ดราม่าชาวเน็ทจิกกัด Lifestyle สุดรวยของครอบครัวKarJenner

38 6


ไม่ว่าใครก็คงรับรู้แล้วว่า lifestyle ของบรรดามหาเศรษฐีย่อมแตกต่างกับคนทั่วไปราวกับไม่ได้อาศัยบนโลกใบเดียวกัน แม้แต่กลุ่มที่มีใช้ชีวิตแบบสันโดษ ไม่ได้เผยความร่ำรวยออกสื่อ แต่หากเกาะติดแล้วก็จะพบว่า วิถีชีวิตแบบ 1% ก็ยังเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์จากความร่ำรวยจนยากจะเข้าถึง

เมื่อเราพูดถึงครอบครัว KarJenner  ที่สร้างความมั่งคั่งจนดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วโลกตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้     ผู้คนจำนวนไม่น้อยยอมรับตรงๆว่า  เพลิดเพลินกับการติดตามชม lifestyle หรูหราฟู่ฟ่าของครอบครัวชื่อดัง   หากไร้ข่าวคราวสุดแซ่บตามแบบฉบับ KarJenner  รสชาติของโลก gossip ก็คงจะจืดจางลงจนหมดความน่าสนใจ     สมาชิกในครอบครัวมีจำนวนผู้ติดตามบน social media รวมกันหลักพันล้าน   สองคนในนั้นประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจจนร่ำรวยระดับ Billionaire    และยังมีผู้เปรียบเทียบว่าพวกเค้าก็คือราชวงศ์แห่งโลก social media      


แต่ยิ่งโด่งดังและสร้างความร่ำรวยมากขึ้นเท่าใด      ครอบครัวนี้ก็ยิ่งถูกจับผิดทุกลมหายใจ  เพียงแค่เคลื่อนไหวนิดเดียวก็กลายมาเป็นประเด็นร้อนให้ผู้คนรุม flood ความคิดเห็นไปต่างๆนานา       และสิ่งหนึ่งที่มักจะดึงดูดดราม่าก็คือความรวยของครอบครัวนี้นั่นเอง!


ผิดตรงไหนที่รวย?    


คุณอาจจะข้องใจว่า โลกนี้ยังมีมหาเศรษฐีจำนวนมากที่มีทรัพย์สินมากกว่าครอบครัว KarJenner หลายเท่า    แต่ไม่ต้องต้องมาคอยฟังเสียงวิจารณ์ในรูปแบบ rich - shaming     หลายคนมองว่า  การสร้างอิทธิพลล้นหลามในต่อโลก internet  กลายมาเป็นแรงดึงดูดจากผู้คนที่มีความคิดเห็นสุดขั้ว  ในขณะที่เราจะได้พบเห็นแฟนๆที่ปลาบปลื้มและยกให้พวกเค้าเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างชื่อเสียงบน social media platform    แต่ก็มีอีกมากที่พิพากษาว่า ครอบครัวนี้แสดงภาพตัวอย่างของความเหลื่อมล้ำของอภิสิทธิ์ชนและคนธรรมดาที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน     เมื่อใดก็ตามที่พวกเค้าแบ่งปันภาพชีวิตที่แสนมั่งคั่งผ่าน  reality show และ social media  ก็จะมีพลังความหมั่นไส้จากชาวเน็ทกลุ่มใหญ่


ลองมาติดตามติดตามกระแสโจมตีที่เกิดจากความรวยของครอบครัวนี้กันได้เลยค่ะ


ท่าทางหั่นแตงกวาของKendall ที่กลายเป็นviral


ดราม่านี้เริ่มจากจากภาพในรายการ The Kardashians เมื่อ Kendall พยายามหั่นแตงกวาด้วยตัวเอง แต่ก็เกร็งด้วยความไม่มั่นใจราวกับว่า เธอไม่เคยทำมันมาก่อน เมื่อคุณ momager เห็นก็อดรนทนไม่ได้ ร้องเรียกเชฟส่วนตัวให้มาช่วยเหลือ Kendall ใช้มีดเตรียมของว่าง

  Kendall หั่นแตงกวากลายมาเป็น  trending ในโลกออนไลน์    ชาวเน็ทต่างเยาะเย้ย skill การเข้าครัวของนางแบบสาวสวยด้วยคำพูดเชืดเฉือนรวมถึงสารพัด meme 

แค่ท่าหั่นแตงกวาที่ดูเก้ๆกังๆก็เป็น viral ได้หรือ? คุณผู้อ่านอาจจะสงสัย แต่ความจริงแล้ว มันไปไกลกว่า reaction ของชาวเน็ท สื่อหลายเจ้าชูประเด็นเพิ่มความฮือฮา เชฟคนดังยังเข้ามาร่วมแสดงความเห็น ทั้งยังมีการวิเคราะห์ถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ generation ใหม่ของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนได้รับการเลี้ยงดูโดยไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะในการพึ่งพาตัวเองง่ายๆ ชาวเน็ทบางคนยังแสดงความไม่พอใจในตัว Kris กล่าวหาวิธีการเลี้ยงดูลูกๆของเธอว่า ช่างห่างไกลกับโลกแห่งความเป็นจริง และชี้ว่าบรรดาพี่ต่างพ่อทั้งสี่คนพอจะดูแลเรื่องงานบ้านได้เหมือนคนทั่วไป แต่น้องเล็กทั้งสองที่เริ่มเติบโคขึ้นมาเป็นสาวในช่วงที่ครอบครัวเริ่มร่ำรวยขึ้นมาจากรายการ Keeping up with the Kardashians นั้นกลับไม่แตะต้องเรื่องนี้ ดังที่เคยปรากฏว่า Kylieในช่วงวัยทีนที่กำลังรุ่งจากธุรกิจเครื่องสำอางและแยกตัวจากครอบครัวไปอาศัยเพียงลำพังนั้นไม่เคยรู้วิธีการใช้เครื่องซักผ้ามาก่อน หรือเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ Kylie ที่ประกาศว่า เธอไม่เคยกินซีเรียลราดนมและทอดลองชิมรสชาติของมันเป็นครั้งแรกในวัย21 ปี


การหั่นแตงกวาของ Kendall อาจจะถูกวิจารณ์เป็นเรื่องใหญ่โต แต่ดูเหมือนว่า เจ้าตัวจะไม่ได้กดดันกับคำล้อเลียนว่าเธอ out of touch ซะจนทำอะไรที่ basicอย่างหั่นผักไม่ได้ เพราะเธอก็ได้ทวีท(ด้วยอารมณ์ขัน?)ตอบกลับว่า ภาพที่ออกมาดูอนาถตามที่ถูกวิจารณ์

แม้แต่ Khloe พี่สาวของเธอก็ต้องออกมาให้ให้ความเห็นจากดราม่านี้ผ่านpodcast ว่า Kendall รู้สึกไม่ดีกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมาจนเธอรู้สึกเห็นใจ (ปนขำ)

"ฉันบอกน้องไปว่า Kendall พระเจ้าท่านมีความยุติธรรมนะ    เธอเป็นมนุษย์ที่มีความงามที่สุดในโลก  แต่เธอมีนิ้วเท้าพิลึกพิลั่น   คุณพระ!  แล้วเธอยังหั่นแตงกวาไม่เป็นอีกด้วย  โลกนี้ก็ยุติธรรมดีแล้วล่ะ"





แม่Kris และKylie นึกสนุก ไปซื้อของที่supermarketกันเอง


viral หั่นแตงกวาของ Kendall ยังไม่ซาไปเท่าไร storyline จากรายการ The Kardashians ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เมื่อ Kylie ปิ๊งไอเดียหนึ่งขึ้นมา เพระาเธออยากจะสัมผัสกิจกรรมธรรมดาๆอย่าง เติมน้ำมัน ล้างรถอัตโนมัติ และซื้อของจากsupermarket โดยไม่ต้องอาศัยทีมผู้ช่วยตามปกติ


Kylie: "แม่พาหนูไปเร็วๆหน่อยได้มั้ยคะ  หนูอยากจะทำอะไรที่มันธรรมดาทั่วไปกับแม่  หนูรู้สึกว่า พอตั้งท้องแล้วก็อยากจะได้สัมผัสกับความรู้สึกที่มันแบบธรรมดาๆบ้างน่ะ"

Kris "แม่ไม่ได้ช็อปในห้างร้านขายของชำเองมาตั้งสองปีแล้วนะจ๊ะ"

Kylie  "หนูสิไม่ได้ไปมาเป็นชาติ หนูอยากจะลองเข้าร้านไปเลือกของด้วยมือตัวเอง"




คุณอาจจะได้เห็นพล็อททำนองนี้จากซีรีส์ เมื่อมหาเศรษฐีอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยวิถีชีวิตของคนทั่วไป จากที่โดยสารเฮลิคอปเตอร์เลี่ยงจราจรติดขัดเป็นเรื่องปกติ ก็นึกสนุกลองนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือโมเมนท์ตื่นตาตื่นใจจากการทดลองรสชาติของอาหารสำเร็จรูปราคาย่อมเยาว์ แต่เมื่อในปรากฏใน reality show ของครอบครัวKarJenner กลับถูกกล่าวหาว่าโอ้อวดชีวิตสุด privilege แม้ Kylie จะอธิบายว่า เธอเลิกซื้อของที่ supermarketด้วยตัวเองก็เพราะจำเป็นต้องเลี่ยงคนในร้านและ paparazzi ที่คอยแอบถ่ายรูป แต่ก็ดูจะไม่ลดความหมั่นไส้ของชาวเน็ทที่ไม่ปลื้มครอบครัวนี้ลงไปได้ โดยเฉพาะเมื่อแม่ Kris ส่งเสียงเชียร์ลูกสาวคนเล็กที่ซื้อของเต็มรถเข็นว่า
"เอาเลย Kylie  ทำได้ดีมากจ้ะลูกรัก  ดูความคล่องของเธอสิ  เก่งมากเลยจ้ะ"
รวมไปถึงการเปรียบเทียบว่า ร้านล้างรถอัตโนมัติราคาเก้าเหรียญนั้นสร้างความในระดับ Disneyland ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ชาวเน็ทบางคนก็ใส่ meme กลอกตาใส่รัวๆ ทั้งๆที่พอเดากันออกว่า นี่น่าจะเป็น storyline ที่producer ใช้กระตุ้นเรตติ้งรายการ แต่ก็อดจะแขวะสองแม่ลูกไม่ได้


 

เมื่อไม่กี่ปีก่อน ชายผู้ทรงอิทธิพลในโลกธุรกิจและมีทรัพย์สินติดอันดับกลุ่มคนรวยที่สุดในโลกอย่าง Bill Gates และ Warren Buffett ก็เคยนัดพบกันเพื่อรำลึกความหลังในร้านขายลูกกวาดนั้นไม่ได้ก่อดราม่าใดๆ แม้แต่ตัวWarren ที่เล่น joke ว่า 'ขอเหมาทั้งร้าน" นั้นทำให้ชาวเน็ทกล่าวขวัญในทำนองชื่นชมนับถือซะด้วย

เนื้อหาคอนเทนท์อาจจะมีข้อแตกต่างกันตรงที่ บทสนทนาของสองแม่ลูกที่ฟังแล้วทำให้หลายคนปักใจว่า มาจากจงใจแสดงความ out of touch เพื่อสร้างกระแสรายการให้เป็นที่กล่าวขวัญใน social media ซึ่งเป็นยุทธวิธีการตลาดของ reality show ทั่วๆไปอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะรายการของครอบครัวนี้ ซึ่งในสายตาของของผู้ชม มันอาจจะดูห่างไกลจากความเป็นจริงจนทำให้รู้สึกว่า นี่คือการโอ้อวดlifestyle สุดเว่อวังให้รู้สึกอิจฉา แต่นี่คงเป็นความธรรมดาตามแบบฉบับ KarJenner ก็เป็นได้ หรือถ้าคิดแบบให้แฟร์ เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาลูกหลานมหาเศรษฐีที่เกิดมาพร้อมกับการถูกพะเน้าพะนอ มีทีมพ่อบ้านแม่บ้านคอยอำนวยความสะดวกตลอดเวลา มันคงไม่แปลกประหลาดหากบางคนไม่สามารถใช้มีดหั่นอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว หรือเกิดโมเมนท์โหยหาวิถีแบบสามัญชนจนรู้สึกตื่นเต้นกับการเข้า supermarket




Kim เผยโกดังเก็บเสื้อผ้าสามหมื่นชิ้น


เรื่องคฤหาสน์หลังมหึมาของ Kim หรือ walk-in closet ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าดีไซน์เนอร์หรูหราที่ได้รับการจัดเรียงให้สวยงามมีระเบียบนั้นเป็นอะไรที่ไม่เหนือความคาดหมายอยู่แล้ว แต่เมื่อเธอเปิดทัวร์ให้ผู้คนได้ชมภาพโกดังที่เก็บรักษาเครื่องแต่งกายนับสามหมื่นชิ้น...

นั่นถือเป็นคนละเรื่องกันเลย!



นี่ไม่ใช่โกดัง stock สินค้า SKIMS เสื้อผ้าที่เรียงแน่นเป็นหมื่นๆชิ้นคือเสื้อผ้าที่เธอเป็นเจ้าของ เธอบรรยายถึงของสะสมอย่างภาคภูมิใจว่า มันได้ถ่ายทอดให้เธอรำลึกถึงความทรงจำจากพัฒนาการทาง fashion สิบห้าปี

"เส้นทางอันแสนสนุกสนานของฉันนั้นเกิดจากการลองผิดลองถูกว่าก้าวต่อไปของfashionในแบบฉบับตัวเองจะเป็นเช่นไร ช่วงนี้ฉันก็แค่อยากจะหาแรงบันดาลใจขึ้นมาบ้างเพราะฉันมีเสื้อผ้าอยู่ล้นหลามและฉันก็ผ่าน fashionที่แตกต่างกันมาหลากหลายช่วง ฉันปลื้มที่ได้เห็นเสื้อผ้าพวกนี้ เพระาฉันอยากจะเห็นว่าตัวเองผ่านจุดใดมาบ้างและต่อจากนี้อยากจะลองอะไรในลำดับต่อไป ฉันมีเสื้อผ้าเป็นหมื่นๆ คิดว่าน่าจะมีสักสามหมื่นชิ้นค่ะ"

เสื้อผ้าจำนวนมากมายมีทั้งแขวนบนราวและถูกเก็บรักษาในกล่องเรียงกันแน่นขนัดจนชวนตกตะลึงว่าเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงเพียงคนเดียวจริงหรือเรากำลังชมรายการล้อกันเล่น!? และคุณน่าจะเดาออกว่า เธอจะต้องว่าจ้างผู้ช่วยมาทำหน้าที่จัดระเบียบของสะสมเหล่านี้ Kim ยังเล่าอย่างติดตลกว่า เธอตั้งใจจะโชว์ให้แฟนหนุ่มได้เห็นเสื้อผ้าทั้งหมดในโกดังหากเขาบ่นว่าเธอมีเสื้อผ้ามากมายเกินไป

ประชาสัมพันธ์ผู้เป็นเพื่อนใกล้ชิดกับ Kim ยืนยันถึงความคลั่งไคล้ใน fashion ที่ซึมทุกอณูความทรงจำ เพียงแค่ชี้ไปที่ชุดใดไปส่งๆ เธอก็สามารถบรรยายได้เลยว่า ใส่มันในโอกาสใด ถึงขั้นที่จดจำถึงสีeyeshadow และทรงผม ทุกชุดจะมีเรื่องราวที่เชื่อมต่อกันเสมอ!


นอกจาก walk-in closet ที่คฤหาสน์ เธอยังมีห้องที่รวบรวมไอเท็มจาก Balenciaga โดยเฉพาะ



แต่ collection เสื้อผ้าที่เก็บไว้ยาวนานข้ามทศวรรษของ Kim นั้นทำให้ชาวเน็ทกลุ่มหนึ่งแสดงความไม่พอใจ เรียกร้องให้เธอบริจาคสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วเพื่อการกุศล เธอก็ยังจะมีเพิ่มเสื้อผ้าใหม่ๆขึ้นมาแทบทุกวันอยู่แล้ว กล่าวหาเธอว่ายึดติดกับเสื้อผ้าที่อาจจะเคยแตะต้องไปเพียงครั้งเดียวแล้วเก็บไว้มากมายก่ายกองจนเข้าข่ายโรคชอบเก็บสะสมสิ่งของ หรือHoarding Disorder ที่มาในรูปแบบของเสื้อผ้าแบรนด์เนม

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดตามครอบครัวนี้อาจจะพอทราบมาว่า พวกเค้านำเสื้อผ้าส่วนหนึ่งที่เคยใช้แล้วจัดจำหน่ายผ่าน Kardashian Kloset ( มีหน้าเว็บ ส่วน Instagram account มีผู้ติดตามถึง1.9ล้าน) เพื่อให้แฟนๆที่ปรารถนาจะเข้าถึง lifestyle แบบ KarJenner แบบสัมผัสได้แล้วหักรายได้ราวๆ 10% เพื่อนำไปบริจาค นั่นหมายความว่า เธอได้เลือกเสื้อผ้าที่ไม่อยากจะเก็บสะสมไว้ติดประกาศขายไว้เรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าสามหมื่นชิ้นที่เก็บรักษาไว้นั้นมีคุณค่าทางจิตใจเกินกว่าจะส่งต่อนั่นเอง

การสร้างรายได้จากเครื่องแต่งกายแบรนด์หรูที่เคยผ่านมือพวกเธอมาแล้วก็ทำให้ถูกโจมตีอีกจนได้ จากการตั้งข้อสังเกตว่า แม้ไอเท็มต่างๆอาจจะมีราคาถูกกว่าซื้อของใหม่ และพวกเธอคงใช้พวกมันเพียงไม่กี่ครั้ง (หรืออาจจะไม่เคยใส่เลย) แต่บางส่วนน่าจะเป็นของกำนัลจากดีไซน์เนอร์ที่พวกเธอได้รับกันเป็นประจำ แต่ได้ตั้งราคาส่งต่อไว้สูงพอสมควร ชาวเน็ทบางคนกล่าวหาว่า บ้าน KarJenner โลภมาก! เพราะมองว่าพวกเธอมีเงินทองมากมายอยู่แล้ว และสามารถจัดประมูลเสื้อผ้าที่แฟนๆเต็มใจซื้อและนำรายได้ไปบริจาคได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเดือดร้อน




ก่อนหน้านี้ Kim  เคยอธิบายว่า   เธอได้รวบรวมเครื่องแต่งกายที่รู้สึกผูกพันจำนวนหนึ่งไว้เป็นสมบัติตกทอดให้ลูกสาว    แม้ Kanye จะเคยสั่งให้เธอโละข้าวของจากwalk-in closet ที่เขาไม่ปลื้มออกให้หมด แต่เธอแอบเก็บรักษาไว้    และน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้นเองที่ collection  ของ Kim เริ่มขยายจำนวนแบบก้าวกระโดด จากหลักร้อยเป็นหลักหมื่น    ใครๆต่างรู้กันดีว่าเธอรวยระดับพันล้าน   แต่เมื่อพบว่า เธอเคยใส่เครื่องแต่งกายมามากมายถึงขนาดนี้ก็พูดได้เลยว่าอึ้งกันไปถ้วนหน้า  แม้จะแยกเป็นเครื่องประกับและรองเท้ากระเป๋า ก็ยังเหนือจินตนาการจริงๆ



ห้องเก็บจานของแม่ Kris


Kim มีโกดังสะสมเสื้อผ้าเป็นภูเขาเลาหาที่ไม่น่าจะประเมินค่าได้  Kylie  มีห้องสะสมกระเป๋าแบรนด์เนมที่มีราคารวมกันเกินล้านดอลลาร์   ของสะสมของ momager  อาจจะไม่ได้มีมูลค่าใกล้เคียงกับลูกสาวมหาเศรษฐีทั้งสอง  แต่ห้องสะสมจานของเธอก็กลับทำให้เธอถูกโจมตีไม่ต่างกัน

collection จานชามและชุดน้ำชาจากแบรนด์เนมอย่าง Gucci และ Hermès รวมถึงไอเท็มสั่งทำที่เพนท์ลวดลายเป็นภาพของสมาชิกครอบครัวนั้นดูสมกับเป็นของสะสมแสนรักของคุณแม่ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอาณาจักร KarJenner แต่การเปิดเผยห้องเก็บจานชามสวยหรูพวกนี้กลับทำมีเสียงแดกดันตามมาว่า แทนที่เธอจะอวดความร่ำรวยก็ควรหาอาหารจัดใส่จานแจกจ่ายสำหรับเด็กๆและคนยากไร้ที่หิวโหย และไม่พอใจกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เมื่อผู้คนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากภาวะโรคระบาด แต่คนกลับเย้ยกันด้วยห้องสะสมชุดจานชามสุดหรู ดราม่านี้ไม่ได้ต่างจากคนดังบ้านเราที่เมื่อใดก็ตามที่เผย lifestyle เลิศหรู ก็มักจะถูกกดดันว่า 'ทำไมไม่นำเงินที่ทุ่มเทกับของสะสมเหล่านี้ไปช่วยเหลือคนยากจน?'

แต่ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองเรื่องของสะสมที่มาจากรสนิยมส่วนบุคคลด้วยความเข้าใจว่า ผู้คนทุกชนชั้นต่างมี passion ต่อบางสิ่งและมีสามารถที่จะสร้างความสุขให้กับตัวเองด้วยสิ่งสะสม ตราบใดที่สามารถใช้จ่ายได้สบายๆไม่ได้เดือดร้อนทางการเงิน มันคือสิทธิที่ไม่ควรล่วงล้ำกัน สำหรับผู้ที่ตามพิพากษาอภิสิทิ์ชนว่าใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อไม่เห็นหัวคนยากจนนั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่า พวกเค้าเหล่านั้นไม่ได้ส่งเขียนเช็คจำนวนเงินก้อนโตบริจาคให้การกุศล บ้าน KarJenner เคยรวบรวมเงินเพื่อส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภับเฮอริเคนและไฟป่า เรี่ยไรเงินบริจาคหลักล้านเพื่อองค์กรการกุศลในการรับมือกับวิกฤติ coronavirus และเพียงเพราะว่า พวกเค้าไม่ได้สาธยายตัวเลขการบริจาคเงินให้สังคมรับรู้ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เคย give back Kourtney เคยแชร์ข้อความที่บ่งบอกเป็นนัยว่า พวกเธอเลือกจะช่วยเหลือสังคมโดยไม่ป่าวประกาศมากกว่า ส่วน Khloe ก็ยืนยันชัดเจนว่า เธอเลือกจะให้อย่างแท้จริง ไม่ใช่การบริจาคเพื่อหวังคำตอบแทนเป็นคำชื่นชม ตามที่คำสั่งสอนของพ่อผู้ล่วงลับว่า อย่าโอ้อวดเรื่องงานการกุศล








ข่าวลือเรื่อง Dolce & Gabbana เป็น  sponsor  ให้กับพิธีแต่งงานที่อิตาลีของ Kourtney และ  Travis 




แม้จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่อินกับวิถีความรวยแบบ  KarJenner   และคอยโจมตีว่าพวกเค้าหมกมุ่นกับการอวดฐานะ  แต่เมื่อครอบครัวนี้รับงาน sponsor  ก็เลี่ยงคำวิจารณ์ไปไม่พ้นเช่นกัน

พี่สาวคนโตแห่งบ้าน KarJenner เลือก Portofino เมืองตากอากาศอันงดงามของ Italy เป็นที่หมายในพิธีสาบานรัก    ทัศนียภาพปราสาทที่ทอดลงมาจากยอดเขาท่ามกลางแมกไม้และสายน้ำน่าจะเป็นโลเคชั่นในฝันของหลายคู่     การเฉลิมฉลองของบ่าวสาวและครอบครัวคนสนิทนั้นกินเวลาหลายวัน  ทั้งพิธีทางศาสนา งานเลี้ยง ทริปล่องเรือยอร์ช   E!  ได้คำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆของงานวิวาห์ครั้งนี้ตีเป็นตัวเลขกลมๆที่  $3.5 ล้าน    ผู้ติดตามข่าวหลายคนอาจจะมองว่า ดูสมฐานะของสมาชิกครอบครัวผู้ทรงอิทธิพลแห่งโลกออนไลน์  แต่เมื่อปรากฏว่า พวกเค้าต่างใส่ชุด Dolce & Gabbana  กันพร้อมหน้าพร้อมตาตั้งแต่คืนเลี้ยงฉลองก่อนวันพิธี  เกิดเป็นข่าวลือแพร่สะพัดว่า แบรนด์ดังจาก Italy ทุ่มทุนเป็น sponsor หลักให้กับงานที่สังคมให้ความสนใจ   สอดคล้องกับรายงานจาก Daily Mail ว่า   แบรนด์ลงทุนเป็นล้านๆกับครอบครัวดังเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง หลังจากเคยเกิดเรื่องฉาวจากโฆษณาที่สร้างกระแส boycott ในจีน  วีรกรรม  'พูดไม่คิด' ของดีไซน์เนอร์จนต้องประกาศขอโทษและเรียกร้องให้ชาวจีนให้อภัยและคำพูดเหยียดหยันผู้อื่นที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา  สื่ออังกฤษยืนยันว่า  บ้าน Kardashian ตกลง deal เพื่อช่วยโพรโมท Dolce & Gabbana แลกกับพิธีแต่งงานที่หรูหรา  แม้ตัวแทนจากแบรดน์จะปฏิเสธเรื่อง deal นี้ และชี้ว่าเป็นการเสนอตัวมาช่วยเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มใจเท่านั้น  เพราะไม่เพียงแต่บ้าน KarJenner จะจงใจใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์เดียวกัน   พวกเค้ายังแชร์ภาพและติด hashtag  โพรโมทแบรนด์  ทำให้ชาวเน็ทก็ฟันธงว่า sponsor แน่นอน





เรื่องsponsor พิธีแต่งงานไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นสวยงามและพิธีการที่มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว แม้แต่แหวนเพชรก้อนโตที่ใช้หมั้นหมายราคาตีเป็นตัวเลข 7 หลักก็เคยมีผู้ยื่นข้อเสนอเป็น sponsor มาแล้ว (Paris Hilton เคยยืนยันชัดเจนว่า เธอมองข้อตกลงโฆษณาแหวนหมั้นเป็นธุรกิจแบบwin-win) แต่งานวิวาห์ของ Kourtney กลับมีเสียงติฉินนิทาตามมา เมื่อมีคนยกเอา post จากเพจ Diet Prada ที่อ้างหลักฐาน screenshot คอมเมนท์ของ Stefano Gabbana ที่จิกกัดครอบครัวนี้ว่า "เป็นกลุ่มคนที่ดู cheap ที่สุดในโลก"



แม้ล่าสุด Stefano จะโต้เถียงกับชาวเน็ทว่า screenshot ดังกล่าวเป็นของปลอมที่ Diet Prada ใช้ใส่ร้าย แต่ยังมีผู้ปักใจเชื่อว่า นี่คือหลักฐานที่แสดงถึงพฤติกรรมปากแจ๋วของดีไซน์เนอร์ดังจริงๆ เพราะเขาเคยตกเป็นข่าวฉาวโฉ่จากการเหยียด Selena Gomez ว่าอัปลักษณ์ และยังวิจารณ์ว่าหน้าท้องของ Lady Gaga ดูไม่เป๊ะพอจะใส่ crop top ทั้งชาวเน็ทและสื่อหลายเจ้าจึงตั้งคำถามกับครอบครัว KarJenner ว่า เหตุใดจึงเต็มใจร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงเสียหายจากพฤติกรรมเหยียดเชื้อชาติ เหยียดรูปลักษณ์ ต่อต้านคู่แต่งงานเพศเดียวกันที่เลือกมีทายาทด้วยวิธี IVF ( Elton John ประกาศจะไม่ใส่เสื้อผ้าแบรนด์นี้อีกต่อไป)  



การเตรียมตัวเป็นนักกฎหมายของ Kim


จุดเปลี่ยนของเส้นทางชีวิตราชินี internet เกิดขึ้นเมื่อเธอหันมาสนใจการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่ได้รับโทษทัณฑ์อย่างไม่เป็นธรรม เธอตัดสินดำเนินรอยตามพ่อที่เคยเป็นทนายมีชื่อเสียงด้วยการเตรียมตัวเรียนเพื่อเข้าสอบวิชากฎหมายและเข้าฝึกงานเรียนรู้ใน firm ด้วยความมุ่งมั่นจะทำความฝันให้เป็นจริง เธอวางแผนในอนาคตไว้ว่า หากสอบผ่านได้รับการรับรองเป็นนักกฎหมายได้สำเร็จ ก็จะนำวิชาความรู้มาช่วยเหลือผู้อื่น



แต่การประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงความฝันที่จะเป็นนักกฎหมายกลับถูกปรามาสจากกลุ่มทนายและนักศึกษากฎหมายว่า Kim ใช้ข้อได้เปรียบจากอิทธิพลการเป็นคนดังและทรัพย์สินปูทางให้ตัวเองเข้าถึงอาชีพใหม่ ในขณะที่นักกฎหมายต้องเรียนกันแทบเป็นแทบตายเพื่อใบปริญญา แต่เมื่อเซเลบอยากจะสอบเนติบัณฑิตผ่าน ก็ดึงตัวครูเก่งฉกาจมาช่วยติวเข้ม บ้างก็แนะนำว่าหากตั้งใจจะทำอาชีพทนายจริงๆ ก็ควรสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมายเหมือนกับผู้อื่นในแวดวงนี้ หรือหนักกว่านั้นก็ส่งคำปรามาสว่า เธอควรจะกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองถนัดอย่างการโชว์ภาพเปลือยหรือถ่าย reality show จะดีกว่า!



Kim โต้ตอบข้อกล่าวหาเรื่องใช้อภิสิทธิ์และเงินเพื่อเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักกฎหมายว่า เธอทำตามขั้นตอนของสมาคมเนติบัณฑิตยสภารัฐ California แม้จะไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่เธอก็ลงวิชาจนได้หน่วยกิตเพียงพอที่จะเข้าสู่โปรแกรมการเรียนรู้ในสำนักงานกฎหมายให้มีชั่วโมงตามที่กำหนดให้ในแต่ละสัปดาห์ ในขณะที่ผู้คนอาจจะมองว่า มันเป็นวิธีที่ง่ายดาย แต่เธอต้องแบ่งเวลาการทำงานและทำหน้าที่แม่มาศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ เมื่อเรียนรู้ไปได้หนึ่งปี ก็ต้องเข้าสอบเนติบัณฑิตขั้นพื้นฐานที่เรียกกันว่า baby bar ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพิสูจน์ความสามารถที่เธอจะฝ่าฟันไปให้ได้  Kim ยืนยันว่า สมาคมเนติบัณฑิตยสภาได้เปิดโอกาสให้กับผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักกฎหมายโดยไม่เลือกว่าจะเป็นใคร ขอให้มีคุณสมบัติตรงกับข้อกำหนดก็ไม่สายเกินไปที่จะทำความฝันให้เป็นจริง


เมื่อKim เปิดเผยว่า เธอสอบเนติบัณฑิตในปีแรกไม่ผ่าน เมื่อพยายามฮึดสู้ใหม่ก็ต้องใจสลายซ้ำๆเพราะอีกนิดเดียวก็จะสอบผ่าน ชาวเน็ทที่หมั่นไส้เธอก็ซ้ำเติมอย่างไม่ปราณีว่า เธอสร้างภาพนักเรียนกฎหมายที่มีวินัยให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือแต่ลงท้ายด้วยความfail ไปตามความคาดหมาย ภาพของKim ที่กำลังท่องหนังสือระหว่างอาบแดดในชุดบิกินี่ตัวจิ๋วได้ดึงดูดทั้งยอด likes และเสียงวิจารณ์ว่า เธออาจจะมองตัวเองเป็น Elle Woods แห่ง Legally Blonde แต่ชีวิตจริงย่อมเต็มไปด้วยขวากหนามต่างจากหนัง rom-com

แต่ Kim ไม่ได้ยอมแพ้ เธอสอบ baby bar ผ่านในครั้งที่สี่ เข้าใกล้เป้าหมายที่จะเปิดสำนักงานกฎหมายเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไปอีกหนึ่งก้าว

แม้จะถูกโจมตีว่าเรื่องการทุ่มเงินจ้าง tutor มาสอนตัวต่อตัวจนได้เปรียบนักเรียนกฎหมายคนอื่น แต่เส้นทางที่ Kim เลือกดูจะห่างไกลจากคำว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบ หลายคนชี้ว่า แทนที่จะพิพากษาเธอด้วยอคติว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนจอมสร้างภาพ เราควรเปิดใจด้วยความเป็นธรรมและมองถึงประโยชน์ที่จะเกิดจากจากเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้คนของเธอจะดีกว่า  พิสูจน์จากการนำ campaign ช่วยเหลือให้ Alice Johnsonผู้ต้องขังวัยชราที่ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตจากการกระทำความผิดเรื่องยาเสพติดครั้งแรกให้ได้รับการปล่อยตัว  รวมถึงผู้ต้องขังรายอื่นๆที่อยู่ในกรณีได้รับการตัดสินให้ชดใช้ความผิดหนักหนาเกินกว่าเหตุ


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE