Clinique moisture surge ให้ความชุ่มชื้นยืนหนึ่งเสมอ
Baaskeng 49 18 JEBAN GIVEAWAY / ได้รางวัลจากจีบันนี่แหละ!สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ วันนี้ขอมาตอกย้ำความรักที่เรามีให้
Clinique moisture surge ค่ะ
ขอเล่านิดนึงก่อนว่าบาศใช้แบรน Clinique เดิมอยู่แล้ว ปีนี้เข้าปีที่ 6 แล้วค่ะ
สภาพผิว:
บาศอายุ 31 ปี ผิวผสม หน้ามันบริเวณ T zone แต่บริเวณแก้มจะแห้งง่าย ช่วงไหนภูมิแพ้กำเริบผิวจะแห้งลอกคันมากๆ เพราะว่ามีโรคประจำตัวเป็น atopic dermatitis เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากภูมิแพ้ ทำให้ผิวแพ้ง่ายกว่าปกติ และผิวก็แห้งง่ายมากด้วย แห้งจนแตกเหมือนหนังงูก็เป็นบ่อยมาก นี่ก็เป็นสาเหตุเลยที่เวลาเลือกใช้สกินแคร์จะต้องละเอียดมาก อ่านส่วนผสม อ่านส่วนประกอบ แต่ถึงอย่างนั้นยังชอบลองแล้วก็แพ้มาบ่อยๆค่ะ ><
จุดเริ่มต้นของการดูแลผิว:
ย้อนกลับไปเมื่อก่อน ก็จะเจอปัญหาผิวบ่อยมาก ทั้งแห้ง ทั้งลอก ทั้งแตก ถ้าแห้ง คือหนังงู ถ้าลอก เป็นแผ่น ดึงแล้วเลือดออกซิบๆเลย TT เลยได้ศึกษาหาข้อมูลและคุณหมอผิวหนังแนะนำเลยได้เริ่มมาใช้ clinique moisture surge ซึ่งหลังจากนั้นผิวกลับมาแห้งแตกน้อยมากกกก แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าจมูกลอก หน้าลอกเป็นแผ่นเป็นยังไง เลยทำให้ใช้มาตลอด แต่เอาจริงๆ เป็นคนชอบแอบลองของใหม่ เห็นใครป้ายยามาก็จะหวั่นไหว และไปลอง พอแพ้ก็กลับมากู้ด้วยหน้าด้วย clinique moisture surge เสมอ และน้องก็ไม่เคยทำให้เราผิวหวัง
ส่วนประกอบสำคัญ
Hyaluronic Acid ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น (นี่คือส่วนผสมที่เราชอบมาก)
Aloe Bio-Ferment ให้ความชุ่มชื้นดีมากๆๆ
Activated Aloe Water ตัวนี้จะช่วยในการซึมเข้าสู่ผิว
ความรู้สึกหลังจากได้ใช้ Moisture surge 100 hr
ชุ่มชื้นขึ้นจริงๆ ของเดิมว่าดีแล้ว รุ่นใหม่ คือ ดีกว่า
ซึมเร็วขึ้นกว่าเดิม สังเกตได้จากการแต่งหน้าตอนเช้าเลย คือ ทาแปปเดียวหาย
ผิวดูเนียนขึ้น จากความชุ่มชื้นที่เพิ่มขึ้น
อยู่ห้องแอร์ทั้งวัน ก็หน้าไม่แห้ง
ฟีลลิ่งตอนทาคือเย็นผิว ชอบมากเลย วันไหนร้อนๆ ไม่เปิดแอร์แต่งหน้าได้
กลิ่น น้องไม่มีน้ำหอม กลิ่นธรรมชาติสบายๆ ค่ะ
ข้อดีสุดปังประจำแบรน
No alcohol
No fragrant
No paraben
ภาพประกอบผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าและรุ่นใหม่
รุ่นเก่าสีเข้มกว่า เนื้อดี เข้มข้น แต่ๆๆ รุ่นใหม่ ดูบางเบา แต่ให้ความชุ่มชื้นได้มากขึ้น ซึมเร็วขึ้นด้วย ไม่รักได้ไงอ่ะ
บอกเลยว่าถ้าใครเคยลองรุ่นเก่ารู้สึกเหนอะ อยากให้เปิดใจลองน้องคนนี้ใหม่ เพราะไม่เหนอะเลย ซึมไวมาก
ขอเพิ่มเติมการใช้ของคุณยายนิดนึงค่ะ
บาศเคยรีวิวตอนให้คุณตาลองใช้เพราะหน้าแห้งไปเเล้ว คราวนี้คุณยายทายาหอมที่จมูกแล้วเกิดแพ้ คัน เกาจนเลือดออกซิบๆ เลยได้ใช้น้อง clinique กับผิวแพ้ของคุณยายด้วย เอาภาพประกอบมาให้ดู คุณยายใช้ clinique moisture surge ตัวเดียว 2 สัปดาห์ กลับมาผิวปกติแล้วค่ะ
(จริงๆ พาคุณยายไปปรึกษาคุณหมอผิวหนังแล้ว เลยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผิวแพ้ การรักษาคือหยุดยาหอม และให้ความชุ่มชื้น คุณยายไม่ยอมทาครีมเวชสำอางเพราะความเหนอะและกลิ่น แต่สำหรับ moisture surge ยอมให้ทาวันละ 3-4 ครั้งเลย คุณยายบอกว่าเย็นดี ทาแล้วสบาย)
ส่วนตัวบาศ ชอบลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตลอด เวลาแพ้มา คือ ต้องกลับมาใช้น้อง clinique ตลอด ต้องมาน้องติดบ้านไว้เลยค่ะ
เวลาผิวแพ้ขึ้นมา จะเกิดการระคายเคืองลงไปใต้ชั้นผิว ซึ่งเราควรจะรักษาโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อเนื่องอย่างน้อย 28 วัน ให้ครบ epidermal cycle จะครบรอบสร้างชั้นผิวใหม่ ในช่วงนี้ไม่ควรลองผลิตภัณฑ์อื่นๆ นะคะ เพราะผิวยังบอบบางอยู่จะแพ้ง่าย ถ้าแพ้ในช่วงนี้อาจจะเกิดจากการที่ผิวบอบบางได้ค่ะ
ดังนั้นทริคของบาศเลยคือถ้าแพ้ จะหยุดทุกอย่าง ใช้น้อง moisture surge อย่างเดียวยาวๆ เดือนนึง แล้วค่อยไปลงสนามต่อ อิอิ
ฝากทริคสำหรับคนชอบแพ้
เวลาผิวแพ้ขึ้นมา จะเกิดการระคายเคืองลงไปใต้ชั้นผิว ซึ่งเราควรจะรักษาโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อเนื่องอย่างน้อย 28 วัน ให้ครบ epidermal cycle จะครบรอบสร้างชั้นผิวใหม่ ในช่วงนี้ไม่ควรลองผลิตภัณฑ์อื่นๆ นะคะ เพราะผิวยังบอบบางอยู่จะแพ้ง่าย ถ้าแพ้ในช่วงนี้อาจจะเกิดจากการที่ผิวบอบบางได้ค่ะ
ดังนั้นทริคของบาศเลยคือถ้าแพ้ จะหยุดทุกอย่าง ใช้น้อง moisture surge อย่างเดียวยาวๆ เดือนนึง แล้วค่อยไปลงสนามต่อ อิอิ
สำหรับบาศ ถ้าให้แนะนำใครในการเริ่มต้นดูแลผิว อยากแนะนำ clinique moisture surge ให้เป็นตัวแรกเลย เพราะใช้ง่าย โอกาสแพ้น้อยมาก แล้วพอผิวดีขึ้น ไม่แห้ง ไม่ลอก เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เราจะต่อยอดไปใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเรื่องอื่นๆได้ ไม่ว่าจะพวก retinol, AHA, BHA และ vitamin C คือ ต้องมีผิวชุ่มชื้นก่อนถึงจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้ได้ บาศซึ่งเคยหน้าแห้งมากแต่ก่อนทาvitC, retinol ไม่ได้เลย ตอนนี้ผิวแข็งแรงแล้วทำให้ได้ใช้เสริมผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มได้แล้วค่า เลยอยากแนะนำให้มีน้องคนนี้ติดไว้เลยค่ะ
อยากให้เพื่อนๆ มีผิวดีไปด้วยกันค่ะ :)
(อยู่บ้านจีบันเราจะสวยไปด้วยกันค่าา)
