คนดังกับวาทะเด็ดแก้เผ็ดพิธีกร
candy 49 12
สื่อมวลชน องค์กรที่ถูกมองว่ามีพลังชี้เป็นชี้ตายอนาคตของศิลปินดาราได้ จากผลประโยชน์ที่เกื้อหนุนกันทำให้ผู้คนมองว่า เหล่าคนดังจำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตามสื่อทรงอิทธิพล แม้ว่าจะถูกตีตราไม่ต่างจากสินค้ารวมถึงถูกจาบจ้วงด้วยคำพูดที่คนทั่วไปต้องหน้าชาแทน ก็ต้องอดทนเพื่อรักษาภาพลักษณ์สวยงามเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกสื่อเล่นงานให้เดือดร้อน
แต่สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนบันเทิงที่เคยสงวนท่าทีไม่โต้ตอบคำพูดและพฤติกรรมล่วงละเมิดก็ได้ลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองโดยไม่หวั่นเกรงอำนาจสื่อ นั่นเป็นเพราะว่า หลายคนได้เรียนรู้ถึงสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อจิตใจ ไม่ใช่สินค้าหรือถูกกระทำได้ตามใจ และเมื่อพวกเค้าได้เผยวาทะเด็ดแก้เผ็ดสื่อ ผู้คนในสังคมกลับเปลี่ยนท่าทีมาชื่นชมในไหวพริบและความกล้าที่จะสวนกลับพฤติกรรมล้ำเส้นของผู้ที่มีชื่อว่าเป็นตัวแทนที่ทำหน้าที่กระบอกเสียงเพื่อประชาชน
ลองมาติดตามได้เลยว่า เหล่าคนดังจะใช้ไม้เผ็ด call out สื่อกันได้เจ็บสักแค่ไหน
แต่สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนบันเทิงที่เคยสงวนท่าทีไม่โต้ตอบคำพูดและพฤติกรรมล่วงละเมิดก็ได้ลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองโดยไม่หวั่นเกรงอำนาจสื่อ นั่นเป็นเพราะว่า หลายคนได้เรียนรู้ถึงสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อจิตใจ ไม่ใช่สินค้าหรือถูกกระทำได้ตามใจ และเมื่อพวกเค้าได้เผยวาทะเด็ดแก้เผ็ดสื่อ ผู้คนในสังคมกลับเปลี่ยนท่าทีมาชื่นชมในไหวพริบและความกล้าที่จะสวนกลับพฤติกรรมล้ำเส้นของผู้ที่มีชื่อว่าเป็นตัวแทนที่ทำหน้าที่กระบอกเสียงเพื่อประชาชน
ลองมาติดตามได้เลยว่า เหล่าคนดังจะใช้ไม้เผ็ด call out สื่อกันได้เจ็บสักแค่ไหน
พฤติกรรมของสื่อดังในอดีตที่รอดตัวจาก cancel culture
ใรระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีเสียงจากคนทำงานวงการบันเทิงว่า cancel culture จากปฏิกิริยาจากผู้คนในสังคม'เปราะบาง'มากซะจนถือมองว่าทุกอย่างเป็นการล่วงละเมิด ส่งผลให้เกิดเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมจนทำให้ต้องระแวดระวังทุกความเคลื่อนไหวส่งผลกระทบกับ'ความสร้างสรรค์'ในการนำเสนอผลงาน
แต่หากคุณได้มองย้อนไปยังพฤติกรรมของผู้ที่เป็นสื่อทรงอิทธิพลในอดีต ก็อาจจะต้องชั่งใจกับคำพูดด้านบน จากวีรกรรมที่ยิ่งกว่าล้ำเส้น แต่กลับไร้กระแสสังคมต่อต้านหรือแสดงการปกป้องผู้ถูกเหยียบย่ำ และทำให้หลายคนไดมองเห็นประโยชน์ของ cancel culture ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องการวิ่งตามเทรนด์ไร้สาระของ social justice warriors ดังที่เคยมีเสียงเยาะเย้ย
แต่หากคุณได้มองย้อนไปยังพฤติกรรมของผู้ที่เป็นสื่อทรงอิทธิพลในอดีต ก็อาจจะต้องชั่งใจกับคำพูดด้านบน จากวีรกรรมที่ยิ่งกว่าล้ำเส้น แต่กลับไร้กระแสสังคมต่อต้านหรือแสดงการปกป้องผู้ถูกเหยียบย่ำ และทำให้หลายคนไดมองเห็นประโยชน์ของ cancel culture ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องการวิ่งตามเทรนด์ไร้สาระของ social justice warriors ดังที่เคยมีเสียงเยาะเย้ย
David Letterman พยายามเลียต้นคอและกินเส้นผมของJennifer Aniston
ตลอดหลายสิบปีมานี้ David Letterman สร้างชื่อเสียงในฐานะพิธี talk show ระดับแนวหน้าของอเมริกา
David Letterman สร้างชื่อเสียงในฐานะพิธี talk show ระดับแนวหน้าของอเมริกา บารมีของเขาได้ดึงดูดแขกรับเชิญระดับ A List ร่วมนั่งเปิดใจสัมภาษณ์ ด้วยลีลาคารมที่พริ้วไหวทำให้รายการของเขาประสบความเร็จอย่างสูงมาตลอดหลายสิบปี หนึ่งในความโดดเด่นของพิธีพรสูงวัยผู้นี้คือการแสดงท่าทีพึงใจต่อแขกรับเชิญเพศตรงข้าม แม้จะได้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าดูถึงเนื้อถึงตัวมากเกินไปสักหน่อย แต่มันก็ดูไม่กระทบต่อภาพลักษณ์สื่อผู้โด่งดังของเขาแต่อย่างใด จนเมื่อไม่นานมานี้เองที่ชาวเน็ทได้ส่งต่อคลิปรายการที่เราสามารถยืนยันว่า ไม่ว่าจะมองมุมไหน คุณก็ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวให้กับคนๆนี้ได้เลย
Letterman มัก flirt ใส่แขกรับเชิญสาวสวยด้วยมุกตลกทางเพศที่ชวนอึดอัด ในขณะที่ Gwen Stefani เล่าถีงผลงานเพลงของเธอ เขากลับขัดเธอหลายรอบเพื่อชื่นชมเรื่องรูปร่างและกลิ่นที่หอมโดนใจ เขาคอมเมนท์เสื้อคอคอลึกของ Janet Jackson ด้วยมุกล้อเลียนเหตุการณ์ nipplegate แห่งโชว์พักครึ่งของ Super Bowl และอีกหลายเรื่องที่ทำให้คุณต้องเสียความรู้สึกแทนแขกรับเชิญหญิงเหล่านั้น
Letterman มัก flirt ใส่แขกรับเชิญสาวสวยด้วยมุกตลกทางเพศที่ชวนอึดอัด ในขณะที่ Gwen Stefani เล่าถีงผลงานเพลงของเธอ เขากลับขัดเธอหลายรอบเพื่อชื่นชมเรื่องรูปร่างและกลิ่นที่หอมโดนใจ เขาคอมเมนท์เสื้อคอคอลึกของ Janet Jackson ด้วยมุกล้อเลียนเหตุการณ์ nipplegate แห่งโชว์พักครึ่งของ Super Bowl และอีกหลายเรื่องที่ทำให้คุณต้องเสียความรู้สึกแทนแขกรับเชิญหญิงเหล่านั้น
แต่มันน่าเหลือเชื่อที่สังคมของเราได้ปล่อยผ่านวีรกรรมชวนขนลุกต่อหน้ากล้องในปี 1998 เมื่อ Letterman เข้าประชิดตัว Jennifer Aniston แล้วดูปอยผมของเธอโโยไม่ทันตั้งตัว คงไม่ต้องบรรยายว่า Jennifer จะรู้สึกอี๋แหวะขนาดไหน เธอรีบนำผ้าเช็ดผมที่เปื้อนคราบน้ำลายออก และพยายามประคองสติให้สัมภาษณ์ต่อ มันชัดเจนมากๆว่า ไม่ใช่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจ หรือร่วมจัดฉากเพื่อสร้างกระแส อย่าลืมว่า ณ ตอนนั้น Jen ครองสถานะหวานใจอเมริกา ที่มีภาพลักษณ์สวยงาม เธอโด่งดังมากมายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ trick ถูกพิธีกรดูดเลียผม
ถามใจกันตรงๆ หากเป็นปัจจุบัน พิธีกร talk show ที่กล้ามากพอจะล่วงละเมิดแขกรับเชิญผู้หญิงจะรอดจากกระแสต่อต้านไปได้หรือไม่ น่าเศร้าที่ความอึดอัดของเธอกลับกลายเป็นเรื่องขำขัน กว่าเทปนี้จะเป็น viral สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จริงๆก็ผ่านไปแล้วร่วมสองทศวรรษ ลองคิดสิว่า หากLetterman มาดูดผมของ Emma Watson ในยุคนี้จะเกิดอะไรขึ้น??
ในยุคนี้ สื่อหลายเจ้าต่างก็ยกเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในรายการของ Letterman มาเป็นหลักฐานขยี้ว่า เขาคือ creep ตัวจริงของวงการ
ถามใจกันตรงๆ หากเป็นปัจจุบัน พิธีกร talk show ที่กล้ามากพอจะล่วงละเมิดแขกรับเชิญผู้หญิงจะรอดจากกระแสต่อต้านไปได้หรือไม่ น่าเศร้าที่ความอึดอัดของเธอกลับกลายเป็นเรื่องขำขัน กว่าเทปนี้จะเป็น viral สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จริงๆก็ผ่านไปแล้วร่วมสองทศวรรษ ลองคิดสิว่า หากLetterman มาดูดผมของ Emma Watson ในยุคนี้จะเกิดอะไรขึ้น??
ในยุคนี้ สื่อหลายเจ้าต่างก็ยกเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในรายการของ Letterman มาเป็นหลักฐานขยี้ว่า เขาคือ creep ตัวจริงของวงการ
Howard Stern เหยียด Anna Nicole Smith เรื่องความอ้วน และเสนอเงินเพื่อให้เธอยอมชั่งน้ำหนักพิสูจน์
Howard Stern มักดึงดูดความสนใจจากแฟนๆ ด้วยสไตล์การจัดรายการที่ดุเด็ดเผ็ดมัน แต่ในบางครั้ง คำพูดของเขาก็อาจจะทำให้คุณนึกถึงคนที่มักออกตัวว่า เป็นคนตรงๆจึงพูดแรงๆ และไม่แยแสถึงเส้นแบ่งระหว่างนิสัยตรงไปตรงมากับความหยาบคายไม่ให้เกียรติผู้อื่น
น่าเศร้าใจ เมื่อนางแบบผู้ล่วงลับ Anna Nicole Smith ต้องเผชิญกับความอับอาย เมื่อ Stern เหยียดหยามเธออย่างไม่ไว้หน้า
"ดูจากการแต่งตัวของคุณแล้ว ผมไม่คิดว่าคุณรู้ตัวว่าตัวเองเป็นสาวร่างใหญ่"
เมื่อเธอยักไหล่ตอบอย่างไม่สนใจว่า รู้ตัวดีเรื่องตัวเองมีรูปร่างใหญ่
"แล้วมันยังไงเหรอคะ?"
สิ่งที่นักจัดรายการคนดังพูดต่อ อาจจะทำให้คุณต้องตะลึงว่า นี่คือสิ่งที่เป็นยอมรับได้ในยุคนั้นจริงหรือ
"ถ้าคุณให้เราชั่งน้ำหนักคุณ ผมจะยกเงินให้สามพันดอลลาร์แถมด้วยXbox ให้ลูกคุณ"
แน่นอนว่า Anna ที่มีสีหน้าตกใจได้ตอบปฏิเสธออกไปอย่งรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่หยุดที่ตรงนั้น ยังย่ามใจพูดต่อว่า เขาได้พนันเรื่องนี้กับคนอื่นเอาไว้เจ็ดร้อยดอลลาร์ หากเธอยอมชั่งน้ำหนัก เขาก็จะยอมเปิดของลับให้เธอชม
แรงได้อีกค่ะ เป็นยุคที่สื่อมีเสรีเรื่องbody-shaming จริงๆ
(ลองจินตนาการสิว่า หาก Rihanna ได้รับคำถามเดียวกับจาก Howard Stern เธอจะตอบกลับเช่นไร)
สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ คนดังในอดีตเจอสื่อล้ำเส้นจนผู็ชมรู้สึกโกรธแทนแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าพวกเค้าเลือกที่จะอดทนมากกว่าฟาดฟันกลับให้อีกฝ่ายรับบทเรียน
คนดังที่ฟาดกลับสื่อจนผู้ชมสะใจกันถ้วนหน้า
Dakota Johnson "ไม่นะ คุณโกหกนี่นา"
พิธีกร talk show รุนใหญ่อย่าง Letterman ถูก call out จนต้องออกมาขอโทษ แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก cancel culture จนต้อง cancel รายการจริงๆ หนีไม่พ้นEllen DeGeneres ทั้งๆที่เธอมีเพื่อนฝูงคนดังมากมายที่ออกตัวสนับสนุนเต็มที่ แต่ก็มีผู้ที่เคยเป็นแขกรับเชิญรายการบางคนออกมาเปิดใจถึงสไตล์การสัมภาษณ์ที่ทำให้อึดอัด อารมณ์ขันแนวแกล้งกันแบบหน้าตาย หรือบีบคั้นให้ตอบคำถามที่ไม่พึงปรารถนา และการโต้กลับด้วยรอยยิ้มผู้ชนะของDakota Johnson นี่เองที่สร้างกระแสร้อนแรงในโลกออนไลน์ซะยิ่งกว่าฉากเผ็ดในหนังตระกูล 50 Shades ซะอีก
หลายคนอาจจะทราบต้นเรื่องกันอยู่ก่อนแล้วว่า Ellen มีการนำเสนออารมณ์ขันเฉพาะตัวเพื่อไล่บี้แขกรับเชิญให้จนมุม เธอเคยกล่าวหา Dakota ว่าไม่ยอมเชิญไปร่วม birthday party ในการสัมภาษณ์ครั้งที่แล้ว และครั้งนี้ Ellen ก็ใช้มุกเดิมเพื่อบีบ Dakota ให้หาข้อแก้ตัวมาแก้ไข้สถานการณ์
"จริงๆแล้ว ไม่ใช่เลย มันไม่เป็นความจริง Ellen ปีที่แล้วมี่ฉันมาออกรายการของคุณ คุณก็เล่นงานฉันซะหนักเลยว่าไม่ยอมเชิญไปงาน แต่ฉันไม่รู้สักนิดว่าคุณอยากจะไป"
"ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณชอบฉันรึเปล่า"
เมื่อพืธีกรยืนยันว่า แน่ล่ะที่เธอต้องชื่นชอบDakota จากที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญตั้งหลายครั้ง นางเอกคนงามก็ปล่อยไม้เด็ดว่า
"แต่ฉันเชิญคุณแล้ว คุณไม่มาเองนี่" ถึงกระนั้น Ellen ก็ทำท่าทางไม่เชื่อถือจนเธอต้องยืนยันพยานว่า ให้ถามโพรดิวเซอร์รายการได้เลยว่าเธอเชิญEllen แล้วจริงๆ จนทำให้เริ่มรื้อฟื้นความจำขึ้นเองว่า ได้รับเชิญแต่ไม่ไปจริงๆ awkward!
และเรื่องราวกลับถูกเปิดเผยภายหลังว่า ในช่วงweekend ที่ Dakota จัด party Ellen เดินทางไปชมอเมริกัยฟุตบอลเคียงข้างกับอดีตประธานาธิบดี George W Bush และภรรยา
กลายเป็นว่า การย้อนให้พิธีกรดังทำ fact check ด้วยท่าทีเหนือกว่าของ Dakotaได้เรียกคะแนนความนิยมของเธอให้สูงขึ้น ชาวเน็ทบางคนยกให้เธอเป็นฮีโร่ จากที่ไม่ยอมให้สื่อบีบคั้นได้เพียงฝ่ายเดียว แต่ใช้ข้อเท็จจริงเล่นงานจนอีกฝ่ายไปไม่เป็น ช่วงที่ Ellen ประกาศ cancelรายการ คลิปการสัมภาษณ์ของ Dakota ก็กลายมาเป็น viralอีกครั้ง รวมถึงตอนที่ไปให้สัมภาษณ์ในรายการของ Drew Barrymore ที่ใช้โอกาสนี้กล่าวชื่นชมว่า "เธอแน่มาก!"
Anne Hathaway "โทษทีนะคะ ฉันก็อยากอยู่บ้านอยู่หรอก แต่มันจำเป็นต้องโพรโมทหนัง"
เส้นทางสู่รางวัลOscar ของAnne Hathaway นั้นมาพร้อมกับแรงกดดันสาหัสเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชาวเน็ทที่รวมตัวในชื่อของ Hathahaters ต่อต้านเธอ รวมถึงโมเมนท์น่าอายที่เซเลบหญิงบงคนต้องพานพบ เมื่อกล้อง paparazzi จับภาพที่ของสงวนที่อยู่ภายใต้ร่มผ้าในขณะก้าวขาออกจากรถและมันก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ดึงดูความสนใจไปจากผลงานหนังของเธอ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นอุบัติเหตุที่ตามมาหลอกหลอน( เมื่อภาพตรงนั้นของเธอถูกส่งต่อไปทั่วinternetและถูกสื่อล้อเลียนอย่าไม่ปราณี) Anne ก็พยายามโฟกัสไปที่การนำเสนอผลงานชิ้นสำคัญในชีวิต แต่ก็มีสื่อที่ฉวยโอกาสจากเหตุการณ์นี้เหยียบย่ำให้เธอรู้สึกแย่ลงไป
ในการให้สัมภาษณ์กับ Matt Lauerในรายการ Today Show ในปี 2012 ดูเหมือนว่า ฝ่ายพิธีกรจะไม่ยอมปล่อยให้ Anne รอดไปจากเรื่องใต้กระโปรงของเธอไปได้ เพียงแค่เปิดประโยคทักทาย เขาก็ใช้ยิงคำพูดเป็นนัยพร้อมกับท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องทันทีว่า
"ช่วงนี้ได้เห็นตัวคุณเยอะจังเลยนะ"
แต่ Anneพยายามใจเย็น และตอบกลับไปว่า
"ขอโทฐด้วยค่ะ ถ้าได้อยู่บ้านฉันก็รู้สึกดีนะคะ แต่ว่ามีหนังน่ะสิ"
Lauer ไม่ยอมให้เธอเปลี่ยน topic ไปที่ผลงาน (ตามความตั้งใจที่ต้องตระเวณออกสื่อเพื่อโพรโมทหนัง) เขา
"มาพูดกันตรงๆกันดีกว่า คืนก่อน คุณเจอกับความผิดพลาดเรื่องเครื่องแต่งกายมา คุณได้เรียนรู้อะไรจากจุดนั้น นอกเหนือจากเรื่องที่คุณเอาแต่ยิ้มต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณทำมาตลอดอยู่แล้ว"
นี่อาจจะเป็นติดอันดับสถานการณ์สุดเหยียดเพศในรายการสัมภาษณ์คนดัง เปิดรายการด้วยการพูดถึงภาพหลุดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และให้ความเห็นถึงนักแสดงมืออาชีพที่มีสิทธิ์ลุ้น Oscar ว่าทำได้ก็แค่ยิ้มเท่านั้น
แต่ Anne ดูมี 'ของ'มากกว่าจะปล่อยให้พลังงานด้านลบฉุดเธอให้ตกต่ำได้
เธอตอบว่า...
ในการให้สัมภาษณ์กับ Matt Lauerในรายการ Today Show ในปี 2012 ดูเหมือนว่า ฝ่ายพิธีกรจะไม่ยอมปล่อยให้ Anne รอดไปจากเรื่องใต้กระโปรงของเธอไปได้ เพียงแค่เปิดประโยคทักทาย เขาก็ใช้ยิงคำพูดเป็นนัยพร้อมกับท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องทันทีว่า
"ช่วงนี้ได้เห็นตัวคุณเยอะจังเลยนะ"
แต่ Anneพยายามใจเย็น และตอบกลับไปว่า
"ขอโทฐด้วยค่ะ ถ้าได้อยู่บ้านฉันก็รู้สึกดีนะคะ แต่ว่ามีหนังน่ะสิ"
Lauer ไม่ยอมให้เธอเปลี่ยน topic ไปที่ผลงาน (ตามความตั้งใจที่ต้องตระเวณออกสื่อเพื่อโพรโมทหนัง) เขา
"มาพูดกันตรงๆกันดีกว่า คืนก่อน คุณเจอกับความผิดพลาดเรื่องเครื่องแต่งกายมา คุณได้เรียนรู้อะไรจากจุดนั้น นอกเหนือจากเรื่องที่คุณเอาแต่ยิ้มต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณทำมาตลอดอยู่แล้ว"
นี่อาจจะเป็นติดอันดับสถานการณ์สุดเหยียดเพศในรายการสัมภาษณ์คนดัง เปิดรายการด้วยการพูดถึงภาพหลุดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และให้ความเห็นถึงนักแสดงมืออาชีพที่มีสิทธิ์ลุ้น Oscar ว่าทำได้ก็แค่ยิ้มเท่านั้น
แต่ Anne ดูมี 'ของ'มากกว่าจะปล่อยให้พลังงานด้านลบฉุดเธอให้ตกต่ำได้
เธอตอบว่า...
"ฉันเสียใจที่เราใช้ชีวิตในสังคมที่นำเรื่องทางเพศที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมิได้เต็มใจมาเป็นจุดขาย ซึ่งทำให้ต้องย้อนกลับไปมองที่หนัง Les Mis เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ตัวละคร Fantine ต้องเผชิญค่ะ เธอคือบุคคลที่ถูกบีบให้ขายร่างกายเพื่อลูก เพราะเธอไร้หนทางและไม่มีความปลอดภัยทางสังคมช่วยรองรับ ใช่ค่ะ เรากลับมาที่คุยกันในประเด็น Les Mis กันดีกว่า"
ใช่ค่ะ เธอให้บทเรียนกับพิธีกรรายนี้อย่างclassy ไม่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยว และดึงหัวข้อสนทนาไปยังผลงานที่เป็นความประสงค์สำคัญในการมาออกรายการ ใครกันที่อยากจะพูดบรรยายความรู้สึกถึงเรื่องภาพ upskirt ที่ทำให้คนทั้งโลกเห็นของลับกันบ้าง!
Matt Lauer ไม่ได้ตั้งคำถามละลาบละล้วงแขกรับเชิญหญิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่มีเหตุการณ์คล้ายๆกันเกิดขึ้นเป็นระยะ หลังจากนั้นหลายปี ความเคลื่อนไหว MeTooก็เล่นงานพิธีกรชื่อดังคนนี้ เมื่อพนักงานในสถานีโทรทัศน์ร้องเรียนว่าเขามีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมในสถานที่ทำงาน และโทษก็ร้ายแรงถึงขั้นถูกไล่ออกจากNBC ว่ากันว่าความตกต่ำที่เคยอยู่จุดสูงสุดในวงการ talk show ได้กลายมาเป็นต้นแบบของซีรีส์ The Morning Show(ที่นำโดยJennifer Aniston และReese Witherspoon) ที่ดึงดูดเรตติ้งจากเรื่องราวของ host ผู้โด่งดังที่ถูกสถานีไล่ออกจากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศเช่นเดียวกัน
Helen Mirren "นักแสดงหญิงมืออาชีพมีหน้าอกใหญ่ไม่ได้รึไง"
หากคิดว่า ยุค 90s -2000s นั้น คนดังก็ต้องเจอคำถามแรงๆจากสื่อจนตกอกตกใจกันแล้ว ย้อนไปที่ยุค 70s เมื่อคุณยายสุดแซ่บ Helen Mirren ยังมีอายุเพียงสามสิบกันค่ะ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Helen มีภาพลักษณ์ sex symbol มาก่อน ในสังคมที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากกว่าปัจจุบัน เธอโด่งดังด้วยบทบาทของหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ แม้ว่าจะมีผลงานหลากหลายทั้งงานหนังและละครเวที แต่หลายคนก็จดจำภาพเธอจากนางเอกผู้เร่าร้อนเปลือยกายถ่ายเลิฟซีน จนนำไปสู่คำพูดเสียดแทงใจที่แม้นักแสดงสาวสวยในปัจจุบันก็ยังต้องเจอ นั่นคือ การไม่ให้เครดิตความสามารถเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเย้ายวน หรือการถูกประเมินไว้ต่ำเพราะ stereotype ผู้หญิง sexy ที่ถูกอคติว่าไม่มีความสามารถหรือไร้สมอง
ในปี1975 Helen ในวัย 30 ที่กำลังรุ่งโรจน์จากผลงานละครเวทีจนได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ Royal Shakespeare Company ได้รับเชิญมาพูดคุยถึงอาชีพนักแสดงหญิงที่ถูกจับตามองในรายการของ Michael Parkinson เขาเริ่มต้นแบบจัดเต็มด้วยการเรียกเธอว่า 'ราชินีแห่ง sex'
"มีการกล่าวอ้างว่า คุณเป็นนักแสดงหญิงผู้เอาจริงเอาจัง" เขาแย้บใส่หมัดแรก
" อ้างเหรอ คุณหมายถึงอะไรที่บอกว่าอ้างน่ะ คุณกล้าดียังไง" Helen สวนกลับจุกๆ
หลังจากที่พิธีกรพยายามแถข้างๆคูๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังเหยียดต่อไปว่า
"คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า สิ่งที่เปรียบเป็นเครื่องเคราของคุณนั้นถือเป็นอุปสรรคที่ฉุดรั้งการไขว่คว้าหาความสำเร็จ"
"ฉันต้องการให้คุณอธิบายมาชัดๆถึงคำว่าเครื่องเครา" Helen ยังไม่ลดความ fierce
เมื่อได้ยินพิธีกรพึมพำอธิบายว่า ความหมายของเครื่องเคราคือร่างกายของเธอ เธอก็ไล่จี้ให้เขาพูดออกมาตรงๆว่า กำลังพูดถึงนิ้วมือของเธอหรืออะไรกันแน่ และเมื่อฝ่ายตรงข้ามจ้องไปที่หน้าอกของเธออย่างมีเลศนัย เธอจึงโต้ตอบแบบศรีจะไม่ยอมทนว่า
"เพราะนางเอกผู้เอาจริงเอาจังจะต้องไม่มีหน้าอกใหญ่ คุณหมายความว่าอย่างนั้นใช่รึเปล่า"
หลังจากที่ได้ยินคำตอบอ้อมแอ้มว่า หน้าอกใหญ่ๆของเธอจะเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ชมไปจากการแสดง Helenก็ได้สอนเชิงพิธีกรจนกลายมาเป็นตำนาน
"อย่างนั้นหรอกหรือคะ ฉันไม่คิดว่ามันจะจริงสักเท่าไร นั่นคงเป็นการแสดงที่ด้อยคุณภาพมาก หากผู้ชมเอาแต่หมกมุ่นเรื่องนมหรืออะไรอย่างอื่น"
"ฉันหวังว่าการแสดงและการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงบนเวทีและผู้ชมจะทำให้คำถามน่าเบื่อแบบนี้หมดไปสักที"
( bossมากค่ะคุณยาย)
จากเส้นทางของนักแสดงละครเวทีดาวรุ่ง Helen ยิ่งพุ่งสูงขึ้นทุกที หวากรางวัลมาสะสมไม่รู้มากมายเท่าไร คนยุคหลังอาจจะนึกถึงรางวัลOscar แต่ในส่วนวงการ playที่อังกฤษนั้น เธออยู่ในชั้นครู จะไปจับงาน TV ก็กอบโกยทั้งเรตติ้งและมาอีกเพียบ เมื่อมีผู้นำคลิปสัมภาษณ์นี้มาเผยแพร่ทาง internet ก็มีกระแสกดดันให้พิธีวัยชราออกมาขอโทษที่ตั้งคำถามเหยียดเพศ แต่เขาปฏิเสธหนักแน่น แต่เมื่อถมความรู้สึกของ Helen ที่ยึดตำแหน่งนางเอกชั้นนำมาเนิ่นนาน เธอก็บรรยายความรู้สึกว่า...
"ตอนนั้นฉันตื่นตระหนกไปเลยค่ะ ฉันย้อนกลับไปชมการสัมภาษณ์นั้นและคิดว่า โอแม่เจ้า! ฉันตอบได้เด็ดไปเลย ตอนนั้นฉันยังอายุน้อยและขาดประสบการณ์ และเขาก็เป็นเจ้าเฒ่าจอมเหยียดเพศ ถึงตอนนี้เขาก็ยังปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่ แต่เขาเหยียดเพศกันชัดๆ"
Yuh-Jung Youn "ฉันไม่ใช่หมานะ"
ช่วงเวลาประวัติศาสตร์เมื่อYoun Yuh-jung แห่งหนัง Minariได้กลายมาเป็นนักแสดงเกาหลีคนแรกที่คว้า Oscar ย่อมสร้างความชื่นมื่นในกลุ่มผู้ที่คาดหวังจะเห็นความพัฒนาจากการยอมรับความหลากหลาย แต่หนึ่งในคำถามที่นางเอกอาวุโสจากแดนโสมต้องได้ยินกลับทำให้หลายคนตีความหมายไปทางประหลาด นั่นคือคำถามที่แสดงอารมณ์ขันว่า กลิ่นของ Brad Pitt ที่ทำหน้าที่ประกาศรางวัลเกียรติยศให้เธอนั้นเป็นอย่างไร
คำตอบที่เหมือนจะขำๆ แต่ก็ปรามให้คิดได้ไปในตัวของเธอกลายมาเป็นหัวข้อข่าวจากสื่ออย่างพร้อมเพรียง
"ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้คอยดมเขานี่ ฉันไม่ใช่หมา"
คนฟังอาจจะหัวเราะเฮฮา รวมถึงชอบเน็ทที่ถูกใจทัศนคติแบบ sassy ของเธอ แต่ลองนึกดีๆ คำถามเรื่องกลิ่นก็มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่
หากให้เปรียบเทียบ ก็คงต้องนึกภาพของ Regina King นางเอกมากฝีมือที่เป็นผู้ประกาศรางวัล Oscar ให้กับ Brad Pitt เมื่อปี 2020 พวกเค้าแสดงความยินดีด้วยการจูบแก้มและพูดคุยใกล้ชิดสนิทสนม แต่คุณคงไม่คาดจะได้เห็นนักข่าวถามเธอว่ากลิ่นของ Brad Pitt เป็นอย่างไร รวมไปถึง Renée Zellweger และ Laura Dern ที่คว้า Oscar ที่คว้า Oscar ไปในปีเดียวกันก็คงไม่ต้องมาตอบคำถามว่าได้ดมกลิ่นของพระเอกหนุ่มใหญ่หรือเปล่า
นั่นอาจจะสะท้อนให้เห็นถึงวิธีปฎิบัติของสื่อ Hollywood ต่อศิลปินดาราต่างประเทศ ทั้งๆที่เธอเป็นนักแสดงวัยอาวุโสที่เป็นย่ายายของหลายคน และทำงานบันเทิงในบ้านเกิดมายาวนานหลายสิบปี แต่กลับต้องมาตอบคำถามเรื่องกลิ่นของพระเอกดังที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี
ที่สำคัญ คำถามเรื่องหรือการชื่นชมเรื่องกลิ่นกาย กลิ่นน้ำหอมเป็นสิ่งที่หลายคนระมัดระวัง เพราะอาจจะถูกมองว่าคุกคามทางเพศ หรืออาจจะให้คนถูกถามอึดอัดใจ ดังกรณีของ Phoebe Dynevor ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องกลิ่นของ Regé-Jean Pageแห่ง Bridgerton บ่อยซะจนเธอเหนื่อยตอบ จนต้องออกมาชี้แจงว่า เขาไร้กลิ่นตัวรบกวนใจซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะต่างก็เป็นคอกาแฟ จึงมีกลิ่นกาแฟเป็นบางครั้ง แต่เมื่อลองนึกถึงเหตุผลที่นางเอกสาวต้องมาคอยตอบคำถามเรื่องกลิ่นของนักแสดงผู้ร่วมงาน ก็คงหนีไม่พ้นเสน่ห์ทางเพศของฝ่ายชายที่สร้างความฮือฮาจนโด่งดังชั่วข้ามคืน หากเป็นนางเอกคู่ขวัญที่เข้าฉากบนเตียงสุดร้อนแรง ย่อมจะสูดดมกลิ่นของพระเอกผู้หล่อเหลาไปเต็มที่ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การถ่ายทำฉากเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพ กว่าจะได้ภาพตรงใจผู้กำกับก็ต้องถ่ายทำยาวนานต่อหน้าทีมงานหลายคน ไม่ใช่โมเมนท์ที่นักแสดงแอบแซบในขณะทำงาน หรือลองนึกถึงกรณี David Letterman ยามที่เขาทำหน้าตากรุ่มกริ่มชื่นชมกลิ่นของแขกรับเชิญหญิง ก็ไม่ได้สร้างบรรยากาศที่ให้เกียรติอีกฝ่ายแต่อย่างใด