[mini review] Dr.Different Vitalift Renew Youth Retinal + Eye & Neck
Wanviset 30 14
พออายุเข้าเลข 3 เราก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวที่ค่อนข้างชัด ทั้งในแง่ของการฟื้นฟูผิว สมดุลความชุ่มชื้น การผลิตน้ำมันบนผิว รวมถึงแนวโน้มการเกิดริ้วรอยที่กำลังจะมาเคาะประตูประหนึ่งเพื่อนสนิทคนใหม่ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุดของมนุษย์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย แต่หากว่าเราสามารถช่วยชะลอกระบวนการนั้นๆ ได้มันก็คงจะดีไม่น้อยใช่ไหมหละครับ
ถูกแล้วที่เกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อจะโยงเข้าสู่ mini review 2 ไอเทมที่เราโดนป้ายยาจากหลายเพจ และไปตำมาด้วยตัวเองอย่าง Dr.Different Vitalift Renew Youth Retinal และ Eye & Neck ด้วยความอยากรู้อยากลองว่า 2 ตัวนี้มีดียังไงดังนั้นก็จัดมาเลยดิค๊าบ!!
ถูกแล้วที่เกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อจะโยงเข้าสู่ mini review 2 ไอเทมที่เราโดนป้ายยาจากหลายเพจ และไปตำมาด้วยตัวเองอย่าง Dr.Different Vitalift Renew Youth Retinal และ Eye & Neck ด้วยความอยากรู้อยากลองว่า 2 ตัวนี้มีดียังไงดังนั้นก็จัดมาเลยดิค๊าบ!!
Dr.Different Vitalift Renew Youth Retinal (20ml./1,750.-)
ขอเริ่มที่ไอเทมที่ถูกป้ายยาหนักสุดๆ อย่าง Dr.Different Vitalift Renew Youth Retinal ที่ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นทรีทเม้นท์เข้มข้นด้วยการพัฒนามาจาก Vitalift-A ตัวดังของแบรนด์ โดยผสานเทคโนโลยีสิทธิบัตรนีโอโซม(NIOSOMES) เพื่อช่วยนำพา Retinaldehyde เข้มข้น 0.1% เข้าสู่ชั้นผิวอย่างล้ำลึกเพื่อดูแลปัญหาริ้วรอย ผิวไม่เรียบเนียน และผิวหมองไม่สดใส
Texture (เนื้อสัมผัส) ของทรีทเม้นท์หลอดนี้อยู่ในรูปแบบเจล สีเหลืองส้มซึ่งเป็นสีปกติของ Retinal ซึ่งเวลาทาลงบนผิวจะทำให้ผิวเหลืองขึ้นเล็กน้อยไม่ต้องตกใจฮะ เพราะยังไงเราก็ทาเฉพาะตอนก่อนนอนอยู่แล้ว ตัวเนื้อเจลช่วยมอบความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีทีเดียว
ในด้านของ Active Ingredients ต้องบอกว่าแบรนด์นี้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ใส่สารออกฤทธิ์มาแบบไม่มีกั๊ก ดังนั้นเราขอหยิบออกมาเหล่าให้ฟังซัก 4 ตัวก็แล้วกันฮะ
- Retinal (0.1%) : อนุพันธ์วิตามิน A ที่เปลี่ยนเป็น Retionic Acid ได้ใน 1 ขั้นตอน (และมีรายงานว่าเป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่เห็นผลไวสุดแล้ว) เด่นในด้านการลดและชะลอการเกิดริ้วรอย
- Elagenpeptide : ตัวนี้เป็นการ Combine กันของสารกลุ่ม peptide เข้ามามากถึง 12 ขนิด มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ เสริมการเยียวยารอยแผล
- Sodium Ascorbyl Phosphate : อนุพันธ์วิตามิน C ที่มีความเสถียรสูง โดนเด่นเรื่องการผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำและเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน
- Niacinamide 5% : ทางแบรนด์ใส่ Vitamin B3 เข้ามาที่ 5% ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าเป็น Brightening ช่วยลดการเกิดสิว และลดอาการอักเสบ ระคายเคืองได้ดีทีเดียว
Dr.Different Vitalift Eye & Neck (20ml./1,350.-)
มาต่อกันที่อีกหนึ่งไอเทมที่ควรค่าแก่การไปตำตามอย่าง Dr.Different Vitalift Eye & Neck ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าเป็นครีมบำรุงรอบดวงตาและลำคอสูตรเข้มข้น ด้วยการผสาน RetinAL และ Multipeptidesome บรรจุในเทคโนโลยี Liposome ช่วยลดเลือนริ้วรอยและลดความหมองคล้ำบริเวณรอบดวงตาและลำคอ
Texture (เนื้อสัมผัส) ของอายครีมหลอดนี้เป็นเนื้อเจลครีมสีเหลืองอ่อนๆ ที่ค่อนข้างเข้มข้นสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยเคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื้นได้ดี
ในแง่ Active Ingredients เอาจริงๆ มีหลายจุดที่แอบคล้าย Treatment ตัวด้านบน แต่เราคาดว่าทางแบรนด์น่าจะลดความเข้มข้นของสารบางตัวลง เพื่อให้ใช้รอบดวงตาโดยไมาก่อความระคายเคือง อาทิ
- Retinal : อนุพันธ์วิตามิน A ที่เปลี่ยนเป็น Retionic Acid ได้ใน 1 ขั้นตอน (และมีรายงานว่าเป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่เห็นผลไวสุดแล้ว) เด่นในด้านการลดและชะลอการเกิดริ้วรอย
- Multipeptidesome : ตัวนี้เป็นการ Combine กันของสารกลุ่ม peptide เข้ามามากถึง 11 ขนิดช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและลดความหมองคล้ำบริเวณรอบดวงตา
- Sodium Hyaluronate : สารที่รู้จักกันดีอยู่แล้วว่ามีคุณสมบัติในการดึงความชุ่มชื้นจากภายนอกเข้าสู่ผิว ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น และลดริ้วรอยร่องตื้นลงได้
Conclusion
โดยรวมหากพิจารณาถึงส่วนผสมที่ช่วยด้าน anti-aging และเสริม Skin Barrier ที่ทาง Dr. Differenet ใส่เข้ามาแบบไม่แคร์เวิร์ลแล้วหละก็เราขอมอบมงให้แบบไม่ต้องคิดนานเลยหละ แถมยังทำเนื้อสัมผัสออกมาได้ดี ขนาดที่มนุษย์ผิวผสม-มันอย่างเราใช้แล้วรอด ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว (เพราะ Vitamin A บางตัวมาในรูปแบบ Oil ที่อุดตันได้ง่ายมากสำหรับเรา)
แต่แน่นอนว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Retinoid นั้นต้องใช้เป็นประจำสม่ำเสมอต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ถึงจะสามารถบอกได้ว่าผิวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพราะงั้นเราขอใช้ต่ออีกซักพักใหญ่ๆ ก่อนแล้วเดี๋ยวจะมาอัพเดทผลให้ชมฮะ / ส่วนคำถามที่ว่าใช้แล้วจะแพ้ไหม จะระคายเคืองหรือไม่นั้น เราไม่สามารถตอบได้เนื่องจากอาการแพ้-ระคายเคืองนั้นมีปัจจัยการเกิดที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตามเราแนะนำให้ทดสอบอาการแพ้-ระคายเคืองคร่าวๆ ที่บริเวณท้องแขนหรือลำคอ แล้วลองสังเกตุอาการซัก 24 ชม.ก่อนใช้บนใบหน้าขอรับ
แต่แน่นอนว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Retinoid นั้นต้องใช้เป็นประจำสม่ำเสมอต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ถึงจะสามารถบอกได้ว่าผิวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพราะงั้นเราขอใช้ต่ออีกซักพักใหญ่ๆ ก่อนแล้วเดี๋ยวจะมาอัพเดทผลให้ชมฮะ / ส่วนคำถามที่ว่าใช้แล้วจะแพ้ไหม จะระคายเคืองหรือไม่นั้น เราไม่สามารถตอบได้เนื่องจากอาการแพ้-ระคายเคืองนั้นมีปัจจัยการเกิดที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตามเราแนะนำให้ทดสอบอาการแพ้-ระคายเคืองคร่าวๆ ที่บริเวณท้องแขนหรือลำคอ แล้วลองสังเกตุอาการซัก 24 ชม.ก่อนใช้บนใบหน้าขอรับ