ความระทมของคนดังเมื่อรับหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็ก
candy 55 13
จากกรณีความขัดแย้งเรื่อง conservatorship ระหว่าง Britney Spears และผู้เป็นพ่อแท้ๆที่สร้างความตื่นตัวในสังคมที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับศิลปินที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน หลายคนต้องแบกรับหน้าที่ breadwinner หรือผู้หาเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่ยังอยู่ในวัยไร้เดียงสา และไม่เคยเว้นว่างภาระหน้าที่นี้จนเติบใหญ่ และยังมีผู้โชคร้ายที่ต้องพบกับเส้นทางแสนระทม ที่แม้จะชื่อเสียงรายได้จะหลั่งไหลเข้ามา แต่กลับถูกมองว่าเป็นเครื่องมือหาประโยชน์จากคนใกล้ชิด
อดีตดาราเด็กชื่อดังกับแผลใจเมื่อพ่อแม่เปิดฉากแย่งชิงสิทธิ์การเลี้ยงดูเพราะผลประโยชน์ส่วนแบ่งรายได้
ผู้คนมากมายมักนึกถึง Macaulay Culkin ในภาพของเด็กน้อยตาแป๋วแหววผมมสีทองที่ดูน่ารักราวกับเทวดาจาก Home Alone แม้ว่าทุกวันนี้เขาจะกลายมาเป็นผู้ใหญ่จนได้เป็นพ่อคน ใครล่ะจะลืมความความน่ารักสดใสยามเยาว์วัยของนักแสดงคนนี้ได้ แต่ความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาก็เคยทำให้เขาต้องใช้กฎหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตัวเองจากผู้ให้กำเนิดมาแล้ว
เมื่อMacaulay Culkin ในวัยเพียง 10 ขวบกลายมาเป็นดาราเด็กสร้างปรากฏการณ์รายได้สูงสุดแห่งช่วง 90s ทำให้สื่อต่างจับตามองทิศทางในวงการของหนุ่มน้อยวัยใสคนนี้ ในหลักกฎหมายแล้ว ด้วยความเป็นผู้เยาว์ อำนาจการตัดสินใจจัดการทรัพย์สินหลายล้านดอลลาร์จะอยู่กับผู้ปกครอง และในขณะที่ชื่อเสียงของ Macaulay กำลังรุ่งโรจน์ พ่อของเขาได้ลาออกจากงานเพื่อมาเป็นผู้จัดการให้เขาอย่างเต็มตัว พ่อแม่ได้ส่วนแบ่ง 15% จากรายได้ของลูกชาย และค่าตัวของเขาในการถ่ายหนังแต่ละเรื่องก็ตกหลายล้านดอลลาร์เลยทีเดียว ( ค่า commission ของ Kris Jennerที่ได้รับฉายา Momager คือ10%จากรายได้ลูกๆ)
จากครอบครัวลูกดกที่เคยต้องอาศัยแออัดยัดเยียดกันในห้องแบบ studio พ่อแม่ของ Macaulay ได้ซื้อ apartment สวยที่ Upper East Side แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อพ่อแม่เผชิญปัญหาชีวิตคู่จนต้องหย่าร้างกัน สิ่งที่ตามมาคือการแย่งชิงสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกชายที่เป็นแหล่งรายได้ของครอบครัว เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงรายได้หลายล้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของ Macaulay ที่ยังเป็นผู้เยาว์นั่นเอง
การเปิดศึกของผู้ปกครองที่ไม่ปิดบังเรื่องความโหยหาในผลประโยชน์จากลูกชาย ทำให้ Macaulay ที่มีอายุเพียง15 ตัดพ่อแม่ออกจากผู้ได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์สินของเขา และทำให้กลายเป็นข่าวครึกโครมว่า Macaulay ได้ตัดขาด*กับพ่อแม่อย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนเจ้าตัวเป็นผู้ใหญ่ก็ได้ออกมาอธิบายว่า ผู้คนได้เข้าใจเรื่องนี้ผิดไป
"เราไม่อยากจะลงเอยด้วยการให้พ่อผมเป็นผู้ปกครองครับ ที่ว่าผมตัดขาดจากพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ผมตัดชื่อพ่อแม่ออกจากกองทุนทรัสต์ และแต่งตั้งผู้พิทักษ์ดูแลเรื่องทรัพย์สินของผม หากว่ามีใครบางคนพยายามจะฉกฉวยผลประโยชน์จากมัน"
" แต่เรื่องราวที่ถูกปล่อยออกมากลับกลายเป็นว่าผมตัดขาดกับพวกเค้า ซึ่งผมก็ทำให้มันโปร่งใสแล้วนะครับ ตัดทั้งชื่อพ่อและแม่ออก จะได้ไม่เป็นการลำเอียง ซึ่งมันทำให้เรื่องยุ่งเหยิงคลี่คลายลงได้เร็วกว่ามาก"
"คือผมทำเงินได้หลายล้านเก็บไว้ในบัญชี แต่แม่กลับไม่มีเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านเพราะเธอใช้มันไปกับค่าทนายจนหมด เรากำลังจะถูกไล่ออกจาก apartment ทางเดียวที่ผมจะเข้าถึงเงินตัวเองได้คือต้องตัดชื่อพ่อออกไปจากทรัพย์สิน แต่ผมไม่อยากให้เรื่องราววุ่นวายใหญ่โต ก็เลยตัดชื่อพวกเค้าออกไปทั้งคู่"
* หากใครยังจำเรื่องราวใน Gossip Girl ได้ จะมีเนื้อหาในช่วงหนึ่งที่ตัวละครผู้เยาว์พยายามยื่นขอ emancipation หรือ ขอความเป็นอิสระจากการดูแลและความรับผิดชอบของผู้ปกครอง ซึ่ง Macaulay ปฏิเสธเรื่องนี้
การหย่าร้างของพ่อแม่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต
Macaulay ได้เปิดเผยถึงการตัดสินใจปลีกตัวออกจากHollywood ทั้งๆที่เส้นทางอาชีพนักแสดงยังรุ่ง สามารถกอบโดยชื่อเสียงเงินทองได้อีกมากมาย นั่นมาจากช่วงเวลาที่พ่อแม่กำลังหย่าร้างกัน และเปิดโอกาสให้เขายุติบทบาทผู้หาเลี้ยงครอบครัว (ซึ่งมีเบื้องหลังสุด toxic)
"ผมจำได้ว่าพอโตขึ้นได้อีกนิดก็เริ่มเหนื่อยหน่าย ตอนที่ถ่ายทำหนัง The Good Son ผมก็มีผลงานไปแล้วสองเรื่องในปีนั้น และผมก็บอกกับ Kit ไปว่า ฟังนะครับ ผมเหนื่อยมากจริงๆ และผมก็ไม่ได้ไปโรงเรียนได้เท่ากับที่อยากจะไป ผมอยากจะขอเวลาพักบ้าง แล้วเขาก็บอกว่าได้สิ แต่ต่อมาก็ต้องถ่ายหนังติดๆกัน ในสมองของผมก็คลิกขึ้นมาว่า ไม่มีทางเลยที่ผมจะทำให้เรื่องนี้หยุดลงได้"
"มีช่วงที่ผมอยากจะพักงานสักระยะ แล้วในที่สุดก็บอกกับพวกเค้าไปว่า ผมขอพอแค่นี้แล้วนะ หวังว่าพ่อกับแม่จะหาเงินเองได้เพราะผมจะไม่จ่ายให้อีกต่อไป"
เคยมีนักข่าวไปไถ่ถามพ่อของ Macaulay ว่าเคยติดต่อกับลูกชายผู้โด่งดังบ้างหรือไม่ เขาตอบกลับมาว่า ไม่ได้พูดคุยกันมายาวนาน และไม่ถือว่าเป็นพ่อลูกกันอีกต่อไป
(ไม่ได้มีแต่ Macaulay เท่านั้นที่ตัดความสัมพันธ์กับพ่อ พี่น้องอีก 5 คนก็เช่นเดียวกัน)
Macaulay ไม่ปิดังเรื่องความสัมพันธ์แบบtoxic ในครอบครัว โดยเฉพาะปัญหากับพ่อที่พยายามควบคุมเขาด้วยพฤติกรรมทารุณทั้งจิตใจและร่างกาย เขาเคยเล่าว่าพ่อพาเดินทางไปหลายรัฐเพื่อaudition "ผมต้องอยู่ร่วมห้องชายที่เกลียดขี้หน้าผม"
อดีตดาราเด็กชื่อดังได้ให้คำจำกัดความผู้เป็นพ่ออย่างอย่างชัดเจนว่า "เขาเป็นคนเลว ทารุณครอบครัว ชั่วร้ายตัวยงเลยครับ"
ในมุมมองของคนเป็นลูก เขาเชื่อว่าพฤติกรรม toxic ของพ่อมาจากความริษยา เนื่องจากพ่อเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงและทุ่มเทเพื่อจะประสบความสำเร็จแต่ก็ต้องผิดหวัง แต่เมื่อเมื่อลูกชายวัยเพียง10 ขวบโด่งดังเป็นพลุแตกก็สร้างความไม่พอใจ และคอยกดดันเขาจนเกิดรอยแผลฝังใจ
อดีตดาราเด็กชื่อดังได้ให้คำจำกัดความผู้เป็นพ่ออย่างอย่างชัดเจนว่า "เขาเป็นคนเลว ทารุณครอบครัว ชั่วร้ายตัวยงเลยครับ"
ในมุมมองของคนเป็นลูก เขาเชื่อว่าพฤติกรรม toxic ของพ่อมาจากความริษยา เนื่องจากพ่อเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงและทุ่มเทเพื่อจะประสบความสำเร็จแต่ก็ต้องผิดหวัง แต่เมื่อเมื่อลูกชายวัยเพียง10 ขวบโด่งดังเป็นพลุแตกก็สร้างความไม่พอใจ และคอยกดดันเขาจนเกิดรอยแผลฝังใจ
Macaulayต้องใช้เวลายาวนานในการยอมรับอดีตที่เจ็บปวดได้ และหันมามองด้านดีๆของชีวิตและบอกกับตัวเองว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เขามีทั้งเงิน บ้าน คนรักแสนสวย สัตว์เลี้ยง ไม่ขาดอะไรอีกแล้วและมีความสุขดี
นักแสดงเด็กที่ถูกแม่ทารุณจนต้องพึ่งพาศาลช่วยฉุดจากความทุกข์
Modern Family ทำให้ Ariel Winter ได้สร้างชื่อในวงการในฐานะนักแสดงเด็ก แต่ก่อนที่จะได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในซีรีส์ดัง เธอต้องทำงานมาตั้งแต่ 4 ขวบ แม่ผู้ทำหน้าี่ผู้จัดการจะพาเธอตระเวณ audition บทหนังและซีรีส์ จนในที่สุดก็คว้าบท Alex Dunphy สาวหัวไบรท์ในครอบครัวสุดป่วนได้ แต่เธอต้องพบว่า ในชีวิตจริง ครอบครัวของเธอนั้นห่างไกลจากความอบอุ่นของบทละครที่แสดง และส่งผลให้เธอต้องยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองเพื่อปกป้องตัวเองจากแม่แท้ๆ
"วัยเด็กของฉันนั้นไม่ได้มีการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นมากนักเพราะฉันถูกห้ามไม่ให้สนิทกับใคร ช่วง 14 ปีแรกของชีวิตฉันน้้นต้องอยู่แต่กับความโดดเดี่ยวและมันก็ไม่ได้รู้สึกดีเลย ฉันเติบโตขึ้นมาด้วยชีวิตครอบครัวที่น่าสนใจ โดยมากแล้วก็มีแต่แม่กับฉันสองคน และเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมนัก"
หนึ่งในทีมผู้สร้าง Modern Family คือพยานที่ยทนยันได้ว่า แม่ของบังคับให้ Ariel ต้องขำกัดอาหาร(เพื่อความสวยงาม) ตั้งแต่ยังเด็ก เธอดูหิวโหยเมื่อต้องทำงานในกองถ่ายจนต้องช่วยแอบซื้ออาหารดีๆให้เพราะเธอได้กินแต่ไก่ต้มและแตงกวา และแม้ว่าจะเหนื่อยล้า แม่กลับบอกให้เธอไปร่วมparty จนดึกดื่น ทั้งๆที่ยังเด็กและต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าตรู่
หนึ่งในทีมผู้สร้าง Modern Family คือพยานที่ยทนยันได้ว่า แม่ของบังคับให้ Ariel ต้องขำกัดอาหาร(เพื่อความสวยงาม) ตั้งแต่ยังเด็ก เธอดูหิวโหยเมื่อต้องทำงานในกองถ่ายจนต้องช่วยแอบซื้ออาหารดีๆให้เพราะเธอได้กินแต่ไก่ต้มและแตงกวา และแม้ว่าจะเหนื่อยล้า แม่กลับบอกให้เธอไปร่วมparty จนดึกดื่น ทั้งๆที่ยังเด็กและต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าตรู่
ถูกขายเรื่องเพศมาตั้งแต่เด็ก
"ฉันต้องใส่กระโปรงสั้นตัวเล็กๆ ใส่ชุดปกกะลาสี เว้าลึก ชุดที่สั้นสุดๆ มีคนที่คิดว่าฉันอายุ24 ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันแค่12 ถ้าเกิดว่ามีคนบอกให้แสดงบทเปลือยตอนอายุแค่นั้น แม่ฉันจะตอบรับแน่นอน 1000% ค่ะ"
Ariel ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไป เธอเคยเรียนอนุบาลและชั้นประถมเพียงสั้นๆ และต้องจ้าง tutorส่วนตัวที่สามารถปรับเวลาเรียนเข้ากับตารางเวลาการทำงาน เพราะให้ความสำคัญกับการauditionบทละครมากกว่า
"ฉันต้องใส่กระโปรงสั้นตัวเล็กๆ ใส่ชุดปกกะลาสี เว้าลึก ชุดที่สั้นสุดๆ มีคนที่คิดว่าฉันอายุ24 ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันแค่12 ถ้าเกิดว่ามีคนบอกให้แสดงบทเปลือยตอนอายุแค่นั้น แม่ฉันจะตอบรับแน่นอน 1000% ค่ะ"
Ariel ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไป เธอเคยเรียนอนุบาลและชั้นประถมเพียงสั้นๆ และต้องจ้าง tutorส่วนตัวที่สามารถปรับเวลาเรียนเข้ากับตารางเวลาการทำงาน เพราะให้ความสำคัญกับการauditionบทละครมากกว่า
เมื่ออายุได้ 14 ปี Ariel จึงตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่กับ Shanelle ผู้เป็นพี่สาวและยื่นขอความเป็นอิสระจากการดูแลและความรับผิดชอบของแม่ และขอให้พี่สาวเป็นผู้ปกครองแทน เธอระบุว่า ถูกแม่ทำร้ายร่างกาย (ตบตีและฉุดกระชาก) และทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดรุนแรง Sharon Sacks ครูสอนการแสดงที่ร่วมงานใน Modern Family ได้รับรู้เรื่อง Ariel ถูกแม่ abuse ด้วยตาตนเองและเขียนจดหมายแจ้งต่อ Child Protective Services เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือดูแล แม้ว่าแม่ของเธอจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและอ้างว่านี่เป็นพฤติกรรมต่อต้านของวัยรุ่น แต่ศาลก็มีคำสั่งให้เธอเป็นอิสระจากแม่ได้ในที่สุด
หากพี่สาวไม่ตกลงเรื่องการทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง Arielได้ทำใจแล้วว่าอาจจะต้องเข้าสู่ระบบบ้านอุปถัมป์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า เธอเคยพบกับพี่ที่อายุมากกว่าหลายปีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
"ฉันไม่ได้ทำความรู้จักสนิทสนมกับพี่สาวมากนัก เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เจอกับเธอค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า พี่คือบุคคลต้นแบบที่ฉันอยากจะดำเนินรอยตาม มันน่าประทับใจมากที่เราสามารถใกล้ชิดกันในเวลาเพียงสั้นๆ"
" ตอนเด็กๆ ฉันรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เด็กสาวต่างก็มีจุดที่ไม่มั่นใจ สำหรับฉันถูกตอกย้ำเรื่องนี้เพราะแม่ไม่ให้กำลังใจเท่าไรนัก" เธอได้บรรยายถึงความเปลี่ยนแปลงว่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับพี่สาว ก็ได้รับคำชื่นชมเสมอ ทำให้เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง
หากพี่สาวไม่ตกลงเรื่องการทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง Arielได้ทำใจแล้วว่าอาจจะต้องเข้าสู่ระบบบ้านอุปถัมป์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า เธอเคยพบกับพี่ที่อายุมากกว่าหลายปีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
"ฉันไม่ได้ทำความรู้จักสนิทสนมกับพี่สาวมากนัก เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เจอกับเธอค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า พี่คือบุคคลต้นแบบที่ฉันอยากจะดำเนินรอยตาม มันน่าประทับใจมากที่เราสามารถใกล้ชิดกันในเวลาเพียงสั้นๆ"
" ตอนเด็กๆ ฉันรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เด็กสาวต่างก็มีจุดที่ไม่มั่นใจ สำหรับฉันถูกตอกย้ำเรื่องนี้เพราะแม่ไม่ให้กำลังใจเท่าไรนัก" เธอได้บรรยายถึงความเปลี่ยนแปลงว่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับพี่สาว ก็ได้รับคำชื่นชมเสมอ ทำให้เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง
หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่สาวที่เคยถูกแม่ทำร้ายจนต้องแยกตัวออกมาก่อนหน้า Ariel ยังมีโอกาสได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพ่อที่ห่างเหินกันไปหลังจากแยกทางกับแม่และกลับมาสนิทสนมกัน อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ถูกกดดันมาตัั้งแต่เด็กก็ทำให้เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและรับการรักษาด้วยยาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สิ่งที่ Ariel พุ่งเข้าหาคือการเข้าไปใช้ชีวิตนักเรียนในโรงเรียนชื่อดังของ LA เมื่อจบมัธยม มหาลัยชั้นนำอย่าง Yale และ Princeton ก็ตอบรับเธอให้เข้าเรียนต่อ แต่เจ้าตัวเลือกเรียนที่ UCLA ก่อนที่จะพักการเรียนไปเพราะไม่สามารถจัดตารางให้ลงตัวกับการเข้าเรียนได้
เมื่อได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สิ่งที่ Ariel พุ่งเข้าหาคือการเข้าไปใช้ชีวิตนักเรียนในโรงเรียนชื่อดังของ LA เมื่อจบมัธยม มหาลัยชั้นนำอย่าง Yale และ Princeton ก็ตอบรับเธอให้เข้าเรียนต่อ แต่เจ้าตัวเลือกเรียนที่ UCLA ก่อนที่จะพักการเรียนไปเพราะไม่สามารถจัดตารางให้ลงตัวกับการเข้าเรียนได้
ช่วงที่ต่อสู้เรื่องสิทธิ์การเป็นผู้ปกครอง แม่ของ Ariel แย้งว่า สภาพทางการเงินที่ขัดสนของ Shanelle นั้นส่อถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์ที่จ้องจะหาประโยชน์จากเงินของ Ariel แต่ Shanelle ระบุชัดเจนว่า จะไม่ขอเป็นผู้มีอำนาจเข้าถึงทรัพย์สินของน้องสาว ส่วนคนที่ได้รับหน้าที่นี้ไปคือพ่อของเธอ ในทางกลับกัน เมื่อได้หนีออกจากการควบคุมของแม่ Ariel ต้องพบว่าสถานะทางการเงินของเธอไม่ดีถึงขั้นเป็นหนี้ แม้ว่าจะเคลียร์หนี้สินไปได้แล้ว แต่ก็ย่อมมีความค้างคาใจตามมาว่าเงินค่าตัวหลายแสนเหรียญต่อเดือนจาก Modern Family รวมถึงรายได้จากการเป็นนักพากย์ (Sofia The First และอีกหลายเรื่อง) จะหายไปที่ใคร หากไม่ใช่แม่ของเธอ ? เพราะนี่คือผู้ที่เคยมีสิทธิ์จัดการทรัพย์สินของลูกสาวที่เป็นผู้เยาว์เพียงผู้เดียว
เว็บ Celebrity Net Worth ได้คำนวณรายได้ต่างๆของAriel ไว้ราวๆ12 ล้านเหรียญ เมื่อวิเคราะห์จากเรื่องราวที่เธอต้องเผชิญ หากไม่ใช้กฎหมายต่อสู้เพื่อให้เป็นอิสระจากแม่ ไม่เพียงแต่จะถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เธออาจจะไม่มีทรัพย์สินไว้เป็นหลักประกันในอนาคตมากขนาดนี้ก็เป็นได้
ตำนานศิลปินที่โลกไม่ลืม
เริ่มทำงานมาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวน้อย แต่ถูกรุมทึ้งจากผู้หวังผลประโยชน์จนจบชีวิตด้วยโศกนาฏกรรมอันเจ็บปวด
ช่วงที่Britney Spears ให้การต่อศาลเพื่อร้องขอให้พ้นสภาพที่ต้องตกอยู่ภายใต้ conservatorship กลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงของโลกออนไลน์ เราได้พบความเห็นของชาวเน็ทบางคนที่ทำให้สะท้อนใจ นั่นคือการแสดงความเป็นห่วงใยที่ไม่อยากต้องเห็น Brit ต้องพบกับชีวิตระทมทุกข์เหมือน Judy Garland ศิลปินระดับตำนานที่ทำงานบันเทิงมาตั้งแต่ยังไร้เดียงสา แต่กลับพบจุดจบที่สะเทือนใจ ทั้งๆที่เคยประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในระดับglobal และเป็นที่รักจากแฟนๆมากมาย
โลกได้ประจักษ์กับความสามารถอันโดดเด่นและความรักในศิลปะการแสดงและขับร้องของJudy Garland จากบท Dorothy แห่ง The Wizard of Oz แต่หลายปีก่อนหน้านั้น เธอเป็นเพียงจากเด็กตัวจิ๋วที่ร่วมเข้าวงกับพี่สาวเพื่อร้องเต้นบนเวทีด้วยการสนับสนุนของพ่อที่เป็นเจ้าของโรงละคร และแม่ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการ เด็กทั้งสามได้เดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อนำเสนอการแสดงให้เป็นที่รู้จักในฐานะ The Gumm และ Garland Sisters หลังจากที่แม่ของพวกเธอพยายามเต็มที่เพื่อจะผลักดันให้ลูกสาวได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ และทำให้ Judy ในวัย 13 ปีได้เซ็นสัญญากับMGM ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของวงการ
วัฒนธรรมสุด toxic ของHollywood ในยุคทองนั้นไม่แยแสถึงความเยาว์วัยของศิลปินแต่อย่างใด หากปรารถนาจะเป็นดาวเจิดจรัสโดดเด่นในวงการ ศิลปินจะต้องเชื่อฟังนายทุนและผู้บริหารแม้ว่าจะเป็นคำสั่งที่อันตรายมากเพียงไหน Judy ในวัยเยาว์ถูกหยิบยื่นแอมเฟตามีนให้เพื่อใช้มันกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัวตลอดเวลาเพื่อรับกับตารางงานอันยาวนาน ผู้บริหารค่ายหนังยังกดดันเธอเรื่องรูปลักษณ์ที่ไม่ตรงกับความงามในอุดมคติของนางเอกซุปตาร์ในยุคนั้นที่ต้องสวยหยาดเยิ้มจนเหลือเชื่อ Judyที่มีส่วนสูงเพียง 151 cm ดูแตกต่างไปจากRita Hayworth หรือ Lauren Bacall เธอสูงไม่พอ สวยไม่พอ ผอมไม่พอ นาเสพติดที่ร้ายกาจนี้ส่งผลให้เธอผอมลงอย่างทันใจ หลังจากที่ studio ต้องเข้มงวดกับเรื่องการ diet ของนางเอกขายดีของค่ายถึงขั้นที่เสิร์ฟแค่ซุปและผักกาดหอมให้เธอเท่านั้น
ทั้งๆที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสร้างรายได้เข้าสู่ครอบครัว แต่กลับมีข่าวลือว่า แม่ของเธอนั่นเองที่จัดหายากระตุ้นประสาทและยากล่อมประสาทให้ลูกสาวตั้งแต่สิบขวบ มีรายงานว่า Judy ตั้งฉายาเรียกแม่ตัวเองที่เจ็บแสบแบบตลกร้ายว่า "แม่มดใจร้ายแห่งตะวันตกตัวจริง" แน่นอนว่า เธอติดยางอมแงมในเวลาไม่นาน ชีวิตที่ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากชื่อเสียงความเป็นดาวดังทำให้พ่วงอาการติดสุรา และความเจ็บป่วยทางจิตใจอย่างหนักจนเกิดอาการ breakdown ( ซึ่งทำให้คนยุคนี้นำ ชีวิต Britney ไปเปรียบเทียบกับเธอ) และพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว
"แม่ของฉันเป็นแม่ผู้จัดการตัวจริง เป็นแบบที่ใจร้ายด้วยค่ะ" Judy ได้เปิดใจตรงไปตรงมากับ Barbara Walters ในปี 1967
"แม่อิจฉาริษยาแทบตายเพราะเธอไร้พรสวรรค์ใดๆทั้งนั้น ตอนที่ฉันยังเด็ก เธอจะยืนมองอยู่ด้านข้างๆ หากฉันป่วยหรือคลื่นไส้ เธอจะขู่ว่า จะออกไปร้องเพลงหรือจะให้มัดติดเขาเสาเตียงแล้วถูกตีจนตัวหัก ฉันจึงต้องฝืนออกไปร้องเพลงบนเวที"
แม้จะประสบความสำเร็จทั้งการแสดงดนตรี เล่นหนังทำเงินและกวาดรางวัลมามากมาย Judy ต้องฝ่าฟันกับปัญหาชีวิตที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ( การแต่งงาน 5 ครั้ง และข่าวลือเรื่องการนอกใจ) อาการเสพติดที่อาจจะมีต้นเหตุมาจากผู้ให้กำเนิด อาการทางจิตเวช ในช่วงหลังๆ เธอต้องพบกับสภาพการเงินที่ติดขัด ค้างจ่ายภาษีรัฐเป็นเงินมหาศาล มีรายงานว่า เงินทองมากมายที่เธอทุ่มเททำงานมาทั้งชีวิตมีการจัดการที่ผิดพลาดและยังถูกฉ้อฉลไปจนเธออยู่ในขั้นตกอับ โดยเฉพาะ Sidney Luft สามีคนที่ 3 ที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการและถูกกล่าวหาว่าผลาญเงินเธอไปกับการพนันจนเกลี้ยง
Lorna Luft ลูกสาวของเธอได้เล่าว่า ในช่วงวัยหลักสี่ แม่ไร้ทางไปถึงขั้นไม่มีบ้านซุกหัวนอน และเคยต้องเปิดการแสดงที่บาร์เกย์แลกเงินร้อยเหรียญต่อคืน และพึ่งพาแฟนๆที่เปิดประตูบ้านให้เธอได้อาศัย ภาพซุปตาร์ที่ตกอับจนต้องนอนบนโซฟาของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องเศร้าที่เล่าขานมาถึงปัจจุบัน
Judyยังดึงดูดแฟนๆให้หลั่งไหลมาชมการแสดงบนเวที แต่ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรม อาการทางจิตเวชทำให้เธอมีพฤติกรรมที่แปรปรวน ทั้งหวาดกลัวก่อนขึ้นแสดงและพูดจาไม่ได้ความจนต้องเรียกร้องหายามากขึ้น มันได้นำมาสู่การเสียชีวิตช็อคโลก เมื่อเธอใช้ยา barbiturates เกินขนาด(ยากดประสาทช่วยให้นอนหลับ คลายวิตกกังวลที่มีผลข้างเคียงสูง จนไม่นิยมใช้ในปัจจุบัน) เธอมีอายุเพียง 47 ปีเท่านั้น
มีรายงานว่า แม้จะทำงานมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยวัยแค่สองขวบและสร้างรายได้เป็นล้านๆ เธอมีทรัพย์สินเหลือไว้เพียงสี่หมื่นเหรียญ ขากปัญหาทางการเงินที่เรื้อรังหลายปี ทั้งการให้เงินจำนวนมากกับครอบครัว แม้จะจ้างวานตัวแทนให้มาบริหารจัดการทรัพย์สิน แต่กลับล้มเหลวจนเธอแทบไม่เหลืออะไร แม้จะระบุในพินัยกรรมเพื่อยกทรัพย์สินให้กับบุคคลใกล้ตัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นถูกประเมินไปใช้จ่ายหนี้สินที่รออยู่เป็นภูเขา ลูกสาวที่ดำเนินรอยตามเป็นศิลปินชื่อดัง Liza Minnelli ต้องวิ่งเต้นหาเงินมาปิดยอดหนี้สิน
มักจะมีผู้วิเคราะห์เรื่องราวแสนเศร้าของ Judy Garland ว่า เส้นทางชีวิตของเธออาจจะไม่ดำดิ่งสู่หุบเหว ถ้าหากมีผู้ปกป้องเธอจากการฉกฉวยผลประโยชน์มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงไร้เดียงสา แต่กลับกลายเป็นว่า คนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดที่อาจจะเป็นจอมบงการที่ผลักดันให้เธอก้าวสู่จุดเริ่มต้นแห่งหายนะจนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้