YSL Le Cushion Encre de Peau คุ้มค่าสมราคา?
pinlosophy
20 ม.ค. 64
65
21
สวัสดีค่าทุกคน ในที่สุดก็ถึงฤกษ์ที่ได้ถอย YSL Le Cushion Encre de Peau มาใช้เสียที อย่างน้อยๆ ก็ขอลองก่อนที่รุ่นโรเซ่จะเข้าไทยสักนิสสสส คงไม่ช้าไปหรอกเนาะ 555 จะเป็นยังไงไปดูกันเลยจ้า
VIDEO
ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง package สวยหรูตัดเย็บดู เป็นหนังลายบั้งยศประจำแบรนด์ โลโก้โลหะสีทอง ขอบตลับสีทอง ตลับหนาแต่ไม่หนักเลย ค่อนไปทางเบาด้วยซ้ำ ในราคา 2750 บาทที่มีแค่ตลับ พัฟ และคุชชั่น ไม่มีรีฟิลแถม อยากได้ต้องซื้อแยกอีกในราคา 1950 บาทค่ะ
เปิดออกมาจะมีที่วางพัฟ พอเปิดหงายออกก็จะเป็นที่พักเนื้อคุชชั่น (ในภาพคือตรงที่ปิ่นวางพัฟ) แต่เนื่องจากเป็นหลุมค่อนข้างลึก เมื่อใช้พัฟกดเนื้อคุชชั่นมาแล้วมาวางตรงนี้มันเหมือนเป็นการปาดเนื้อคุชชั่นทิ้งมากกว่าเลยไม่ใช้เลยค่ะ
ในฐานะที่เป็นติ่ง YSL ครั้งนี้ถือว่าปิ่นถอยน้องออกมาเก็บไว้ในคลังช้ามาก ก็จนเขาจะออกรุ่นใหม่ที่เป็นครีมรองพื้นตลับลายหินอ่อนมาอยู่แล้ว อิฉันเพิ่งไปรับน้องมาอุปการะ 555 เหตุผลหนึ่งก็คือตอนที่เข้าไทยมาใหม่ๆ เขามีสีให้เลือกน้อยมาก มีเบอร์ 10, 20, 30 คือเป็นเลขหลักสิบไปเลย แล้วไอ้เราดันใช้สี 25 จะใช้สีไหนก็ไม่พอดี ไม่ขาวไปก็คล้ำไป จะเอามาก่อนราคาน้องก็ไม่ปลอดภัยต่อกระเป๋าเลยตัดใจไปค่ะ แต่สุดท้าย...YSL ก็เมตตา นำสีตรงกลางเข้าไทยมาให้อย่างสี 25 นี่ไปถอยมาอย่างไวเลยค่ะ
สูตรนี้เป็นสูตรใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Le Cushion Encre de Peau รุ่นก่อนตรงที่ ได้รับการปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีใหม่ ให้ทันสมัยขึ้นด้วยสูตรต้านความหมองคล้ำและควบคุมความมันเงา ซึ่งทำให้ได้ผลการแต่งผิวแบบแม็ตต์แต่ไม่ทำให้ผิวแห้ง มีการเพิ่มสองส่วนผสมใหม่ - นีโอ สกิน เพาเดอร์ (Neo Skin Powder): เป็นส่วนผสมที่ชอบน้ำมัน (lipophilic) จะหลอมรวมกับผิวเพื่อดูดซับไขผิวหนัง (sebum) ฟินิชหลังทาเสร็จจึงเป็นแบบแม็ตต์ที่กระจ่างใสและเนื้อสัมผัสที่เบาหวิว - กลีบดอกมะลิ (Jasmine Petals) เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพื่อประสิทธิผลในการต้านความหมองคล้ำ
เมื่อได้ลองใช้ ไม่รู้ล่ะว่าก่อนหน้านี้อาจจะมีทั้งคนที่ถูกใจและไม่ถูกใจ แต่สำหรับปิ่นที่ผิวผสมค่อนไปทางมันชอบเนื้อสัมผัสนี้มาก! เนื้อน้องบางเบาจริงค่ะ แล้วเนียนกลืนไปกับผิวเลย เหมือนเป็นผิวที่สองของเรายังไงยังงั้น ทำให้ฟินิชดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญคือเขาไม่ได้แมทป๊าบแห้งแก๊ะติดผิว แต่เขามีความฉ่ำ บาง เนียนเรียบ เอาเป็นว่าปิ่นชอบฟินิชของเขาหลังทาเสร็จมากๆ ค่ะ ส่วนระดับความปกปิด ปิ่นให้น้องเขาอยู่ตรงกลางค่ะ ถ้าต้องการให้ปิดฝ้ากระที่ปิ่นมี(ซึ่งเข้มเหลือเกิน) ปิ่นจะใช้คอนซีลเลอร์แต้มเอาต่างหาก แต่สำหรับปิ่นการใช้ YSL Le Cushion Encre de Peau แค่ชั้นเดียวก็เพียงพอแล้วค่ะ เหมือนผิวสวยมาตั้งแต่เกิด ว้ายยยยย
ฟินิชที่ได้ ฉ่ำเงา บางเบา ไม่แห้งตึง และไม่แมทขั้นหนาเตอะจนทำให้ผิวดูขาดชีวิต แต่ก็ไม่ได้ฉ่ำลื่นจนไหลเยิ้ม คือ...โอ้ย ชอบฟินิชนี้มากค่ะ
และนี่คือฟินิชหลังเมคอัพซึ่งหลังจากที่ลงคุชชั่นเสร็จ ปิ่นเซ็ตด้วยแป้งฝุ่นทรานซ์ลูเซนท์บางๆ พอให้ไม่มีส่วนเปียกเหลือป้องกันฝุ่นมาติดผิวหน้าโดยตรงค่ะ อ่ะต่อไปมาดูความติดทน คุมมันกัน
9 ชั่วโมงผ่านไป
9 ชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก ปิ่นไม่ได้ทำการซับ เช็ด อะไรทั้งนั้น ปล่อยเบลอไปแบบนั้นเลย แล้วดูผลค่ะ มีความมันตรง T-Zone และหน้าแก้ม ตรงส่วนอื่นยังคงเป็นปกติเหมือนหลังเมคอัพเสร็จใหม่ๆ ค่ะ
มีความสาหัสสากรรจ์ตรงจมูกเสียเยอะค่ะ ไปกองรวมกันตรงร่องจมูก ส่วนตรงหน้าแก้มและปลายจมูกก็มีหลุดออก นอกจากนี้คือยังอยู่ดีไม่มีปัญหาใดๆ ค่ะ ถ้าให้คะแนน - ปิ่นก็คงต้องให้เต็ม 10 แบบไม่หักกับฟินิชผิวที่ดูสวยแพง - ความปกปิดสำหรับคนที่มีรอยดำจากกระฝ้าสมรภูมิโหดแบบปิ่นก็ขอให้ตรงกลางไม่น้อยไม่มากอย่างที่บอกไปข้างต้น แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีปัญหานี่ใช้น้องแล้วได้ผิวเนียนสวยบางเบาไปทั้งวันแน่นอน - ส่วนเรื่องคุมมันปิ่นก็ขอให้กลางๆ เช่นกันเพราะเขาจะเริ่มคุมไม่อยู่ตั้งแต่ชั่วโมงที่ 6 ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง งานนี้สาวผิวแห้ง ผิวธรรมดา รอดตลอดทั้งวันแน่นอน หรือแม้แต่ผิวผสมค่อนมันไปทางปิ่นใช้แบบฝืนๆ คอยซับและเติมเข้าไปในชั่วโมงที่ 5-6 ก็สวยได้ทั้งวันเช่นกัน ปิ่นไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องปกปิดเก่งเหมือนปิดความลับ หรือคุมมันได้ถึงขั้นไม่มีของเหลวใดผุดออกมาจากรูขุมขน เพราะปิ่นถือว่าเขาคือคุชชั่น ที่ไม่ใช่รองพื้นที่ทำงานได้เต็มออฟชั่นตามที่เราต้องการ ใช้ในวันเร่งรีบ หรือต้องการสวยแบบบางเบา หรือในวันที่ผิวแห้งกว่าปกติยังไงก็ได้ผิวสวยใสในแบบกำลังดีค่ะ โดยรวมถือว่าพอใจมากค่ะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า วันนี้ลาจ้า บาย