บอกเล่าเรื่องราวปรากฏการณ์ความคลั่งไคล้ Di-Mania

53 7


การนำเสนเรื่องราวของราชวงศ์อังกฤษด้วยการตีความแบบ The Crown ได้เรียกสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทุก season เมื่อได้เห็นบทบาทการแสดงของนางเอกคนสวยที่เนรมิตรูปลักษณฺให้ดูใกล้เคียงกับเจ้าหญิงก็น่าจะทำให้แฟนๆเพลิดเพลินการติดตามชมกับ The Crown กันพอดูทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ซีรีส์ไม่ได้ขยายความชัดเจนนัก นั่นคือ สาเหตุของความนิยมในตัวเจ้าหญิงที่อยู่ในระดับปรากฏการณ์ มิใช่เพียงความเห่อเพียงชั่วครั้งชั่วคราว จากที่เคยมีคนเข้าใจว่า เธอดึงดูดความสนใจอย่างล้นหลามเพราะเป็นชายาของรัชทายาทแห่งราชวงศ์อังกฤษ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนมากมายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เธอสร้างชื่อ "เจ้าหญิงแห่งปวงชน" โดยไม่ได้อยู่ในเงาของราชวงศ์ แต่ส่องประกายเจิดจรัสมาตั้งแต่ต้น


เป็นเพราะว่าความงามของเธอ ?
หรือจะเป็นการแต่งกายที่โดดเด่นระดับ fashion icon ?
หรือว่าการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้คน?


เราจะมาขยายให้เห็นชัดๆว่าปรากฏการณ์ Di-Mania นั้นเป็นเช่นไร   ลองติดตามได้เลยค่ะ



สร้างความคลั่งไคล้ตั้งแต่ยังไม่เข้าวังด้วยรูปโฉมอันงดงามโดดเด่น



เลดี้ Diana Spencer ไม่ได้สืบเชื้อสายราชวงศ์ แต่มาจากตระกูลเก่าแก่ที่เคยมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษมาหลายร้อยปี มีหญิงสาวสามัญชนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เสกสมรสกับผู้สืบบัลลังก์กษัตริย์อังกฤษ และนั่นทำให้หญิงสาวที่ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่ราชินีอังกฤษได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนไปด้วยความคาดหวังในคุณสมบัติที่ดีพร้อมต่อสถานะที่สูงส่งในอนาคต

แต่พื้นเพที่ไม่ได้เป็น "เจ้า" นั่นเองที่ทำให้เลดี้ Diana ในวัยเพียง19 โด่งดังล้ำหน้าใครๆ



บางคนอาจจะเคยนึกภาพไว้ว่า เจ้าหญิงและเจ้าชายในชีวิตจริงจะต้องมีรูปโฉมสวยงามไม่ต่างจากในเทพนิยาย แต่ในความเป็นจริง แม้จะมีเชื้อพระวงศ์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความงาม แต่นักวิชาการได้ชี้ให้เห็นว่า การจับคู่ให้กับทายาทราชวงศ์เสกสมรสทางการเมืองและรักษาสายเลือดกษัตริย์ให้"บริสุทธิ์" นั้น ทำให้เหล่าราชวงศ์ยุโรปเห็นดีเห็นงามกับการเสกสมรสในเครือญาติ ส่งผลต่อการถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกไม่โสภานัก เมื่อราชวงศ์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคโมเดิร์นที่มีความเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว การเสกสมรสแบบคลุมถุงชนกับเชื้อพระวงศ์ที่เป็นเครือญาติใกล้กันเพื่อรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองได้สูญหายไป และหลายคนก็ได้เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อราชวงศ์ได้ยอมรับในการเกี่ยวดองกับสายเลือดสามัญชน ทายาทรุ่นหลังกลับมีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นดึงดูดใจ ไม่ถูกล้อเลียนเหมือนในอดีต


เมื่อมีการเปิดเผยโฉมหน้าเลดี้สาวผู้เอาชนะใจรัชทายาทแห่งราชวงศ์อังกฤษได้ ผู้คนก็แสนจะตื่นเต้นกับรูปโฉมของเธอ เพียงแค่เห็นภาพนิ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เธอดูงดงามสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไป

ดวงตากลมโตสีน้ำเงินเจิดจ้า
ผมบลอนด์ที่แม้จะซอยสั้นแต่ก็ดกหนาชวนอิจฉา
รูปร่างที่สูงเพรียวพอๆกับนางแบบ
รอยยิ้มเอียงอายแต่ก็ดูพึงพอใจ


นั่นทำให้ผู้คยกล่าวขวัญว่า เลดี้ Diana คือ sunshine ท่ามกลางภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาของเชื้อพระวงศ์แทบจะทันที!




Star Quality

ในยุคที่ไร้ social media ที่สามารถให้คนทั้งโลกเชื่อมโยงกันได้แค่ปลายนิ้วคลิก  ผู้คนต่างพยายามติดตามข่าวคราวของเจ้าหญิง Diana ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ กระแส Diana Fever ได้พุ่งแรงไม่หยุดยั้ง หลังจากพิธีเสกสมรสอันยิ่งใหญ่  และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าหญิงแห่ง Wales  ก็มีเสียงบอกเล่าปากต่อปากว่า  ภาพนิ่งว่าดูสวยน่ามองแล้ว  ยิ่งมีโอกาสพบตัวจริงจะได้สัมผัสถึงเสน่ห์ที่ทำให้ต้องหลงรัก
เจ้าชาย  Charles เคยชื่นชมเธอไว้ว่า ช่างเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงแจ่มใสที่สร้างความประทับใจให้ไม่ลืมเลือน      และนั่นตรงกับคำพูดของคนใกล้ชิดและผู้ที่เคยติดตามเธออย่างไม่ผิดเพี้ยน   เจ้าหญิง Diana ได้ให้อธิบายคำนิยามของ English Rose  อย่างชัดเจน ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งของวัยสาวทำให้เธอแก้มแดงอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อได้ยินคำพูดชื่นชมหรือมุกตลกถูกใจ  รอยยิ้มนั่นเล่าก็เป็นการยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึก   ยิ้มด้วยด้วยตาที่ดูระยิบระยับ มิใช่การแสแสร้งทำตามมารยาทและสร้างความอบอุ่นให้กับผู้ที่พบเห็นอย่างเป็นธรรมชาติ

ทุกครั้งที่เจ้าหญิงปรากฏตัวท่ามกลางผู้คนก็มีแรงดึงดูดที่ไม่อาจถอนสายตาและก่อเป็นกระแสความคลั่งไคล้ราวกับว่าเธอเป็น superstar      และสิ่งนี้ไม่เคยปรากฏในราชวงศ์มาก่อน    ที่ผ่านมานั้น   ประชาชนต่างจ้องมองเชื้อพระวงศ์ที่่สร้างบรรยากาศที่น่าเกรงขามและแบ่งแยกจากสามัญชนอย่างชัดเจน     แต่สำหรับเจ้าหญิงที่เคยถูกมองว่าโด่งดังเพราะภาพลักษณ์ Cinderella  เธอได้รับความนิยมแซงหน้าสวามีโดยที่เจ้าตัวไม่ได้คาดคิดด้วยซ้ำ
หลังจากที่กลายมาเป็นแม่ครในวัย  21 ปี  เจ้าหญิงต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนราชวงศ์อังกฤษใน Royal Tour ที่ประเทศ Australia และ New Zealand เป็นครั้งแรก   และที่นั่นเองที่ทำให้ทุกคนตระหนักว่า  เจ้าหญิงที่เพิ่งก้าวเข้าผ่านกำแพงวังเพียงแค่ไม่นานได้เปล่งประกายเจ้าหญิงขวัญใจมวลชนจนกลบสวามีที่เคยถูกยกให้เป็นเจ้าชายเนื้อหอมไปจนหมด   ช่างภาพต้องการจะถ่ายภาพเจ้าหญิงโดยที่ม่มีเจ้าชายบังในเฟรม  ส่วนผู้ที่มารอรับนับพันๆก็อยากจะใกล้ชิดกับเจ้าหญิงเพียงเท่านั้น  ถึงกับมีการโอดครวญถึงการเลือกฝั่งติดเจ้าชาย Charles ว่าเป็นเลือกรอผิดด้าน  เพราะใครๆก็อยากจะจับมือกับและพูดคุยกับเจ้าหญิง   จนเจ้าชายต้องพูดติดตลกว่า  หากแบ่งร่าชายาเป็นสองคนได้ก็คงทำไปแล้ว!

ความคลั่งไคล้เจ้าหญิง Diana ในระดับ fever ไม่ได้ดำเนินไปอย่างชั่วคราวเฉพาะที่เธอยังอยู่ในวัยสาวใสเท่านั้น  แต่ตลอดระยะเวลาที่เธอยังมีชีวิตอยู่  มีผ้คนมากมายได้ให้ความรักและใฝ่ฝันว่าจะได้พบเธอตัวจริงๆสักครั้ง  ดังในภาพที่เจ้าหญิงได้ไปเยี่ยมเยือนญี่ปุ่นในปี 1995   เจ้าหน้าที่ต้องทุ่มแรงเต็มที่เพื่อควบคุมฝูงชนราวๆห้าพันคนที่มารอรับ  บางคนก็ถึงกับร่ำไห้ด้วยความปลาบปลื้มใจ





The Princess Di effect

ในบางครั้ง เราเคยเห็นการตั้งข้อถกเถียงในประเด็นทรงผมที่เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าหญิง Diana  ว่าเหตุใดจึงกลายมาหนึ่งในความเคลื่อนไหวทาง fashion ครั้งสำคัญของยุค 80s     เพราะหลายคนอาจจะไม่ปลาบปลื้มผมซอยสั้น volume อลังการมากนัก  แต่สำหรับแฟนๆของเธอในยุคนั้น ยิ่งได้เลียนแบบให้เหมือนเธอมากเท่าไรก็ยิ่งภาคภูมิใจ      บวกกับยุคนั้น แนวคิด more is more  คือกระแสหลักสำหรับคนไม่อยากตกเทรนด์  ทรงผมที่ดูพองนี้จึงกลายมาเป็น request อันดับหนึ่งในsalon อังกฤษ
ความจริงแล้วเจ้าหญิงเปลี่ยนทรงผมอยู่บ่อยๆ แจนต้องช่างทำผมส่วนตัวคอยติดตามอยู่เคียงข้างกายอยู่เสมอ  ทุกครั้งเธอเปลี่ยนทรงผมก็จะกลายเป็นพาดหัวข่าวของเทรนด์ใหม่ที่สาวๆอยากจะทำตาม   และนั่นคือความแตกต่างอย่างสุดขั้วกับเชื้อพระวงศ์รุ่นอาวุโสที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนัก    มีเสียงเลื่องลือว่า  เธอถูกเพ่งเล็งจากเชื้อพระวงศ์อาวุโสจากที่เปลี่ยนทรงผมตอนที่มีอีเวนท์สำคัญทำให้สื่อต่างจดจ้องทำข่าวแต่เรื่องผมของเธอ     ทำให้เจ้าหญิงต้องเปลี่ยนลุคอย่างระมัดระวังไม่ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนเกินไป


เจ้าหญิงเคยทำให้อายลายเนอร์สีน้ำเงินขายดิบขายดีจนหมดเกลี้ยงเคาน์เตอร์  และถึงขนาดที่กลับมาขายดีอีกครั้งหลังจากที่ The Crown season ล่าสุดลงฉายที่ Netflix   รวมไปถึงไอเท็มอื่นๆที่เป็น signature ของเจ้าหญิงก็มียอดขายสูงขึ้นชัดเจน


style ของเจ้าหญิง Diana ในช่วงเริ่มมีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในลุคที่โดดเด่นของ Sloane Ranger หรือกลุ่มสาวผู้ดีที่อาศัยใน London เช่นการผูกผ้าพันคอ สเวตเตอร์ รองเท้าหุ้มส้น และเน้นสีนำเงิน ตอนที่สื่อตีข่าวเรื่องคนรักของเจ้าชาย Charles ทำให้สไตล์นี้ได้รับความนิยมในเมืองกรุงของอังกฤษ   


หลายครั้ง เจ้าหญิงสามารถตรึงทุกสายตาไปที่เธอด้วยลุค glamourous และยืนยันได้ว่า หากสลับยุคมาเป็นปัจจุบัน เธอก็ยังโดดเด่นเกินใครอยู่ดี เพราะตัวเลือกทาง fashion ของเธอนั้นก้าวนำหน้าอยู่เสมอ และในขณะเดียวกันก็เลือกสรรเครื่องแต่งกายที่งดงามแบบ timeless ไม่ว่าผ่านไปนานเพียงใดก็ยังดูดี


เธอขึ้นชื่อลือชาเรื่องการแหวกธรรมเนียมเชื้อพระวงศ์ในเรื่อง fashion  โดยเฉพาะช่วงหลังการแยกทางกับเจ้าชาย Charles ก็ดูปล่อยวางจากธรรมเนียมที่เคร่งครัดน้อยลงไป   ผู้คนต่างฮือฮาในภาพที่เย้ายวนใจของเจ้าหญิง แต่เธอมาในภาพของสาวที่ sexy อย่างมีระดับ  และยังระมัดระวงตัวไม่ให้เกิดภาพที่อาจจะก่อประเด็นโต้แย้  เธอได้ตั้งนิยามคำว่า The Cleavage Bag หรือกระเป๋าปิดร่องอก อันเป็ยวิธีเซฟตัวเองไม่ให้ดูโป๊จนข้าม "มารตฐาน" ของเชื้อพระวงศ์มากเกินไป




เจ้าหญิงผู้ชนะใจประชาชน



ภาพลักษณ์ที่ห่างเหินเย็นชาและเข้าไม่ถึงเคยทำให้ราชวงศ์อังกฤษตกอยู่ในวิกฤติความนิยมตกต่ำ จากภาพจำลองเหตุการณ์ใน The Crown  season 2 ที่ ลอร์ด Altrincham วิพากษ์วิจารณ์สมเด็จพระราชินีว่าทรงดูถือพระองค์จนเกินไป ประกอบกับในตอนนั้น กระแสต้อนรับราชินีวัยเยาว์ของประเทศอันอบอุ่นได้จืดจางลงไปตามวันเวลาแล้ว   และในที่สุด ราชวงศ์ก็ได้ปรับเปลี่ยนท่าทีเพื่อให้ดู "เข้าถึง"ได้มากขึ้นตามคำแนะนำของลอร์ดที่เคยถูกหมางเมิน  จนสร้างเสริมภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น     อย่างไรก็ตาม  เชื้อพระวงศ์ระดับสูงก็ยังเว้นระยะห่างจากสามัญชนอย่างเห็นได้ชัด     เราจะไม่ได้เห็นภาพของผู้สูงศักดิ์แสดงความรักต่อผู้คนด้วยการสัมผัสร่างกายอย่างใกล้ชิด   นอกจากจะพยักหน้าให้อย่างสำรวม ยื่นมือรับดอกไม้  พูดคุยตามมารยาทเพียงสั้นๆ  


แต่เจ้าหญิง Diana ได้พลิกโฉมการปฏิบัติกรณียกิจพบปะประชาชนไปยังมิติใหม่ มิติที่ทุกคนสามารถสัมผัสถึงความรักและห่วงใยอย่างจริงใจ


" เราอยากจะเป็นราชินีในดวงใจของประชาชน  แต่เราไม่คิดว่าเราจะเป็นพระราชินีของประเทศได้"   

คำพูดนี้ของเจ้าหญิงยังตราตรึงใจอยู่เสมอ


ผู้คนในรุ่นหลังอาจจะคุ้นเคบยกับภภาพของเจ้าชาย William และเจ้าชาย  Harry ที่เข้าหาประชาชนอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว  พวกเค้าทั้งโอบกอด จับมือ รับฟังคำพูดของอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ   และไม่ต้องสงสัยเลยว่า  โอรสทั้งสองจะดำเนินรอยตามแบบอย่างของเสด็จแม่จนได้สร้างชื่อเสียงอันดีงามไม่ต่างกัน
สหายผู้ใกล้ชิดของเจ้าหญิงได้เปิดเผยว่า   เธอได้เข้าหาผู้ด้อยโอกาสด้วยความหวังจะช่วยเหลืออย่างจริงใจ  เพราะเธอเองก็เผชิญปัญหาชีวิตส่วนตัวที่หนักหน่วงงและต้องการที่พึ่งเช่นเดียวกัน  เธอจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การแสดงความห่วงใยด้วยใจจริงนั้นมีความหมายกับกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากเพียงใด

เจ้าหญิงได้ตระหนักว่า  กระแสความสนใจที่ถาโถมเข้ามาประดุจว่าเธอเป็น superstar ระดับโลกนั้นมีมีประโยชน์อย่างยิ่งหากนำมาใช้กับโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสต่างๆ   เธออาจจะเป็นที่จดจำในฐานะเจ้าหญิงที่ทำลาย stigma ของผู้ติดเชื้อ HIV    แต่เธอยังสนับสนุนงานการกุศลอีกหลายโครงการ  ทั้งผู้ป่วยโรคเรื้อน   คนไร้บ้าน    โรงพยาบาลเด็ก   ผู้สูงอายุ  และอื่นๆ    ในขณะที่สื่อได้ตีคุณค่าของเธอผ่านรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจและเสื้อผ้าอาภรณ์นำสมัย  แต่เธอสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมด้วยการดึงความสนใจไปยังงานการกุศลเช่นเดียวกัน   เจ้าหญิงเดินไปทางไปทั่วอังกฤษและต่างประเทศเพื่อเยี่ยมเยียนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้โลกได้รับรู้และเข้าร่วมสนับสนุนโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส





การเปิดเผยให้โลกรับรู้ถึงด้านที่เปราะบางไม่ต่างจากคนทั่วไป




การเปิดใจถึงชีวิตที่ทุกข์ระทมจากการเข้ามาในราชวงศ์นั้นอาจจะทำให้เจ้าหญิงถูกมองว่าเป็นจอมวางแผนPR  เพื่อตอบโต้ "อีกฝ่าย"    แต่แฟนๆจำนวนมากเชื่อว่า เธอได้แบ่งปันแง่มุมที่ไม่สวยงามตามเทพนิยายเพื่อแสดงความเป็นมนุษย์    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคปฏิเสธอาหาร (ที่ผลักดันให้เธอก้าวมาเป็นผู้อุปถัมป์มูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยโรคนี้)  โรคซึมเศร้าหลังคลอด    การทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บ   และคำขอการช่วยเหลือที่ถูกมองข้ามจากคนรอบข้าง    สิ่งเหล่านี้ได้ชี้ชัดว่า เธออาจจะเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ดูพรั่งพร้อมไปด้วยทุกอย่างจนใครๆต่างอิจฉา   แต่ก็เป็นคนมีเลือดเนื้อที่เจ็บปวดได้ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ไม่ได้มีพระยศนำหน้า  


ภาพสุด iconic ที่ช่างภาพได้ตามเก็บมาได้ระหว่างที่เจ้าหญิงได้ร่วม Royal Tour ใน Australia ได้สร้างความเห็นใจจากผู้คน  แม้ราชวงศ์จะยึดมั่นในหลักการวางเฉย ไม่แสดงอารมณ์ ไม่ตอบโต้  แต่เมื่อเจ้าหญิงหลั่งน้ำตาท่ามกลางคนนับพัน  ช่างภาพก็ได้เล่าเหตุการณ์ว่า  สวามีที่อยู่เคียงข้างนั้นไม่ได้แสดงท่าทางอาทรหรือปลอบให้เธอสงบใจ แต่เธอต้องพยายามสะกัดอารมณ์เศร้าด้วยตัวเอง   เมื่อไต่ถามถึงสาเหตุ ก็มีคนบอกเล่าว่า น่าจะมาจากอาการ jet lag    แต่ก็ยังไม่สามารถลบล้างความค้างคาใจขึ้นมาได้  เพราะชีวิตของราชนิกูลวัยสาวนั้นต้องพบกับความกดดันตั้งแต่เปิดเผยข่าวการหมั้นหมาย      บางคนเชื่อว่า นี่เป็นสัญญาณที่ชี้ชัดว่า ชีวิตคู่ของทั้งคู่จะไม่ได้พบกับ happy ending
"ฉันขอในฐานะของคนเป็นแม่  หยุดตามถ่ายรูปลูกๆของฉันเสียที"

ไม่เพียงแต่เปิดเผยให้ภายนอกได้รับรู้ถึงด้านที่เปราะบาง   เจ้าหญิงยังแสดงโทสะเมื่อถูกยั่วยุจาก paparazzi   โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ถูกตามไล่ล่าในขณะที่เธอพยายามใช้เวลากับลูกชาย   มันได้กระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นแม่ให้ออกเฟชิญหน้ากับ paparazzi ให้หยุดการกระทำนั้น  แม้ว่ามันอาจจะเสี่ยงให้เธอถูกสื่อโจมตีถีงการแสดงกิริยาเหมาะสมตามแบบราชวงศ์


แม้เธอจะไม่ได้แสดงอารมณ์ที่ดูเปราะบางต่อหน้าผู้คนบ่อยครั้งนัก แต่ภาพของเจ้าหญิงที่ดูหม่นหมองก็ยิ่งทำให้เธอเป็นที่นิยมขึ้นไปอีก บางคนอาจจะเปรียบว่าเธอเป็นเหมือนกับเจ้าหญิงที่ถูกรุมรังแก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ได้เรียนรู้เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง จนกระทั่งได้นับอิสระในการใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ มันจึงเป็นเรื่องที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใครๆได้พบว่า ในที่สุดที่เธอกำลังจะได้พบกับความสุขจริงๆ แต่มัจจุราชก็ได้พรากเธอไปไม่หวนคืน



กระแสความคลั่งไคล้ในตัวเจ้าหญิงอาจจะจางหายไปกับกาลเวลา แต่คณงามความดีของเธอจะเป็นที่กล่าวขานสืบต่อไป


The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE