เปลี่ยนไปแค่ไหน? หนุ่มหล่อ teen crush แห่งยุค 2000s

50 14

เมื่อลองย้อนไปในสมัย 2000s คุณเคยคลั่งไคล้ใครสุดๆจนเรียกว่าเป็น crush ในวัยเยาว์ ?

หากให้ไล่เรียงถึงชายหนุ่มที่ทำให้หังใจของพวกเราหวั่นไหวไปเมื่อร่วมๆยี่สิบปีก่อน   ยุคที่เรายังไม่มี smartphone   หรือยังไม่ค้นหูกับคำว่า K-Pop   รูปแบบความติ่งนั้นอาจจะดูแตกต่างออกไปจากปัจจุบัน   พวกเราอาจจะไม่ให้เข้าถึงทุกสิ่งได้ง่ายดายเพียงรูดปื๊ดที่หน้าจอโทรศัพท์  หรือนัดรวมพลเพื่อแสดงพลังติ่งกันแค่คลิกเดียว    แต่บางครั้ง เมื่อได้นึกถึงสุดที่รักในวันวานก็ทำให้คุณรู้สึกหวานเล็กๆขึ้นมาใจได้เสมอ

Jesse McCartney ไอดอลหนุ่มใสผมม้าปรกตา

ก่อนที่ Justin Bieber จะแจ้งเกิดในวงการด้วยทรงผมหน้าม้าหัวเห็ดแบ๊วๆ สาววัยรุ่นหลายคนก็เคยมีโปสเตอร์ภาพของหนุ่มตาสวยคนนี้ Jesse McCartney แม้ว่างานเพลงของเขาจะไม่ได้สร้างปรากฏการณ์เหมือนกับ JB แต่อัลบั้ม Beautiful Soul ก็ขายดีในระดับ platinum และด้วยภาพลักษณ์ของไอดอลหนุ่มใสที่เนื้อหอมสุดๆ เขาจึงเป้นดาวเด่นในงานประกาศรางวัลอย่าง Teen Choice Awards และ Kids' Choice Awards


ถ้ายังนึกถึงเพลงดังของเค้าไม่ออก เราจะใบ้ด้วยการขึ้นเนื้อเพลง

I don't want another pretty face
I don't want just anyone to hold
I don't want my love to go to waste
I want you and your beautiful soul

(ตอนที่เปิดเพลงนี้ ลูกสาวที่บ้านถามว่า แม่ฟัง Justin Bieber ทำไม??   ซึ่งก็ร้าวใจนิดๆที่ต้องอธิบายว่า มันเป็นเพลงเมื่อ 18 ก่อน แม่ยังไม่จบมหาลัยเลย!)

Jesse ส่งผลงานดนตรีออกมาเรื่อยๆ จากภาพไอดอลหล่อเหลาที่อาจจะถูกมองว่าขายหน้าตาเป็นหลัก แต่ผลงานที่โดดเด่นของเขาอีกประเภทคือการแต่งเพลง ในช่วงปลายยุค 2000s ที่ผู้คนได้หันมาใช้ iPhoneกันแล้ว เขาก็ได้ส่งเพลง Leavin ที่มียอดดาวนืดหลดกว่าสองครั้งบน iTunes ส่วนในปีหลังๆ เรื่องงานเพลงอาจจะไม่สร้างกระแสเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ยังมีงานแสดง รวมถึงการเข้าร่วม TV showดังอย่าง The Mask Singer ที่เฉียดชัยชนะไปเพียงนิดเดียว



ปัจจุบันJesse มีอายุ 34 ปี  เขาไม่ได้ห่างหายจากวงการไป แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ได้สร้างกระแสร้อนแรงเหมือนเดิม


Westlife   Boy band ไอริชเจ้าของผลงานเพลงที่พวกเราได้ยินไปทุกหนทุกแห่ง



นี่คือยุคแห่งความเบ่งบานของ Boy band   หลายคนอาจจะหลงลืมความรู้สึกนั้นไปบ้างแล้ว   แต่เมื่อใดก็ตามที่เพลง  Fool again, My love, If I let you go และ I lay my love on you  ดังขึ้นมาในห้างสรรพสินค้า  คาเฟ่  หรือที่ใดก็ตาม     คุณก็อาจจะฮัมตามขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว  หรืออาจจะเหมือนเราที่รู้สึกอัซจรรย์ใจหน่อยๆ เพราะขนาดกุญแจรถตัวเองยังจำไม่ค่อยได้ว่าวางอยู่ที่ไหน  แต่เนื้อเพลงที่โด่งดังมาก่อนจะมีลูกมีเต้าก็ยังจำได้แม่นซะงั้น!


ในวงประกอบไปด้วย

Shane Filan 
นักร้องนำของวง    ได้ไลน์ร้องมากที่สุด  มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่

Markus Feehily 
หล่อใสปากแดง  ดวงตาสีฟ้าใสดูบริสุทธิ์จนมีคนเปรียบว่าเหมือนเทวดาน้อย ถ้าเปรียบกับวงการ K Popอาจจะเรียกว่าvisual idolได้

Kian Egan
หนุ่มบลอนด์ที่ที่ดูมีsex appeal สูง

Nicky Byrne 
หล่อน่ารัก และดูคล้ายกับป๋า Ronan Keating แห่ง Boyzone ที่ปั้นวงนี้มากับมือ

Brian McFadden  
ตัวสูงที่สุดในวง ได้ line ร้องเป็นลำดับสอง  เป็นคนเดียวที่ลาออกจากวงไม่หวนคืน  สื่ออังกฤษให้ความสนใจกับชีวิตส่วนตัวของเขามากกว่าสมาชิกคนอื่น



ติ่ง Boy band สายสากล (รวมถึงgirl band) น่าจะคุ้นเคยกันดีว่า ผู้สร้างไม่ได้โฟกัสกับการแบ่งบทบาทของสมาชิกให้โชว์ศักยภาพให้เท่าเทียมกัน บางวง สมาชิกบางคนจะมีท่อนร้องโซโล่เพียงน้อยนิด รับหน้าที่ประสานเสียงและเต้น ส่วนผู้ได้รับการพิจารณาว่าความสามารถและเสน่ห์ที่โดดเด่นที่สุด ก็จะได้รับมอบหมายหน้าที่" The แบก" ของวง

หากเด็ก Gen Z มาชมผลงาน อาจจะมีสงสัยกันบ้างว่า เพราะอะไร วงหนุ่มไอริชที่โด่งดังช่วงสองทศวรรษก่อนนั้นจึงไม่เต้นเอาซะเลย ความโดดเด่นของ music video ของพวกเค้าคือการเดิน เดิ๊น เดินไปเรื่อยๆด้วยท่วงท่าที่หล่อที่สุด บ้างก็เดินข้ามเมืองแล้วไปหยุดประสานฮู้ฮาที่หน้าผา บ้างก็เดินลุยน้ำทะเลเล่นน้ำเฮฮาประสาหนุ่มๆ ตามมาด้วยการผายมือไปพร้อมกับสายลมพริ้วไหว หรือเดินตากฝนอยู่ดีๆก็สอดแทรกภาพทัวร์ญี่ปุ่นที่มีแฟนๆแห่แหนติดตามด้วยความคลั่งไคล้ หากเป็นการแสดงสด ไม่นั่งเก้าอี้ก็ยืนจับไมค์โยกไปมา บางเพลงก็มีหมุนตัวสับขาบ้างไม่ให้จำเจเกิน ถ้าคาดหวังว่าจะได้เห็น Hip Hop Dance Choreography คงน่าจะยาก
และนี่คือ Westlife ที่เหลือทั้งสี่คน ขึ้นหลักสี่เป็นหนุ่มใหญ่กันพร้อมหน้า    ผมเผ้าก็เซ็ทให้ดูมี volume ไม่จับช่อหัวหนามเหมือนเทรนด์ดังยุคนั้น ส่วนfashionก็เปลี่ยนจากกางเกงขาใหญ่ๆมาเป็น skinny jeans และเอาเข็มขัดอันโตๆออกเท่านั้นเอง     พวกเค้าแยกวงกันเมื่อสิบปีก่อน  แต่ก็กลับมาร่วมงานกันใหม่ และแฟนๆ(ที่ต่างสูงวัยตามไอดอล)ก็ยังต้อนรับอย่างอบอุ่น  โดยเฉพาะที่บ้านเกิดไอร์แลนด์ 

Josh Harnett  พระเอกดาวรุ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น The Next Big Thing



เรามักจะได้เห็นหัวข้อบทความในโลกออนไลน์หลายครั้งว่า   Josh Hartnett หายไปไหน?  และเพราะอะไรเขาจึงถอยห่างจากโลก  Hollywood  ทั้งๆที่กำลังรุ่งสุดๆ   เราจะมาคลายข้อสงสัยกัน

Pearl Harbor  อาจจะถูกนักวิจารณ์ถล่มเละเทะ     ถึงขนาดที่มีผู้แต่งเพลงล้อเลียน Ben Affleck เป็นเรื่องเป็นราว   แต่ในตอนนี้น ถ้ามีคนถามหาความรื่นรมย์จากหนัง  หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าย่อมเป็น  Josh Hartnett ที่โปรยเสน่ห์ไว้เรี่ยราด  ไม่ว่าจะเป็นนัยน์ตาที่ดูใสซื่อจริงใจ โครงหน้าที่ดูแข็งแกร่งสไตล์เดียวกับ Brad Pitt   สื่อชั้นนำหลายเจ้าก็จับเขามาขึ้นปกพร้อมกับฟันธงว่า นี่แหละว่าที่ดาวดังแห่งวงการคนต่อไป!
แต่ดูเหมือนว่า เขาเริ่มห่างหายไปจากวงการแสดง ทั้งๆที่กำลังรุ่งสุดๆ  จนอายุล่วลเลยหลักสี่ไปแล้วจึงได้เปยกับสื่อว่า เคยได้รับข้อเสนอให้แสงบท Superman ใน Superman Returns   รวมถึงเคยติดอยู่ในรายชื่อพระเอกที่  Christopher Nolan สนใจให้ารับบทในหนังตระกูล  Dark Knight trilogy  แต่เขาได้ตอบปฏิเสธไป  และได้ให้เหตุผลว่า    เขาไมอยากให้ภาพลักษณ์ความเป็นนักแสดงถูกตีกรอบในหนัง superhero   เพราะพระเอกจำนวนมากที่เคยสร้างความโด่งดังจากบทแนวนี้ต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมายเพื่อจะกลับมาสร้างชื่อเสียงจากบทบาทใหม่  (หลังจากที่ผู้คนติดภาพที่เคยรับบท superhero จนมองเป็นแบบอื่นไม่ได้)



แต่ถามว่าเขาหายไปจากวงการจริงๆหรือเปล่า? บอกเลยว่าไม่แน่นอน น่าจะคล้ายกับ Robert Pattinson ที่โด่งดังจนได้รับฉายา teen crush หรือ heart-throb แต่แทนที่จะใช้จังหวะเวลาแบบน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่เขาได้เลือกเล่นหนังที่หลากหลาย โดยเฉพาะบทหนังที่เหนือความคาดหมาย โดยที่ได้ให้คำอธิบายว่า การถอยจากแสงสีชื่อเสียงใน Hollywood ในยุค 2000s คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอาชีพนักแสดงและสุขภาพจิตของเขา ซึ่งได้เปิดโอกาสให้เลือกรับแสดงหนังที่ชื่นชอบโดยที่สามารถสร้างชีวิตครอบครัวไปพร้อมกันได้




Josh รับมือกับภาพลักษณ์หนุ่มเสน่ห์ร้อนได้ไม่ดีนัก อย่างการขึ้นการ Vanity Fair ซึ่งเจ้าตัวบรรยายความรู้สึกในตอนนั้นว่า การใช้คำโปรยบรรยายเรื่องรูปลักษณ์ที่แสนดึงดูดใจของเขา โดยตัวเขาเองไม่ได้เป็นคนพูดอะไรแบบนั้นออกมา ทำให้ผู้คนมองเขาด้วยความไม่พอใจ (อาจจะหมั่นไส้) อย่างการเปรียบเทียบเขากับกับกระเอกระดับtopอย่าง Tom Cruise หรือการฟันธงว่า เขาจะสร้างชื่อเสียงชั่วข้ามคืนจาก Pearl Harbor ซึ่งยิ่งสร้างความกดดันให้เขามากกว่า

นับตั้งแต่ Peal Harbor และ Black Hawk Down  ก็ดูเหมือนว่า Josh จะถอยห่างจากความ mainstream ไป   จนกระทั่งได้เป็นหนึ่งในนักแสดงนำซีรีส์ Penny Dreadful ที่ได้ประชันบทบาทกับ Eva Green    ส่วนล่าสุด  แม้เขาจะไม่ได้ไป cast บท Batman เมื่อหลายปีก่อน  แต่ก็ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหนัง Oppenheimer ผลงานการกำกับของ Christopher Nolan ที่หลายคนตั้งตาคอย


Chad Michael Murray   เจ้าชายหวานใจ Cinderella ยุค 2000s 


ยุคของหนัง teen ก็ต้องมาพร้อมกับ teen crush แนวขวัญใจสาวมัธยม  และเราคงข้ามหนุ่มคนนี้ไปไม่ได้เลย     Chad Michael Murray สร้างชื่อเสียงได้รวดเร็วใน  Hollywood  เริ่มจากวงการ  TV ในซีรีส์ดังที่มีแฟนเบสเป็นสาวๆอย่าง Gilmore Girls  และ Dawson's Creek   จากบทสมทบก็เรียกความนิยมได้มากโข  จนก้าวมาเป็นพระเอกเต็มตัวคู่กับ Hilary Duff ไอดอลแห่งยุคใน The Cinderella  Story    ซึ่งบอกเลยว่า  บทหนุ่มฮ็อทประจำโรงเรียนแทบจะเป็นแบรนด์ของเขาไปเลย


เมื่อพูดถึงความ hot ของ Chad  ภาพตอนถอดเสื้อในหนังเลือดสาด House Of Wax ก็ลอยขึ้นมาทันที  แต่ถ้าจะพูดถึงความสำเร็จที่ผู้คนติดภาพจริงๆ ย่อมเป็นซีรีส์ One Three Hills ทีไ่ด้รับความนิยมเนิ่นนานหลยซีซันติดต่อกัน บอกเล่าเรื่องราวชองวัยรุ่นมัธยมที่ค่อยๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เต็มไปด้วยดราม่ารักหลายเส้า มิตรภาพและการหักหลังที่เต็มไปด้วยน้ำตา   ไม่ต้องเดาว่า Chad ต้องรับบทนักกีฬาสุดหล่ออีกแล้ว   

พระเอกที่ได้ขึ้นชื่อว่าแซ่บสุดๆในยุค  2000s ได้เข้าสู่วัยสี่สิบปี และยังวนเวียนในวงการแสดงทั้งจอแก้วและจอหนัง  แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้เห็นเขาจากหนังฟอร์มยักษ์ แต่ก็เคยประกบคู่กับ superstar สุดเก่าอย่าง Bruce Willis  ในหนัง Fortress ทั้งสามภาค


และแม้ว่าจะอายุอานามมากขึ้น ก็ได้รับการทาบทามให้ร่วมแสดงในRiverdaleซีรีส์วัยรุ่นกระแสดี  สร้างความฮือฮาให้กับแฟนๆที่ยังจดจำความ hot ของเจ้าตัวในยุค 2000s ได้ดี

จะมีใครบ้างที่ได้ recreate ช่วงเวลาที่เคยแต่ง costume เจ้าชาย  เมื่อได้โอกาสก็ต้องจัดสักที


Ryan Phillippe  เสน่ห์หนุ่มร้ายเกินต้านทาน



ถ้าถามหาผู้ชายหน้าสวยมากๆ ประเภทขนตางอนเด้ง ปากแดงจิ้มลิ้ม ผิวพรรณเนียนใส แต่ออร่าความ bad แผ่กระจายจนต้องขอยอมพ่ายแพ้ เราจะเลือกใครคนอื่นได้ ก็ต้อง Ryan น่ะสิ!

ในสมัยนั้น หลายคนมักนำเขามาเปรียบเทียบกับ  Justin Timberlake จากลอนผมหยิกเป็นธรรมชาติคล้ายกัน 


หากมีโอกาสได้ย้อนไปชม Cruel Intentions อีกครั้ง พล็อทน้ำเน่าที่แสน classic อาจจะทำให้คุณจั๊กจี๋ แต่เสน่ห์ของ bad boy ที่เย้ายวนใจของเขาคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้อย่างง่ายดายในgroupพระเอกวัยเดียวกัน แม้ว่าพฤติกรรมของเขาดูเลวร้ายแค่ไหน แต่ภาพของคุณชายจอมล่อลวงที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงเพราะพบกับรักแท้นั้นน่าจะเป็น teenage fantasy ตลอดกาลก็ว่าได้



อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์และการดูแลตัวเองอย่างเข้มข้นทำให้ Ryan วัย 47 ปีดูอ่อนเยาว์แตกต่างไปจากพระเอก Hollywood คนอื่นๆ  เพราะมีลูกกับ Reese Witherspoon ตั้งแต่อายุสิบต้นๆ ก็ทำให้ลูกๆโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว  เขายังเคยทำให้ลูกสาวรำคาญใจที่คนอื่นเข้าใจผิดว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ     ดูไม่ได้เป็นเรื่องเกินจริงแต่อย่างใด ใส่แว่นกันแดดมาสักหน่อยก็แอ็บเป็นพี่ชายใหญ่ได้เนียนๆ

คล้ายๆจะรู้สึกว่า Cruel Intensions ลงโรงไปได้ไม่กี่ปี  นึกได้อีกที พระเอกก็มีลูกชายที่จบมัธยม และลูกสาวที่เรียนมหาวิทยาลัยซะแล้ว!



Jonathan Bennett   หนุ่ม hot แห่งตำนาน  Mean Girls

เมื่อนึกถึง teen crush คนนี้  เราไม่สามารถมองข้ามคิ้วสุดเป๊ะของเค้าไปได้เลย    มันช่างเข้ารูปทรงและเข้มคมตรงกับเทรนด์ยอดนิยมในยุคใหม่   ถ้าเป็นหระเอกหนังทีนยุคนี้อาจจะต้องถามกันหน่อยว่าใช้บริการ grooming  จาก Anastasia  หรือที่ไหนมารึเปล่า!

คงพูดได้เต็มปากว่า ความ peak ของ Jonathan Bennett อาจจะอยู่ที่ Mean Girls ในปี 2004     เขาเล่นหนังและซีรีส์ติดต่อกันหลายเรื่อง และยังทำหน้าที่พิธีกรในรายการแข่งขันทำขนมหลายซีซัน    แต่ก็มักจะได้รับคำถามเรื่องหนังทีนในตำนานเสมอ   นั่นยังรวมไปถึงการปรากฏตัวใน MV  Thank U, Next ของ Ariana Grande ที่นำเสนอ Mean Girls theme แบบจัดเต็ม  

Jonathan ประกาศตัวตนที่รักเพศเดียวกันในปี 2017  หลังจากที่มีข่าวเล่าลือเรื่องรสนิยมทางเพศของเขามาหลายปีก่อนหน้า  ซึ่งจริงๆก็เหมือนกับเป็น open secret ของคนในวงการ (ซึ่งเพื่อนนักแสดงก็เคยหลุดพูดเรื่องนี้ออกมาก่อนเขาจะพร้อมเปิดเผยเรื่องนี้)     ซึ่งเจ้าตัวไม่ใช่ teen crush คนแรกๆที่ประกาศให้สังคมรับรู้ว่าเป็นเกย์  และแน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่อง'แหกคอก' หรือ 'ดับจินตนาการ' ของคนที่หลงรักบท Aaron  แต่อย่างใด  ไม่ต่างจาก Matt Bomer แห่ง White Collar  และ Jonathan Bailey แห่ง  Bridgerton ที่ตัวตนทางเพศของพวกเค้าไม่ได้กระทบต่อบทบาทการแสดงที่ทำให้ใจเต้นแต่อย่างใด

Jonathan วัยสี่สิบดูมีความสุขล้นกับคู่หมั้นหนุ่ม  พวกเค้าเป็นคู่รักเกย์คู่แรกที่ได้ขึ้นปก The Knot  นิตยสาร Wedding รวมถึงร่วมเป็นนักแสดงในThe Christmas House  หนังเรื่องแรกของช่อง Hallmark ที่ได้นำเสนอเรื่องราวของคู่รักเพศเดียวกัน

แม้จะเคยยืนยันว่า จะไม่returnในการแสดง  Mean Girls  แต่  Jonathanก็เคยตอบรับคำเชิญของ Lindsay Lohan ให้มาร่วมพูดคุยในรายการสัมภาษณ์ special ใน Lindsay Lohan’s Beach Club  โมเมนท์แบบ Aaron & Cady ย่อมแตกต่างไปจากสมัยวัยรุ่น  แต่ก็ทำให้แฟนๆ Mean Girls ตอบรับเกรียวกราว



Ashton Kutcher    Crush สาย comedy 


ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ชาวเน็ทอาจจะคุ้นเคยกับประเด็นฮือฮาเมื่อ Ashton Kutcher ประกาศว่า ไม่ให้ลูกอาบน้ำบ่อยๆ หรือแม้แต่ตัวเขาเองก็ฟอกสบู่เฉพาะ'จุดซ่อนเร้น'

แต่ย้อนไปในยุค  2000s    ภาพลักษณ์ของหนุ่มสุดปิ๊งของเขานั้นถูกนำมาบรรยายในหนัง  Mean Girls ว่า เขาคือหัวข้อสนทนาที่แกงค์สาวพลาสติกสนใจ    hotเบอร์นั้นเลยล่ะ! 

เมื่อพิจารณาจาก fashion ...
  • หมวกหนุ่มรถบรรทุก  เช็ค
  • เสื้อยืดสโลแกน  เช็ค
  • กางเกงเอวต่ำคาดเข็มขัดเส้นโต เช็ค
Ashton ดูไม่ได้แตกต่างจากดาราขวัญใจวัยรุ่นที่แต่งเนื้อแต่งตัวตามเทรนด์ยอดนิยมคนอื่นๆ  แต่ภาพลักษณ์ของหนุ่มสายตลกต่างหากที่ทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้นมา     จากใบหน้าที่หล่อเหลาและความสูงระดับนายแบบ (ก็แหงล่ะ เขาเป็นนายแบบCalvin Kleinมาก่อนไง)  อาจจะทำให้คิดว่าจะต้องเป็นหนุ่มที่ keep look สุดเท่  แต่เขาหันมาเอาดีด้าน comedy เต็มตัว  ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ที่ทำให้แจ้งเกิด That '70s Show, Dude Where's My Car? รวมไปถึงบทบาทพิธีกร Punk'd รายการแกล้งกันเจ็บๆ ทาง MTV   บอกเลยว่าบุคลิกขี้เล่นทำให้หนุ่มร่างสูงคนนี้เนื้อหอมสุดๆ  เขาเคยเดทสาวสวยในวงการมาหลายคน รวมถึง Britany Murphy  อิทเกิร์ลแห่ง 90s-2000s ผู้ล่วงลับ    และพบรักกับสาวเซ็กซี่รุ่นใหญ่ Demi Moore  และตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากันหลายปี
เห็นสร้างชื่อเสียงในวงการจากภาพพระเอกหน้าเป็น  แต่ Ashtonได้ทำงานธุรกิจควบคู่กันไป  นั่นคือการบริหาร firm ธุรกิจเงินร่วมลงทุนในบริษัทstartups ต่างๆที่ในเริ่มต้นยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่กอบโกยกำไรในระยะเวลาไม่กี่ปี    ซึ่งหลายคนที่เคยชินกับภาพลักษณ์ของหนุ่มหล่อสายฮาในยุค 2000s ของเขาก็ต้องประหลาดใจกับความสำเร็จจากการลุงทุนในSilicon Valley   ด้านหนึ่งคือนักแสดงcomedyที่เรียกเสียงหัวเราะตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี    อีกด้านคือนักธุรกิจทีได้รับเชิญให้ไปบรรยายใน conference ต่างๆ

หลายคนคงทราบแล้วว่า หลังจากที่ปิดฉากชีวิตแต่งงานกับ Demi เรื่องราวต่อมาก็ฟังดูไม่ต่างจากนิยายหวานแหวว เพราะ Ashton ได้หวนกลับไปสานความสัมพันธ์กับ ? Mila Kunis ที่เคยร่วมแสดงThat '70s Show ด้วยกัน ในช่วงเริ่มต้นทำความรู้จักกัน วยเสน่ห์ความหล่อน่ารักระดับนายแบบ Calvin Kleinก็ทำให้เธอแอบปิ๊งเขาไปแล้วเต็มที่ แต่แม้ว่าจะอยู่ในวัยทีนทั้งคู่ แต่ Milaก็ยังเด็กมาก โดยเฉพาะที่เธอต้องแสดงบทจูบกับ Ashton ในขณะที่ยังเป็นสาวไม่ประสาวัย 14 ความแตกต่างของวัยราวๆ 5 ปี ทำให้ทุกอย่างดูน่าอึดอัดไปหมด ระหว่างการแสดงซิทคอมดัง พวกเค้าก็ไม่ได้ออกเดทกัน แต่ยังรักษามิตรภาพไว้แม้ว่าจะซีรีส์จะจบไปแล้ว


หลายปีต่อจากนั้น เป็นความบังเอิญอย่างแปลกประหลาด เมื่อพวกเค้าได้รับบทนำในบทหนังรอมคอมที่คล้ายคลึงในเวลาไล่เลี่ยกัน Mila เป็นนางใน 'Friends With Benefits' ส่วน Ashton เป็นพระเอก 'No Strings Attached' เมื่อโคจรมาพบกันอีกครั้ง จากจุดเริ่มต้นของการคบหาแบบสนุกๆตามประสาคนโสด พวกเค้าก็พัฒนาความสัมพันธ์จนจริงจังในระดับคู่ชีวิต และร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นตราบถึงปัจจุบัน





candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE