มารู้จัก beauty productสุดอันตรายในอดีต
candy 55 7
องค์การอาหารและยา....หน่วยงานสำคัญที่ทำให้มนุษย์ในยุคโมเดิร์นอย่างเราต้องรู้สึกซาบซึ้งทันทีเมื่อได้รู้ถึงมหันตภัยที่มากับคำว่าผลิตภัณฑ์ความงามจากศตวรรษก่อนๆ กว่าจะพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องสูญเสียกันไปมากมายเพื่อความสวย
Laird’s Bloom of Youth
ครีมหน้าขาวที่อาจจะนำคุณไปสู่ความอัมพาต
ก่อนที่ชาวตะวันตกจะหันมาปลาบปลื้มผิวสีแทนเรืองรอง ค่านิยมความงามก็ไม่ได้แตกต่างจากฝั่งตะวันออกนัก แม้จะฝรั่งเค้าจะมีผิวขาวอันเป็นลักษณะทางเชื้อชาติอยู่แล้ว แต่ในอดีต ผู้คนต่างคลั่งไคล้ผิวที่ขาวหมดจดเหมือนกับนมสด ขาวแล้วยังต้องโบ๊ะแป้งให้ดูขาวถึงขีดสุด และใครที่คิดว่าตัวเองยังขาวไม่พอ ครีมหน้าขาวจึงเป็นสิ่งที่เติมเต็ใความปรารถนาในการแสดงถึงผิวพรรณผู้ดีที่ไม่เคยสัมผัสแดดเหมือนชนชั้นแรงงาน
" ปลอดภัยไร้กังวล" และ "กัดสีผิวอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน" เป็นคำโปรยที่่แบรนด์ใช้ยั่วใจคนอยากทีผิวขาว ในขณะที่คุณกำลังสับสนอยู่ว่า การกัดกร่อนนั้นถูกจับคู่กับคำว่านุ่มนวลได้อย่างไร ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็วางขายอยู่พักใหญ่ก่อนที่ American Medical Association จะประกาศว่า พบผู้ใช้ครีมมหัศจรรย์ตัวนี้สามรายที่เกิดอาการกล้ามเนื้อลีบ นั่นเป็นผลมาจากอาการสารตะกั่วเป็นพิษ และยังพบผู้มีอาการอ่อนแรง น้ำหนักลด ปวดศีรษะ รวมไปถึงอัมพาต!
มีคำโฆษณาว่า ผู้หญิงถึงสองล้านคนต้องพบกับปลาบปลื้มจากผลลัพธ์ของครีมที่ขจัดผิวสีคล้ำและรอยด่างดำทั้งหลาย และยืนยันว่าได้รับการวิเคราะห์องค์กรทางการแพทย์ว่าปลอดภัยไร้สารพิษ แต่ก็ถูกแฉในเวลาต่อมาว่ามีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบ
ถ้าถามว่าเครื่องสำอางที่มีสารตะกั่วเจือปนทำให้ตายได้หรือไม่ ลองมาติดตามเรื่องราวที่น่าตกใจจากโฉมงามแห่งศตวรรษที่ 18 กัน
เหยื่อที่สังเวยชีวิตให้กับเครื่องสำอาง Maria Coventry, Countess of Coventry
จากหญิงสาวชาว Irish ที่ต้องทำอาชีพนักแสดงเลี้ยงชีพ Marie ได้ไต่ระดับกลายมาเป็นสาวสังคมผู้มีชื่อเสียงที่สุดด้วยความงามล้ำเกินกว่าใคร ในยุคนั้น นักแสดงหญิงเป็นอาชีพที่ถูกดูหมิ่นเพราะมีนักแสดงหลายคนที่ทำอาชีพขายบริการทางเพศไปด้วย แต่ก็ทำให้มีโอกาสได้รับการอุปถัมป์จากชายผู้ร่ำรวยและเปลี่ยนสถานะทาสังคมได้ และด้วยความเป็น"fashionista" ที่สวยโดดเด่นกว่าสตรีชั้นสูงทำให้เธอและน้องวางกลายมาเป็นเซเลบแห่งกรุง London และได้แต่งงานกับขุนนางระดับสูงจนมียศนำหน้าชื่อ
แต่ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของเธอนั้นแสนสั้น หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงหน้ากระจกเพื่อแปลงโฉมให้งามชวนตะลึง แต่การแต่งหน้าอย่างประณีตก็เปรียบเหมือนกับ"พิธีกรรม" ทางความงามที่กำลังฆ่าเธอทีละนิด
ในเวลานั้น trendsetter ที่สั่นสะเทือนยุโรปคือ Madame de Pompadour ชู้รักของ พระเจ้า Louis ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส เธอเป็นสาวสังคมชั้นสูงจากครแห่ง fashion ที่สร้างความเลื่องลือถึงความสวยเฉียบ ทั้งผิวขาวซีด แก้มสีกุหลาบ และแน่นอนว่าเซเลบแห่ง London อย่าง Marie จะไม่น้อยหน้า
เธอใช้ผงตะกั่วที่มีส่วนผสมจากไฮดรอกไซด์และคาร์บอเนตทาหน้าเพื่อความขาว ส่วนแก้มก็ทาด้วยแร่ปรอท ปากแดงจากสารสกัดจากสาหร่ายที่เจือปรอทเช่นกัน ในขณะนั้น ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสารเหล่านี้ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่มันเริ่มกัดกินใบหน้าของเธอจนมีรอยแผลน่าเกลียดน่ากลัว ผิวไวต่อแสงมากจนไม่สามารถออกไปไหนได้ ต้องนอนป่วยอยู่นห้องมืด อาการป่วยของเธอหนักขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดก็สิ้นใจด้วยวัยเพียง 27 ปี ในขณะนั้น ผู้คนหมื่นได้ไว้อาลัยต้องการจากไปของคนงามอายุสั้นและเชื่อว่าเธอป่วยด้วยโรควัณโรค แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป มีความเชื่อมั่นอาการสารตะกั่วเป็นพิษต่างหากที่ได้พรากชีวิตเธอไป
เธอใช้ผงตะกั่วที่มีส่วนผสมจากไฮดรอกไซด์และคาร์บอเนตทาหน้าเพื่อความขาว ส่วนแก้มก็ทาด้วยแร่ปรอท ปากแดงจากสารสกัดจากสาหร่ายที่เจือปรอทเช่นกัน ในขณะนั้น ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสารเหล่านี้ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่มันเริ่มกัดกินใบหน้าของเธอจนมีรอยแผลน่าเกลียดน่ากลัว ผิวไวต่อแสงมากจนไม่สามารถออกไปไหนได้ ต้องนอนป่วยอยู่นห้องมืด อาการป่วยของเธอหนักขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดก็สิ้นใจด้วยวัยเพียง 27 ปี ในขณะนั้น ผู้คนหมื่นได้ไว้อาลัยต้องการจากไปของคนงามอายุสั้นและเชื่อว่าเธอป่วยด้วยโรควัณโรค แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป มีความเชื่อมั่นอาการสารตะกั่วเป็นพิษต่างหากที่ได้พรากชีวิตเธอไป
การใช้ผงตะกั่วทาหน้าให้ขาวซีดราวกับคนตายเรียกว่า Venetian ceruse หรือ blanc de ceruse de Venise ที่นิยมมาหลายร้อยปีในยุโรป และสิ่งนี้น่าจะคร่าชีวิตคนไปจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่า ตัวการที่ทำให้คนต้องเจ็บป่วยคือผงหน้าขาวนี่เอง
Lash Lure
ขนตาดกหนาที่ถูกแทนที่ด้วยตาบอด
ปี 1933 ผู้หญิงได้เปิดใจเข้าหาการแต่งหน้าอย่างเต็มที่ ขนตาสุดเด้งเหมือนกับนักแสดง Hollywood กลายมาเป็นที่ปรารถนา แต่ผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนสารพิษก็ทำให้ผู้ใช้บางคนต้องสูญเสียการมองเห็น ร้ายแรงไปกว่านั้นก็ยังมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้ออีกด้วย
มีรายงานว่า หญิงวัยกลางคนรายหนึ่งได้ถอนขนติ้วออกจนหมดเพื่อใช้ Lash Lure วาดทับลงไปโดยตรง (อันเป็นเทรนด์คิ้วโก่งของผู้หญิงยุคนั้น) เธอใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ปัดขนตาและคิ้วเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เกิดอาการบวมแดงหนังตาปิดจนหมด ในวันต่อมาก็เกิดมีไข้สูง และอาการทรุกหนัก เสียชีวิตในเวลาเพียงไม่กี่วัน มีการสันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
แม้จะมีข่าวอื้อฉาวจากคนที่ตาบอดและเสียชีวิตหลังใช้ Lash Lure แต่มาสคาร่ามัจจุราชตัวนี้กลับยังวางขายได้ต่อจากข่อีกถึงห้าปี เพราะอยู่ในระหว่างการร่างกฎหมายเพื่อควบคุมเครื่องสำอาง มันถูกถอดถอนออกไปจากท้องตลาดเพราะมีการตรวจสอบพบน้ำทันดินและพาราฟีนิลีนไดอะมีนที่อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะผิวรอบดวงตาที่บอบบบางกว่าส่วนอื่นบนร่างกาย ฟังดูแล้วน่าตกใจจริงๆที่ในอเมริกาก็ก่อตั้ง FDA ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอำนาจมากพอในการคุ้มครองผู้บริโภคและแบนการใช้สารอันตรายในเครื่องสำอาง กว่าจะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการตรวจสอบแบรนด์ก็ต้องใช้เวลานานหลายปี
เมื่อกฎหมายFood, Drug, and Cosmetic Act ผ่านความเห็นชอบจากสภาแล้ว ก็ทำให้รัฐเข้ามาควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัยจากผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ เริ่มมีการทดลองกับสัตว์เพื่อทดสอบความปลอดภัย และพัฒนามาตรฐาน FDA ในทุกวันนี้
Koremlu
ครีมกำจัดขนที่โฆษณาว่าปลอดภัย แต่คนใช้กลับเจอพิษแธลเลียมจนหัวล้าน
คุณอาจจะฉงนใชจว่า เหตุใดจึงมีคนนำสารเคมีจากยาฆ่าหนูมาผสมในผลิตภัณฑ์กำจัดขน ไม่เพียงแต่ขนตามร่างกาย แต่ยังเป็นหนวดที่ขึ้นใกล้กับริมฝีปาก แต่ในช่วง 1930s นี่คือนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้ผู้หญิงต่างตื่นเต้น แต่มันก็นำมาสู่อันตรายไม่คุ้มค่ากับผิวเกลี้ยงเกลาเพียงชั่วคราวเลยสักนิด
เพียงแค่ปีเดียวKoremlu จำหน่ายได้ถึ 120,000ขวด แต่ผู้ใช้หลายคนต้องพบกับอาการผิดปกติ จากส่วนประกอบเป็นแธลเลียมเกือบ 5% มีผู้หญิงที่ผมร่วงจนหัวล้านถาวร ฟันหลุดร่วง สูญเสียการมองเห็นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด
Arsenic Wafers
ตายกันเกลื่อนเพราะกินสารหนูเพื่อผิวขาวใส
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นมีการนำสารเคมีฆ่าหนูมาผสมในเครื่องสำอาง แต่ยุค Victorian แทนที่ผู้คนจะนิยมกินขนมจุบจิบระหว่างวัน พวกเค้ากลับกินสารหนูเพื่อผิวขาว จากคำแนะนำของ "ผู้เชี่ยวชาญ" ว่าให้กินนิดๆหน่อยๆ พอให้ร่างกายต้านทานพิษได้ แต่คนมันอยากขาวเกินห้ามใจ จัดไปวันละหลายๆครั้งจนขาวพอๆกับศพ
สารหนูที่มาในรูปของแท่งชอล์คสีขาวได้รับคำยืนยันจากผู้จัดจำหน่ายว่าปลอดภัยเป็นที่สุด ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้เรื่องความมีพิษของมัน เพราะยังมีนักเขียนที่ออกโรงเตือนว่า อย่ากินมากเกินไป มิเช่นนั้นความตายอาจจะมาเยือน นอกจากนี้ นักเคมีและผู้คนในสมัยนั้นไม่ได้นึกเชื่อมโยงถึงความอันตรายจากสารหนู มันจึงกลายเป็นส่วนประกอบในหลากหลายเครื่องมือเครื่องใช้ เตียงเด็กยังมีสารหนูเจือปน ด้วยความคิดที่ว่า หากไม่กินเข้าไปทีละมากๆก็จะไม่เป็นอันตราย จึงไม่มีการรายงานตัวเลขผู้ได้รับอันตรายจากเครื่องสำอางสารหนู จนหลายสิบปีผ่านไปจึงมีการพิสูจน์ว่า สารพิษตัวนี้ทำให้เกิดอาการป่วยและชีวิต การใช้สารหนูเพื่อผิวสวยใสราวกับกระจกเสื่อมความนิยมไปในที่สุด
เครื่องดัดผมถาวรในยุค 1930s
เครื่องดัดผมวินเทจที่ร้อนจนลวกหัวแต่ก็ยังมีคนไปต่อคิวดัดผมยาวเหยียด
ผลงานประดิษฐ์หลายสิบปีของนักประดิษฐ์ชาว Germany Charles Nessler ได้เปิดตัวอย่างสวยงามที่อเมริกา แม้ผู้ลอกเลียนนวัตกรรมชิ้นนี้ไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ยังทำเงินได้มากมาย เนื่องจากช่วงเวลานั้น ผู้หญิงได้ออกนอกกรอบแนวคิดความงามแบบอนุรักษ์นิยมและหันมาตัดผมสั้นกันมากขึ้น แต่ผมบ็อบนั้นอาจจะไม่สวยเหมาะกับทุกๆคน สาวผมตรงที่ต้องการสร้างจุดสนใจด้วยลอนผมสวยต่างตื่นเต้นดีใจที่ได้พบกับนวัตกรรมใหม่นี้ มันช่วยให้พวกเธอมีผมทันสมัยเก๋ไก๋ไม่ต่างจากดารา Hollywood แต่พวกเธอต่างก็รู้ดีว่า ต้องไปนั่งทำผมในซาลอนทั้งวันและพบกับความเจ็บปวดจากความร้อนของเครื่อง และบางคนโชคร้ายถูกลวกหนักจนหัวหนังศีรษะบริเวณนั้นล้านเป็นหย่อมๆ บางคนนั่งดัดผมเป็นชั่วโมงๆทั้งน้ำตา
คุณยายยายหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ว่า ต้องเจ็บจากความร้อนที่ลวกหนังศีรษะไม่พอ แต่เครื่องมือเครื่องไม้ที่ต้องใส่บนหัวมีน้ำหนักมากและดึงตึงจนขยับแทบไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ได้เหมือนที่จินตนาการไว้ ผมแห้งเสียหนักไปหลายเดือน แต่เธอก็ยังกลับไปดัดซ้ำอยู่ดี
ช่างทำผมบางคนจะเรียกทรงผมที่ได้จากเครื่องดัดถาวรนี่ว่า " ลอนผมกระเป๋า" ซึ่งมีที่มาจากผมที่เสียอย่างรุนแรงจากความร้อนและน้ำยาเคมีจนหลุดร่วงออกมาทันทีจนช่างทำผมต้องแอบเก็บผมใส่ในกระเป๋าไว้เพื่อไม่ให้ลูกค้าตกใจ
ในปัจจุบัน หากมีซาลอนใดที่ให้ทำหนังศีรษะลูกค้ามีรอยแผลลวกหรือผมร่วงจนล้านอาจจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง แตาเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณผู้หญิงก็ยังยอมเสี่ยงเพื่อจะได้มาซึ่งความงามสุดโมเดิร์น
ได้รู้แบบนี้แล้วก็ยังอุ่นใจที่ยังไงพวกเราต่างก็อาศัยในโลกที่พึ่งพาวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้กันแล้ว นั่นเป็นคำเตือนให้เราหนีห่างพวกครีมกวนไร้ที่มาที่ไป เพราะพวกสารปนเปื้อนก็ยังสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้บริโภคในบ้านเราช็อปกันให้สบายใจก็ต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่อย.รับรองและเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงไว้ใจได้ เพื่อความมั่นใจสุดๆก็ test การแพ้ไว้ก่อนนะคะ
The End