Britney จะหลุดจากฝันร้าย Conservatorship ได้หรือไม่?

54 11
แม้สังคมจะรับรู้มาโดยตลอดว่า Britney Spears ถูกตัดสินให้เป็นบุคคลที่จำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์คอยช่วยเหลือในการตัดสินใจทางธุรกรรมและกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2008    แต่ในอดีตนั้น   เป็นที่เข้าใจกันว่า  การใช้ชีวิตภายใต้การดูแลของผู้พิทักษ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาล  นั่นคือพ่อแท้ๆของเธอและทนายความ จะเป็นสภาวะเพียงชั่วคราว    แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึง 13 ปี    แม้ ฺ Britney จะตั้งอกตั้งใจทำงานสร้างทรัพย์สินได้อีกมากมาย และพยายามเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ไปพร้อมกับการรักษาตัว   แต่ดูเหมือนว่า เธอจะทิ้งระยะห่างจากสังคมภายนอก  คุณไม่ได้เห็นเธอคบหากับเพื่อนร่วมวงการหรือนอกวงการเหมือนในอดีต  ดูเหมือนว่าเธอจะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวจนเข้าขั้นลึกลับ กลายเป็นเรื่องราวเล่าลือแบบทฤษฎีสมคมคิดออกมามากมาย

แต่ในระยะสองปีมานี้ ก็มีความเคลื่อนไหว Free Britney อย่างต่อเนื่อง  จากข่าวคราวที่หลุดออกมาว่า  Britney กำลังถูกคนใกล้ตัวฉวยโอกาสจากสภาวะอันเปราะบางของเธอมาคอยบงการทำร้ายจิตใจเป็นระยะเวลายาวนาน   ด้วยผลประโยชน์มูลค่าสูงและความสัมพันธ์แบบ abusive   และนั่นอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและเป็นอันตายอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเธอ


การวิงวอนต่อผู้ใช้กฎหมายให้ปลดปล่อยเธอออกจากฝันร้าย


เรื่องราวสุดช็อคจากปาก superstar

แถลงการณ์จาก Britney ต่อผู้พิพากษา 




"ฉันเพิ่งจะได้โทรศัพท์เครื่องใหม่มา  และฉันมีเรื่องอยากจะพูดอยู่มากมายค่ะ  ช่วยอดทนฟังด้วยนะคะ   มีหลายสิ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันอยู่ในซาลเมื่อสองปีที่แล้ว ขอบอกตรงๆว่า ฉันไม่คิดกลับมาที่ศาลเป็นระยะเวลานานเพราะครั้งที่แล้วฉันคิดว่าไม่มีใครรับฟังฉันเลย   ฉันได้เขียนเรื่องราวเตรียมไว้สี่หน้ากระดาษอันเป็นเรื่องราวที่ฉันต้องเผชิญในช่วงเวลาสี่เดือนที่ผ่านมาก่อนที่จะมาอยู่ตรงนี้    กลุ่มคนที่ทำร้ายฉันไม่ควรจะรอดตัวไปได้ง่ายๆ   ฉันจะเรียงลำดับเหตุการณ์นะคะ ตอนที่ฉันออกทัวร์ในปี 2018  ฉันถูกบังคับค่ะ   ทางผู้จัดการของฉันบอกว่า ถ้าฉันไม่ยอมทัวร์นี้ ฉันจะต้องหาทนาย..."

(ผู้พิพากษากล่าวขัดเพื่อขอให้เธอพูดให้ช้าลงอีกนิด)

ถูกบังคับให้ออกทัวร์ และแสดงที่ Vegas  เมื่อไม่ยอมก็ได้รับการปฏิบัติที่ย่ำแย่


 " ผู้จัดการขู่ว่าหากไม่ยอมออกทัวร์ ก็จะฟ้องร้องฉันจากข้อตกลงในสัญญา  เขาส่งเอกสารสัญญาในการแสดงที่ Vegas มาให้ฉันและบอกว่าเซ็นซะ   เป็นการแสดงออกที่ขู่เข็ญและน่าหวาดหวั่นมากค่ะ    เพราะฉันตกอยู่ในฐานะที่ต้องมีผู้พิทักษ์  ฉันไม่มีแม้แต่ทนายของตัวเอง  ด้วยความกลัว ฉันจึงจำใจต้องออกทัวร์ตามที่เขาบอก  "   
"ตอนที่ทัวร์สิ้นสุดลง ก็ต้องไปแสดงที่ Las Vegas ต่อ ฉันต้องรีบฝึกซ้อมการแสดง มันยากลำบากนะคะเพราะฉันต้องทำที่ Vegas ถึง4ปี  และฉันจำเป็นต้องมีช่วงที่ต้องหยุดพักด้วย แต่ไม่เลย  ฉันได้รับตารางงานและสิ่งที่ต้องทำ  ฉันต้องซ้อมสี่ครั้งต่อสัปดาห์   แบ่งซ้อมครึ่งหนึ่งที่ studio และอีกครึ่งที่ Westlake studio    ฉันมีหน้าที่กำกับการแสดง  จริงๆก็เป็นคนดูแลเรื่องการออกแบบท่าเต้น ฉันสอนท่าเต้นใหม่ๆให้แดนเซอร์ด้วยตัวเอง  ฉันทุ่มเทจริงจังกับงานมากๆค่ะ    มีวีดีโอตอนที่ฉันซ้อมอยู่เยอะมาก ฉันไมได้แค่ทำได้ดีนะคะ ฉันทำได้ยอดเยี่ยม ฉันเป็นผู้นำของแดนเซอร์ใหม่ 16 คนในการฝึกซ้อม"  

"มันน่าขำที่ได้ยินเรื่องราวจากผู้จัดการว่าฉันไม่ยอมให้ความร่วมมือในการซ้อมและยังบอกว่าฉันไม่ยอมใช้ยารักษาตัว   ซึ่งฉันจะกินยาทุกเช้าค่ะไม่เคยจะกินช่วงฝึกซ้อมเลย  พวกเขาไม่ยอมรับฉันด้วยซ้ำ   พวกเค้าจะอ้างแบบนั้นไปทำไม  ตอนที่ฉันบอกว่าจะไม่ใช้ท่าเต้นแบบหนึ่ง แต่กลับถูกทำเหมือนกับเป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่โต ฉันจึงบอกว่าไม่เอา ฉันไม่อยากจะได้แบบนี้" "จากนั้น ผู้จัดการ แดนเซอร์ และผู้ช่วยต่างก็กรูกันไปในห้อง ปิดประตูและไม่ยอมออกมาเป็นเวลา45 นาที  ท่านคะ  ฉันย่อมสามารถปฏิเสธท่าเต้นได้สิคะ  ค่ะ Dr.Benson ที่ได้จากโลกนี้ไปแล้วคือผู้บำบัดของฉันได้แนะนำตลอดเลย  พอเกิดเรื่องนี้ ผู้จัดการก็โทรหาเขาแล้บอกว่าฉันไม่ยอมให้ความร่วมมือในข้อปฏิบัติเรื่องฝึกซ้อมแสดง และยังบอกว่าฉันไม่ยอมใช้ยารักษา ซึ่งมันงี่เง่ามากค่ะ  เพราะมีพนักงานหญิงคนเดียวที่ยื่นยาตัวเดิมให้กับฉันมาตลอดระยะเวลาแปดปี  และฉันไม่ได้อยู่ใกล้กับคนพวกนี้  มันฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี"


"ในบางสัปดาห์ พวกเขาจะปฏิบัติต่อฉันดีขึ้นมาบ้าง   และฉันก็บอกพวกเขาไปว่า ไม่อยากจะขึ้นแสดงที่ Vegas อีกแล้ว  ฉันไม่จำเป็นต้องทำมันเพราะรู้สึกวิตกกังวลมาก  เมื่อพวกเขาบอกว่าฉันไม่ต้องแสดงต่อไปแล้วก็เหมือนกับสลัดน้ำหนัก 200 pounds ไปจากร่างกาย  เพราะมันเป็นสิ่งที่สร้างความลำบากให้ฉันมากมายจริงๆค่ะ  มันหนักเกินไป ฉันรับไม่ไหว"
"ฉันจำได้ว่าได้บอกกับผู้ช่วยไปว่า มันรู้สึกแปลกประหลาดทุกครั้งที่บอกปฏิเสธอะไรไป  เพราะมันรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะย้อนมาทำร้ายหรือทำให้ฉันถูกลงโทษ  สามวันหลังจากที่ฉันบอกว่าจะไม่แสดงที่ Vegas แล้ว  นักบำบัดของฉันก็ได้จับเข่านั่งคุยว่า เขาได้รับโทรศัพท์เป็นล้านๆสายฟ้องว่าฉันไม่ยอมให้ความร่วมมือในการซ้อมและไม่กินยา มันเป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้นค่ะ  เขาจัดยาลิเธียมให้ฉันทันทีโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เขาหยุดตัวอื่นๆที่ฉันเคยใช้มาตลอดห้าปี  ลิเธียมเป็นตัวยาที่แรงมากและแตกต่างจากสูตรยาที่ฉันเคยใช้อย่างสิ้นเชิง ทำให้สภาพจิตเสียหายได้เลยถ้าใช้มากเกินไป  ถ้าใช้ติดต่อกันเกินห้าเดือน แต่เขาจัดมันให้ฉัน และเมื่อใช้มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนเมามาย ฉันจะสื่อสารกับพ่อแม่ก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป   ฉันแจ้งหมอไป แล้วเขาก็ส่งนางพยาบาลหกคนมาที่บ้านฉันพร้อมกับยาสูตรใหม่  พวกเค้าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจับตามองให้ฉันใช้ยาตัวใหม่นี้  ซึ่งฉันไม่อยากจะใช้มันมาตั้งแต่ต้น   พยาบาลหกคนที่บ้านฉันเลยนะคะ  พวกเค้าไม่ยินยอมให้ฉันนั่งรถไปไหนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ"



แทรกคำให้การของ  Britney  ในเรื่องการถูกบีบให้ใช้ยาที่มีผลกระทบหนักต่อเธอนะคะ  Louis Walsh  ที่เคยร่วมเป็นกรรมการในรายการ X Factorได้ยืนยันว่า   ตอนที่นั่งข้างๆ Brit  เธอมีสภาพเหมือนกับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่สามารถแม้แต่จะนั่งตรงๆได้  ทำให้การถ่ายทำจะต้องหยุดชะงักไปหลายครั้ง  ซึ่งสภาวะนี้มาจากการใช้ยาแรงนั่นเอง  เขาจึงรู้สึกเห็นใจเธอเป็นอย่างยิ่ง
 
ครอบครัวที่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง

 "ไม่เพียงแต่ครอบครัวฉันจะไม่ทำอะไรเลยกับเรื่องนี้  พ่อของฉันยังเห็นด้วยเต็มที่   เขาจะเป็นผู้คอยตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่าง  ก่อนที่ฉันจะถูกส่งตัวไปสถานบำบัด เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าฉันต้องรับการตรวจในช่วงวันหยุด Christmas ตอนที่ลูกๆของฉันกลับไปที่บ้านใน Louisiana  เขานั่นแหละที่เป็นคนจัดการอนุมัติเรื่องนี้  ครอบครัวของฉันไม่ทำอะไรเพื่อช่วยฉันเลย" "ในช่วงวันหยุดสองสัปดาห์ จะมีคุณผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้านของฉันและใช้เวลาสี่ชั่วโมงต่อวัน เธอจะจับฉันนั่งเพื่อทดสอบสุขภาพจิต  มันใช้เวลายาวนานมากค่ะ แต่เขาก็บอกว่าฉันต้องทำมัน   จากนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อเพื่อบอกว่า ฉันทดสอบไม่ผ่าน   Britney เสียใจด้วยนะลูก ลูกต้องฟังหมอนะ พวกเค้าจะส่งลูกไปที่Beverly Hills  เพื่อการบำบัดโพรแกรมสั้นๆ ลูกต้องจ่าย$60,000 เหรียญต่อเดือน  ฉันร้องไห้คร่ำครวญเป็นชั่วโมงผ่านโทรศัพท์ และมันทำให้พ่อรู้สึกดีทุกนาทีที่ฉันร้องไห้ซะด้วยค่ะ"


"พ่อชื่นชอบการบงการที่ทำร้ายจิตใจลูกสาวของเขาอย่างแน่นอน 100,000%    ฉันต้องเก็บกระเป๋าเข้าสถานบำบัด  ฉันต้องทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน ไม่มีวันหยุด   ใน California  คนที่ถูกบังคับให้ทำงานแบบนี้เห็นจะมีก้แต่ผู้ที่ถูกค้ามนุษย์ทางเพศ  เป็นการฝืนใจบังคับให้ทำงาน  แล้วยังยึดเอาทรัพย์สินไปหมด  ทั้งเครดิตการ์ด, เงินสด, โทรศัพท์, พาสปอร์ต จับให้อาศัยอยู่กับบรรดาเจ้าหน้าที่ต้องทำงานร่วมกัน   พวกเค้าต้องมาอยู่บ้านฉันทั้งหมด พยาบาล  พนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง  มีเชฟที่เข้ามาทำอาหารให้จันทร์ถึงศุกร์  พวกเค้าจับตามองฉันทุกวัน 'แม้แต่ตอนเปลือยกาย'  เช้า สาย บ่าย เย็น  นี่ร่างกายของฉันนะคะ ฉันล็อคประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวไม่ได้ ฉันต้องเจาะเลือดแปดหลอดให้พวกเขาทุกสัปดาห์"

"ถ้าหากฉันไม่ยอมร่วมประชุมและทำงานจากแปดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น นั่นหมายถึงสิบชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละเจ็ดวัน   ไม่มีวันหยุดพัก  ฉันก็จะไม่สามารถพบกับลูกๆหรือแฟนได้  ฉันหมดสิทธิ์ออกเสียงใดๆในเรื่องตารางงาน พวกเขาจะสั่งฉันให้ทำเช่นนี้เสมอ และท่านคะ   ต้องนั่งบนเก้าอี้สิบชั่วโมงทุกวันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินไปที่ประตูหน้าบ้าน


 
 "นี่คือสาเหตุที่ฉันเลือกเปิดเผยในสิ่งที่เกิดขึ้นในสองปีต่อมา  หลังจากที่โกหกกับคนทั้งโลกว่าฉันสบายดีและมีความสุข มันเป็นเรื่องโกหก นั่นเป็นเพราะฉันดึงดันปฏิเสธความเป็นจริงอยู่  ฉันกำลังช็อคหนัก  แต่ตอนนี้ฉันกำลังพูดความจริงแล้วค่ะ  ฉันไร้สุข  นอนไม่หลับ   ฉันโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุดและรู้สึกซึมเศร้า  ฉันร่ำไห้ทุกๆวัน"
 


"ที่ฉันกำลังจะบอกท่านเรื่องนี้เพราะฉันไม่เชื่อว่า รัฐ California จะออกเอกสารทางศาลยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันโดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร เอาแต่ใช้เงินของฉันว่าจ้างคนหน้าใหม่เพื่อจะเก็บพ่อของฉันในตำแหน่งเดิม ท่านคะ ไม่ว่าพ่อของฉันหรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผู้พิทักษ์นี้ รวมไปถึงตัวการสำคัญอย่างผู้จัดการที่คอยทำร้ายฉันเมื่อบอกปฏิเสธ พวกเค้าควรถูกจำคุกค่ะท่าน วิธีการร้ายกาจของพวกเค้ามีไว้เพื่อจัดการกับ Miley Cyrus ตอนสูบกัญชาบนเวที VMAs ถึงคนรุ่นใหม่นี้จะทำอะไรผิด ก็ไม่ได้ต้องถูกลงโทษใดๆ"

"แต่สำหรับการทุ่มเทใช้ร่างกายอันมีคุณค่าทำงานเพื่อพ่อของฉันมาตลอด 13 ปี  พยายามจะเป็นคนดีและทำตัวเองให้ดูสวย   มันช่างperfect ไปเลยเพราะเขาก็ใช้งานฉันเต็มที่ ฉันที่ยอมทำทุกอย่างที่ได้รับคำสั่ง   และรัฐCalifornia กลับปล่อยให้พ่อของฉันเอารัดเอาเปรียบลูกสาวตัวเอง เขาจะเข้ามาแสดงบทบาทต่อชีวิตฉันก็เฉพาะต่อเมื่อในตอนที่ทำงานกับฉันเท่านั้นค่ะ  มันเป็นการมอบอำนาจเพื่อควบคุมฉันให้กับพวกเขามากเกินไป" "พวกเขายังขู่ว่า หากไม่ยินยอม ฉันก็ต้องมาที่ศาล และมันจะกลายเป็นเรื่องน่าอับอายถ้าผู้พิพากษาพิจารณาหลักฐานต่างๆโดยเปิดเผยต่อสาธารณชน ฉันได้รับคำแนะนำว่าจะต้องทำตามให้จบๆไปซะ   ฉันไม่ดื่มเหล้าด้วยซ้ำไปค่ะ  แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่พวกเขาทำร้ายจิตใจฉันแล้ว ฉันก็ควรจะดื่ม"



 นอกจากนั้น   ที่ฉันถูกส่งตัวไปยังสถานบำบัด  Bridges  ฉันต้องเข้าโพรแกรมบำบัดสี่เดือน  และสองเดือนหลังต้องไปที่ Bridges    ฉันไม่เห็นว่าพวกเด็กที่เข้ารักษาตัวที่นั่นจะโผล่หน้ามารับการบำบัดเลยค่ะ   ถ้าไม่อยากจะเข้าสถานบำบัด ก็ไม่ต้องทำก็ได้  แล้วเพราะอะไรพวกเขาจึงต้องบีบให้ฉันไป ทำไมฉันมักจะถูกพ่อและพวกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผู้พิทักษ์ขู่เข็ญเสมอล่ะคะ?     ถ้าฉันไม่ยอม  พวกเขาก็จะกดขี่ให้ทำตาม พวกเขาจะลงโทษฉัน"  



"ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้พูดคุยกับท่านนั้นกลับมีผลลัพธ์กำหนดให้ระบบผู้พิทักษ์นี้เป็นไปตามเดิม พ่อฉันยังมีอำนาจเด็ดขาด และมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว  เหมือนว่าตัวฉันไร้ความสำคัญ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกจัดการเพื่อตัวฉันเลย  มันเหมือนกับท่านเชื่อว่าฉันกำลังโป้ปด ขอบอกอีกครั้งค่ะ ฉันไม่ได้โกหก ฉันต้องการให้มีคนรับฟัง ฉันย้ำอีกครั้งเพื่อท่าจะได้เข้าใจว่า พวกเขาได้ก่อความเวียหายให้ต่อฉันหนักหนามากเพียงใด"

 "ฉันต้องการความเปลี่ยนแปลงค่ะ  ฉันอยากให้มันก้าวไปข้างหน้า ฉันคู่ควรจะได้รับความเปลี่ยนแปลง     มีคนบอกฉันว่าถ้าอยากจะยุติเรื่องผู้พิทักษ์นี้ไปซะ* ฉันจะต้องเข้ารับการประเมินอีกครั้ง   ท่านคะ  ฉันไม่รู้มาก่อนว่า ฉันสามารถเรียกร้องให้ยกเลิกผู้พิทักษ์คนเดิมได้  ฉันเสียใจกับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของตัวเองค่ะท่าน   แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองติดค้างเรื่องรับการประเมินอีก  ฉันทำมามากเกินพอแล้ว  ฉันไม่ต้องการเข้าไปอยู่ร่วมห้องกับคนที่สร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจด้วยการตั้งเรื่องสติปัญญาของฉันเพื่อเค้นหาคำตอบว่า ฉันจำเป็นต้องอยู่ภายใต้ผู้พิทักษ์งี่เง่านี่หรือไม่ "
 




ไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวว่าจะไม่มีคนเชื่อถือ

"ฉันไม่ได้ติดค้างคนพวกนี้สักนิด  ยิ่งฉันมีสถานะเป็นผู้หาเงินทำให้พวกเขามีรายได้    สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันน่าอายและเสื่อมเสีย  เป็นสาเหตุหลักที่ฉันไม่เปิดใจพูดออกมา   อีกอย่างก็คือ ฉันไม่คิดจริงๆว่าจะมีคนเชื่อ" "ฉันคิดว่า ผู้คนจะล้อเลียนหรือหัวเราะเยาะใส่แล้วบอกว่า  เธอโกหก เธอมีแล้วทุกอย่าง เธอคือ Britney Spears เชียวนะ"


"ฉันไมได้โกหก ฉันแค่อยากได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมา   13 ปีแล้วนะคะ มันเกินพอ   ช่วงเวลาืั้ฉันได้เป็นเจ้าของเงินที่หามาได้มันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ความปรารถนาของฉันคือยุติเรื่องพวกนี้โดยไม่ต้องประเมินทดสอบ" "ย้ำอีกครั้งว่า มันไม่สมเหตุสมผลเมื่อรัฐ California  เอาแต่นิ่งเฉยจ้องมองฉันเป็นแหล่งเงินให้กับมากมายหลายคน ฉันจ่ายเงินให้กับพวกเขา  ร่วมเดินทางไปด้วยกัน  ต้องมาได้ยินว่าฉันไม่ดีพอ    แต่ฉันเก่งกาจในสายงานนี้  แล้วยังปล่อยให้คนพวกนี้มาควบคุมบงการชีวิต   ท่านคะ    พอแล้วค่ะ มันไร้เหตุผลสิ้นดี"
 


detail สุดช็อคเรื่องอื่น

  • เมื่อคิดจะออกมาเปิดเผยเรื่องราว  ทนายของเธอจะหยุดยั้งไว้ด้วยหว่านล้อมว่า เธอจะถูกส่งตัวไปสถานบำบัดอีก และแม้ว่าจะพูดคุยกับทนายรายนี้สามครั้งต่อสัปดาห์   เธอก็อยากได้รับสิทธิ์ในการเลือกทนายด้วยตัวเอง

  • เธอไม่ต้องการเดินทางไปพบกับผู้บำบัดที่ Westlake  เพราะมักจะมี paparazzi รอเก็บภาพน่าอายของเธอ เธอขอร้องให้ผู้บำบัดเดินทางมาที่บ้านของเธอแทน

  • แผลใจจากวิธีการของผู้บำบัดคนเก่าทำให้เธอหวาดดลัวการอยู่ในห้องแคบๆกับคนแปลกหน้า และไม่ต้องการไปรับการบำบัดบ่อยถึงสัปดาห์ละสองสามครั้งกับผู้บำบัดและจิตแพทย์ที่สร้างรู้สึกอึดอัดคับข้องใจให้เธอ    แต่ถ้าไม่ไปบำบัดก็ได้รับคำขู่ว่า เธอจะไม่ได้เช้าถึงเงินของตัวเอง และไม่ได้มีวันหยุดที่  Hawaii

  •  เธออยากจะฟ้องร้องครอบครัวตัวเองที่ทำลับๆล่อๆคอยหาผลประโยชน์จากเรื่องผู้พิทักษ์ แล้วยังเอาเรื่องของเธอไปให้สัมภาษณ์ออกสื่อ


  • เธอถูกกีดกันจากการปรนเปรตัวเองเรื่องความสวยตวามงาม  ในช่วงที่ COVID ระบาดยาวนานหนึ่งปี  เธอไม่ได้ทำเล็บ ทำผม นวดตัว ฝังเจ็ม   โดยที่ได้รับข้ออ้างว่า ไม่มีใครเปิดให้บริการ แต่กลับเห็นแม่บ้านทำเล็บใหม่บ่อยๆ

  • ทีมงานไม่อนุญาตให้เธอพบแพทย์เพื่อเอาห่วงคุมกำเนิดออกเพระาไม่ต้องการให้เธอตั้งครรภ์ ทั้งๆที่เธออยากมีลูกกับแฟน  และเธอยังไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานอีกด้วย

  • เธอยังตั้งข้อสงสัยที่ตัวเองไม่สามารถพบปะเพื่อนฝูง  ทั้งๆที่ได้สร้างมิตรภาพกับเพื่อนหญิงคนหนึ่งในการเข้าชุมนุมเลิกสุรา และเคยพบกับผู้หญิงอีกหลายคน แต่กลับนัดพบกับเพื่อนที่อาศัยในละแวกเดียวกันไม่ได้

  • แม้เธอจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้เปิดใจบอกเล่าเรื่องราวกับผู้พิพากษา แต่เมื่อวางสายไปแล้ว เธอรู้ดีว่าจะได้ยินแต่เสียงห้ามปราม และทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกรุมทำร้าย   และรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจนต้องเปล่าเปลี่ยวใจ    

เธอปิดท้ายด้วยการขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้โอกาสเธอเปิดใจพูด และยังบันทึกคำให้การเพื่อเผยแพร่ออกสื่ออีกด้วย

คำตอบรับจากผู้พิพากษา Brenda Penny  


"ไม่เป็นไรค่ะคุณ Spears และฉันยังอยากจะบอกกับคุณว่า ฉันรู้สึกอ่อนไหวไปกับทุกเรื่องราวที่คุณได้บอกเล่า รวมไปถึงเรื่องความรู้สึกของคุณด้วยค่ะ ฉันรู้ว่าคุณต้องรวบรวมความกล้าเพื่อจะเปิดเผยทุกอย่างออกมา ฉันอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า ศาลรู้สึกขอบคุณที่คุณได้ถ่ายทอดออกมาว่ารู้สึกเช่นไร"





การเปิดใจล่าสุดจาก Britney  


 "ขอโทษที่ฉันแกล้งทำเป็นเหมือนว่าตัวเองสบายดีในช่วงสองปีที่ผ่านมา"




"ฉันอยากจะบอกความลับอะไรบางอย่างให้พวกคุณฟัง  ฉันเชื่อว่าผู้คนทั้งหลายต่างก็ต้องการชีวิตที่เปรียบเสมือนเทพนิยาย และรูปแบบการโพสต์แชร์เรื่องราวชีวิตของฉันนั้นทำให้ดูเชื่อได้ว่า ชีวิตของฉันช่างสวยงามและเลิศเลอ  และฉันว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกเราต่างไขว่คว้าอยากได้มันมา"
 " มันเป็นลักษณะโดดเด่นที่ฉันได้รับมาจากแม่  ไม่ว่าจะมีวันที่ย่ำแย่เพียงใด  ถ้าเพื่อฉันและพี่น้องแล้ว  แม่จะทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างมันราบรื่นดีเสมอ  ฉันยกเรื่องนี้มาเล่าเพราะไม่อยากให้ใครๆคิดว่าชีวิตของฉันมันสมบูรณ์แบบ เพราะมันไม่เป็นแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว   และถ้าคุณได้อ่านข่าวเกี่ยวกับฉันในสัปดาห์นี้แล้ว  คุณย่อมรู้ซึ้งจริงๆว่า  ฉันไม่ได้มีชีวิตสุดเริ่ดเลย"


หลังจากความเปล่าเปลี่ยวไร้เพื่อนฝูงมาโดยตลอด   คนดังร่วมวงการแห่ให้กำลังใจBritney

Mariah ที่ผ่านการต่อสู้กับโรคไบโพลาร์มาเช่นเดียวกับ Britney ได้ส่งกำลังใจมาให้
 
การเรียกร้องให้ทุกคนได้ร่วมสนับสนุน Britney จากฝ่ายอดีตแฟนนั้น มีกระแสตีกลับไม่น้อยเลยค่ะ  เพราะมีชาวเน็ทที่ไม่อินกับคำพูดนี้ และจิกกัดว่า เขาเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ฉุดให้  Britney รู้สึกย่ำแย่ และหาประโยชน์จากความสัมพันธ์กับเธอไม่ต่างจากกลุ่มคนที่เธอกล่าวหาในการไต่สวน



แฟนๆ ตามกดดันครอบครัว Britney  

 น้องสาวลั่น  "ไม่มีทางที่เธอจะออกความเห็นในเรื่องนี้"


เพราะ Britney แสดงความคับแค้นใจจนทำให้มีความคิดอยากจะฟ้องครอบครัวตัวเอง ชาวเน็ทจึงตามไปไล่จี้ Jamie Lynn น้องสาวที่มีภาพสนิทสนมกับเธอมาโดยตลอด หลายคนโทษJL ว่า นิ่งเฉยมองพี่สาวทุกข์ทรมานจากการถูกบีบบังคับ คุมตัวราวกับนักโทษ รวมถึงไม่ยอมปกป้องเธอจากพฤติกรรมของพ่อ
เมื่อถูกโจมตีทางsocial media JL จึงประกาศชัดๆว่า เธอไม่มีทางชี้แจงเรื่องนี้ออกสื่อ เพราะต้นเรื่อง (ฺBritney) ไม่ต้องการให้เธอเปิดเผยอะไรออกมา เธอขอยอมรับความเกลียดชังที่พุ้งเข้ามาทั้งหมดแทนที่จะพูดเรื่องของคนที่ต้องการจะเก็บไว้เป็นส่วนตัว




Britney ได้เปิดเผยความในใจอย่างหมดเปลือกครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ความพยายามที่จะใช้ชีวิตโดยเป็นอิสระต่อระบบผู้พิทักษ์ได้หรือไม่ ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องเกาะติดต่อไป แฟนๆของเธอได้แสดงความเห็นพ้อต้องกันว่า หากเธอสามารถรับผิดชอบการทำงานจนประสบความสำเร็จมาหลายปี เป็นผู้สร้างงานสร้างรายได้ให้กับทีมงาน แต่กลับไม่สามารถมีสิทธิ์ในร่างกายและทรัพย์สินของตัวเอง บางคนได้ยกกรณีคนดังที่มีอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ* แต่ก็สามารถใช้ชีวิตไปพร้อมกับการรักษาตัวและสร้างผลงานในวงการโดยได้รับความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด โดยไม่ทำให้รู้สึกว่าถูกซ้ำเติมด้วยการบีบคั้นให้ไร้ทางออก



*รายชื่อคนดังที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและต้องรักษาโรคจิตเวชไปในเวลาเดียวกัน

Dwayne Johnson - โรคซึมเศร้า
Mariah Carey -โรคไบโพลาร์
Jim Carrey -โรคไบโพลาร์และโรคซึมเศร้า
Selena Gomez -โรคไบโพลาร์
Lady Gaga - โรคซึมเศร้า




ข้อมูลใหม่จากแฟนเก่า(ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม)ของ Brit

อดีตคนรักของBrit ได้ให้สัมภาษณ์กับ The New York Post   และคำพูดของเขาก็ได้สอดคล้องกับคำให้การของเธออยู่หลายประการ    แม้จะไม่ได้เปิดเผยชื่อเพราะเกรงว่าครอบครัวของ Brit จะหันมาเล่นงาน  แต่ก็บอกว่า เมื่อถึงเวลา เขายินดีจะให้การกับศาลเพื่อยืนยันเรื่องเหล่านี้

  •   เขาเคืองที่สุดเมื่อได้ยินว่า ทนายความของ Brit โกหกต่อศาลว่าเธอไม่เคยขอให้ยุติเรื่องผู้พิทักษ์  เพราะเธอขอร้องทนายบ่อยมาก แต่เอ่ยปากพูดเมื่อใดก็จะถูกบอกปัดด้วยคำลวง  เขาหวังว่า เธอจะฟ้องคนเหล่านี้ให้หมด

  • Brit อยากจะมีลูกสาวเป็นที่สุด  แต่ถูกกีดกัน  ทีมสั่งให้เธอรับงานแสดงที่ Vegas แทน

  • ช่วงที่เขาคบหากับ Brit ประมาณสองปี เธอยังไม่ถูกบีบหนักเท่าปัจจุบัน  เธอได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวได้ และเขาสามารถขับรถเธอไปไหนต่อไหนได้  แต่ล่าสุด Brit ได้ขอร้องต่อศาลให้แฟนของเธอมีสิทธิ์ที่จะขับรถมารับเธอ  รวมถึงขอถอดห่วงคุมกำเนิดเพื่อจะได้มีลูก

  •  เขาไม่รู้ว่าเธอใส่ห่วงคุมกำเนิด แต่คาดคะเนเอาเองว่า เธอน่าจะได้รับยาคุมทุกๆวัน  เพราะทีมไม่ต้องการให้เธอตั้งครรภ์  ซึ่งมันจะไปขัดขวางงานที่ Vegas 

  •  เธอไม่ได้เผยความจริงเพราะหวาดกลัวว่าจะถูกพรากลูกๆไป    ครอบครัวสร้างรายได้จากเธอไปมากมาย  พ่อของเธอทำเงินไปอย่างต่ำสองแสนเหรียญต่อปี ทั้งๆที่เธอได้รับอนุญาตให้ใช้เงินเพียงแค่สองพันเหรียญต่อสัปดาห์  และยืนยันว่า ถ้าไม่มี Brit แล้ว  พ่อของเธอย่อมสิ้นไร้ไม้ตอก

  • ทีมงานของ Brit ใช้วิธีทางจิตวิทยาบีบคั้นเธอด้วยการทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ใช่คนและพยายามกีดกันแฟนของเธอออกไป

  •  ช่วงที่คบหากัน   Brit ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมการ post บน Instagram ด้วยตัวเอง

  • เมื่อปีที่แล้ว แฟนเก่าของ Brit คนนี้พร้อมกับแฟนเก่าอีกคนบอกกับ  The Post ตรงกันว่า  ช่วงที่คบกัน  Brit ไม่ได้แสดงอาการป่วยทางจิตหรือแสดงท่าทีเอาแน่เอานอนไม่ได้แต่อย่างใด

  • แฟนเก่าระบุว่า "พวกคน"ที่หลอกใช้ Britหมายถึง พ่อของ Brit  และ  Andrew Wallet อดีตผู้พิทักษ์ร่วม   และยังมีอดีตผู้จัดการทางธุรกิจ Lou Taylor  ที่ลาออกไปปีที่แล้ว  ช่วงที่ความเคลื่อนไหว Free Britney เริ่มร้อนแรง แฟนๆของเธอเชื่อมั่นว่า  สามคนนี้เองที่อยู่เบื้องหลังการบงการชีวิต Brit  ริดรอนสิทธิ์ทางร่างกายและการเข้าถึงทรัพย์สินที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของเธอไป

  •   แฟนๆหลายคนยังเชื่อว่า จากความสำเร็จของเธอตลอดระยะเวลาหลายปี  Brit น่าจะมีทรัพย์สินมากกว่านี้  เธอถูกสูบเลือดสูบเนื้อและแบกภาระจ่ายทุกอย่าง ทั้งทนาย ค่าดำเนินทางกฎหมาย  การรักษาตัวที่แพงระยับ  (มีพยายาลถึงหกคนถูกส่งตัวมากินอยู่ที่บ้านเธอ)  รวมไปถึงทีมที่ถูกแต่งตั้งให้ทำงานช่วยเหลือเธอ แต่กลับฉวยโอกาสจากสภาวะที่ตกอยู่ภายใต้ความดูแลของผู้พิทักษ์    ในขณะที่เธออยากจะใช้เงินปรนเปรอตัวเองในทริปที่ Hawaii ก็ยังต้องถูกขู่เข็ญ และต้องทำตามคำสั่งของทีม

 


เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนเอาใจช่วยให้ Britney ได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม และมีการจัดการที่เป็นธรรมจนทำให้เธอกลับมามีชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE