถ่ายถอดข้อมูลเกี่ยวกับระบบการทำงานของเจ้าเครื่อง Skin Screen ให้เป็นรูปธรรมได้ชัดเจนกว่านี้ครับ เวฟขอสรุปให้ง่ายๆว่า เครื่อง Skin Screen ของลังโคมตัวนี้ คือ ความล้ำหน้าที่สุดสำหรับการตรวจสภาพผิว ณ ตอนนี้ครับ
มาเริ่มตรวจสภาพผิวกัน...สำหรับเวฟ ครั้งแรกที่เห็นเครื่อง
Skin Screen มันก็ไม่ได้แตกต่างจากเครื่องตรวจผิวโดยทั่วไป หากแต่มีตัวถ่ายรูปและเก็บตัวอย่างสภาพผิวได้รอบด้าน เวลาใช้ก็แสนจะง่าย เอาคางและหน้าผากวางตรงบริเวณที่เครื่องกำหนด ปิดตา และถ่ายรูปบันทึกสภาพผิว (เรื่องความสะอาดของเครื่องมือตรวจผิว เวฟขอมาการันตีว่า สะอาด มีการทำความสะอาดให้ก่อนที่จะใช้บริการทุกครั้งครับ คนที่เป็น OCD กลัวความสกปรกแบบเวฟ หายห่วงได้เลย เวฟต้องขอขอบคุณผู้เชียวชาญการตรวจผิวด้วยเครื่อง Skin Screen 10 มิติ ที่ทำความสะอาดเครื่องตรวจผิวก่อนทุกครั้ง จนไม่ต้องกังวลครับ)
ขั้นตอนในการตรวจสภาพผิว จะเริ่มที่การถ่ายรูปผิวหน้า 3 มุมครับ ได้แก่ หน้าตรง แก้มซ้าย และแก้มขวา โดยการบันทึกสภาพผิวเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ จะทำการถ่ายเก็บตัวอย่างสภาพผิวทั้งหมด 9 ครั้ง โดยมีแสงแฟลชและไฟด้วยกัน 3 แบบ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- แสงสีขาว (White Light) : ตัวนี้ใช้แสดงผิวชั้นบน
- แสงโพลาไรซ์ (Cross Polarized) : ใช้ตรวจวัดสภาพผิวระดับชั้นใต้ผิวหนัง
- แสงยูวี (UV Light) : ใช้ตรวจสอบผิวชั้นลึก แสงในลำดับนี้จะทำให้ผิวหน้าอุ่นขณะถ่ายเก็บภาพตัวอย่างผิว ตรงนี้ไม่มีอันตรายต่อผิวหน้านะครับ
หลังจากผ่านขั้นตอนการเก็บบันทึกภาพสภาพผิวหน้าของเราแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับใช้ประกอบการประมวลผล โดยจะอิงจากเพศ อายุ เฉดสีผิว ประเภทผิว ลักษณะการปรนนิบัติผิว ว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง เรียกง่ายๆว่า การสอบถาม Skincare Routine ของเรานั่นเอง รวมถึงการตอบคำถาม ว่าด้วยข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิว ในส่วนการตอบข้อกังวลปัญหาผิว สามารถเลือกได้ 6 ตัวเลือกครับ สำหรับสภาพผิวของเวฟ เวฟเป็นกังวลในเรื่อง ผิวขาดน้ำ ริ้วรอย จุดด่างดำ ริ้วรอยรอบดวงตา ใต้ตาหมองคล้ำ และขาดความกระจ่างใส
โดยข้อมูลส่วนตัวจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลเดิมที่มีการเปรียบเทียบสภาพผิวจากกลุ่มตัวอย่าง 20,000 คนในช่วงอายุที่ต่างกัน ซึ่งผลการประเมินผิวของเรา จะถูกนำเสนอค่าผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ผ่านการเปรียบเทียบข้อมูลสภาพผิวในกลุ่มคนช่วงอายุเดียวกัน เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว ก็จะไปสู่ขั้นตอนการอ่านผลลัพธ์หรือผลวิเคราะห์ผิวในระดับ 10 มิติ ดังนี้
- จุดด่างดำ
- ความชุ่มชื้น
- ความกระชับ
- ความเรียบเนียน
- รูขุมขนอุดตัน
- รูขุมขนกว้าง
- ผลกระทบของรีงสี UV
- รอยแดง
- จุดด่างดำที่เกิดขึ้นใหม่
- ริ้วรอย
โดยผลการวิเคราะห์จะถูกแสดงโดยการเรียงลำดับที่ จากปัญหาผิวที่มีมากที่สุดไปน้อยที่สุดครับ และค่าเปอร์เซ็นต์ที่แสดงในผลวิเคราะห์ คือ ตัววัดสภาพผิว ถ้าได้เปอร์เซ็นต์ต่ำๆ นั้นหมายความว่า ผิวต้องได้รับการดูแลโดยด่วน หรือจะสังเกตจากแถบสีในกราฟผลวิเคราะห์สภาพผิวก็ได้ครับ โดยสีเขียว คือ ผลลัพธ์ของสภาพผิวที่ดี แย่ลงมาหน่อยก็จะเป็นสีเหลือง แต่ถ้ามีผลลัพธ์แสดงในเส้นกราฟสีแดง นั่นหมายความว่า ถึงเวลาที่เราต้องใส่ใจการดูแลผิวหน้าอย่างจริงจังครับ (การอ่านกราฟไม่ยากเลย 0% คือ ผิวแย่ควรได้รับการปรนิบัติที่เหมาะสม - 100% แสดงว่าสภาพผิวดีเยี่ยม ซึ่งผลที่ได้ในแต่ละมิติหลังการตรวจสภาพผิว ผู้เชียวชาญจะช่วยเราวิเคราะห์ไปทีละมิติ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ )
หลังจากที่ได้ผลวิเคราะห์ผิวแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยอธิบายสภาพและปัญหาของผิว โดยดูไปที่ละมิติ รวมทั้งหมด 10 มิติครับ เราจะเห็นได้เลยว่า บริเวณไหนของผิวที่มีปัญหา หรือกำลังจะมีปัญหา และต้องรีบรับการบำรุงอย่างเร่งด่วน เวฟขอเปรียบเทียบเครื่อง Skin Screen 10 มิติ เป็นเสมือนเครื่องชี้นำในการปรนนิบัติผิวก็ว่าได้
หลังจากที่เราทำความเข้าใจสภาพผิวผ่านผลวิเคราะห์ทั้ง 10 มิติแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยแนะนำการดูแลผิว ผ่านโปรแกรมปรินิบัติผิว โดยจะช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ เพื่อให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาผิวได้ตรงจุดมากที่สุดครับ ตรงนี้ไม่มี Hard Sell เลยครับ คือ ไม่ต้องกังวลว่าไปรับบริการตรวจผิวแล้วจะต้องซื้อสินค้า ถ้าพึงพอใจ อยากลองสัมผัสผลลัพธ์ เปิดประสบการณ์ดีๆกับลังโคม ก็อยากให้ได้ลองผลิตภัณฑ์กันครับ แต่ถ้าใครที่ยังไม่พร้อม ก็สามารถนำความรู้จากการตรวจสภาพผิวไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผิวในชีวิตประจำวันได้ครับ เวฟขอมายืนยันว่า ผู้เชี่ยวชาญน่ารักทุกคนครับ
ใครมีเวลาว่างก็ไปลองตรวจสภาพผิวกับลังโคมกันดูนะครับ เครื่องนี้ใช้งานง่ายๆ ไม่ต้องลบเมคอัพ สะอาด ให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที รู้สภาพผิวตัวเอง จะได้ดูแลผิวได้ตรงจุดด้วยครับ
เวฟได้อะไรจากการตรวจผิวในครั้งนี้...
สิ่งที่เวฟได้ในการตรวจสภาพผิวครั้งนี้ คือ รู้ว่าจุดไหนที่เราจะต้องใส่ใจมากยิ่งขึ้น และจุดไหนที่เรารักษาได้ตรงจุดและดีแล้ว ตัวอย่างเช่น เวฟมีปัญหาเรื่องผิวขาดน้ำ ความชุ่มชื้นของผิวยังไม่ดีนัก จุดนี้พอจะทราบถึงสาเหตุได้ เนื่องจากปัจุบันเวฟยังคงใช้ตัวยารักษาสิวอยู่ จึงมีผลต่อสมดุลน้ำในผิว ทำให้ขาดความชุ่มชื้น แม้จะมีการบำรุงดีแล้วก็ตาม ในขณะเดียวกัน เวฟก็ดีใจที่ปัญหาเรื่องริ้วรอย เมื่อเปรียบเทียบกับคนช่วงอายุเดียวกันพบว่า ริ้วรอยยังไม่ใช่ปัญหาของผิว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คงการดูแลเช่นเดิมต่อไป
จบแล้วครับ สำหรับประสบการณ์ดีๆที่เวฟได้ไปสัมผัสมาผ่านการตรวจวิเคราะห์ผิวด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Lancome Skin Screen
แล้วอย่าลืมมาเชคสภาพผิวกันนะครับ
ขอบคุณครับ