ภาพยนตร์ลำดับที่สามของไตรภาค The Hobbit ที่เป็นปฐมบทสู่มหากาพย์ The Lord Of The Rings บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นบทสรุปการเดินทางของ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ผู้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงชาวฮอบบิทเผ่าพันธุ์ที่ถูกมองว่าตำ่ต้อยราวกับธุลีใต้ฝ่าเท้าและไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าผู้ทรงอำนาจที่ปกครองมิดเดิลเอิร์ธ ที่พร้อมจะรบราฆ่าฟันกันมาหลายยุคสมัย แม้บิลโบจะต้องการแค่ชีวิตสงบสุขไม่ต้องข้องเกี่ยวกับใครทั้งสิ้น แต่โชคชะตากลับนำพาเขาสู่การเดินทางที่ไม่คาดคิด และอาจเป็นกุญแจของสงครามที่ตัดสินชะตาของมิดเดิลเอิร์ธ
นี่น่าจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของผมที่ได้ชมในระบบ3D ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่ามัน ตระการตามาก บวกกับเฟรมเรทของเรื่องนี้ที่มากกว่าเรื่องอื่นๆที่ได้เคยดูมา ทำให้ดื่มด่ำเต็มอารมณ์ต้องแต่ซีนแรกเลยจริงๆ และความรู้สึกส่วนตัวกล้าพูดเลยว่า Smaug เป็นมังกรcgที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลย แต่ด้วยความที่ต้องเป็นภาคจบและคลายปมของตัวละครทุกตัว อาจทำให้อะไรๆมันดูรีบไปหมดทุกอย่างและแทนที่ด้วยฉากสงครามอลังการcgมาไม่ยั้ง มันเลยดูขาดเนื้อหาที่ควรจะปิดประเด็นหลายๆอย่างได้น่าจดจำกว่านี้ อย่างบทสรุปของตัวละครอย่าง ธอริน และ บาร์ท ที่สามารถขยี้ได้มากกว่านี้ทั้งที่หนังดูจะให้ความสำคัญกับตัวละครสองตัวนี้มาตลอด ตอนออกจากโรงมาผมยังคิดว่าภาคนี้มันสนุกกว่า The return of the king ด้วยซำ้ไป แต่ด้วยข้อเสียยิบย่อยอาจทำให้มันไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร และมีเนื้อหาที่ดูตื้นเขินที่สุดในสามภาค แต่เท่านี้มันก็เกินความคาดหวังที่ผมจะได้จากงานระดับนี้แล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยมันก็ปิดเรื่องราวการผจญภัยของบิลโบได้อย่างอิ่มเอมจริงๆ ก็เป็นเรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่อยากพูดถึงภาพยนตร์เรื่องโปรดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนักดูหนังที่เหมือนต้องเจอกับ The unexpected journey ไม่แพ้บิลโบเหมือนกัน