Lifestyle ติดดินเกินคาดของceleb

43 12

หลายครั้งที่พวกเราได้ติดตามดราม่าที่เกิดจากการกระแสโจมตีคนดังที่เคยชินกับใช้ชีวิตแบบ privilegeจนแสดงออกให้ผู้อื่นสัมผัสถึงให้เห็นความ out of touch หรือนำเสนอคำแนะนำแบบที่เรียกกันว่า richsplaining แตถึงจะอย่างนั้น โลกinternet ต่างรับรู้เข้าใจว่า lifestyle ของผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งซึ่งไม่จำเป็นต้องคอยวิตกกังวลเรื่องภาระทางการเงินย่อมแตกต่างกับคนทั่วไปราวกับอยู่คนละโลก

สิ่งที่ดูจะหายากในวงการที่เต็มไผด้วยความหรูหราฟู่ฟ่านั้น กลับเป็นเรื่องราวแบบติดดิน หลายคนต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องราวของเหล่าคนดังที่มี lifestyle ที่ใกล้เคียงกับคนธรรมดา รวมถึงแนวคิดเรื่องการประหยัดอดออมเพื่ออนาคตข้างหน้า แม้ว่าพวกเค้าอาจจะมีเงินมากมายจนสืบสมบัติต่อไปได้อีกหลายชั่วคน

ลองมาติดตามเรื่องราวของพวกเค้ากันเลยค่ะ


Chris Evans ที่ใช้ iPhone 6s มา7ปีกว่าจะโบกมือบ๊ายบายกัน

captain เจ้าของประวัติคลีนๆและเป็นแบบอย่างดีงามจนแฟนๆพูดได้เต็มปากว่าเขาคือสมบัติของชาติผู้นี้เคยทำให้คนทั่วโลก internet เกิดอาการหัวใจพองฟูกันมาหลายครั้ง ล่าสุด เขาก็ได้ประกาศอำลาอาลัยเจ้าเพื่อนยาก iPhone 6s ที่สมบุกสมบันมาด้วยกันถึง 7 ปี สภาพภายนอกอาจจะไม่เท่าไร แต่พ่อ Chris ก็ช่างอดทนใช้มันจนแสนจะคุ้มค่าจนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ (ดีไม่ดีอาจจะเคยเอาไปเปลี่ยนแบตมาก่อนแล้ว) เจ้า 6s นี่แหละที่เคยอยู่ใกล้ชิดแนบกระเป๋ากางเกงของเขาไปทุกหนทุกแห่ง ทั้งตอนถ่ายหนัง แฮงค์เอาท์กับกลุ่มเพื่อน avenger หรือไปออกเดทกับคนรู้ใจ และในที่สุดเขาก็ต้องเปลี่ยนมาใช้น้อง 13



อีกหนึ่งข้อสังเกตคือ    ตามปกติแล้ว  คนดังระดับพระเอกพันล้านแบบ  Chris Evans นั้นอยู่ในกลุ่ม  high demand ของแบรนด์ต่างๆ  หากเขาตอบรับไปร่วมอีเวนท์โพรโมทสินค้า รวมถึงงานพรมแดงหรูเริ่ดต่างๆ  ย่อมได้รับ gift bags ที่อัดล้นไปด้วยของขวัญมูลค่าสูง รวมถึงของกำนัลจากดีไซเนอร์แบรนด์ดัง   (แม้แต่ Kim K  ตัวแม่เรื่องความทรงอิทธิพลในโลกinternet ก็ยังยอมรับว่านี่คือวิถีเซเลบที่เธอปลาบปลื้มมากๆ)   และมันไม่ใช่เรื่องแหวกกระแสหากเหล่าประชาสัมพันธ์คนดังจะยื่น list ข้อเรียกร้องต่างๆในการรับงานsponsor  รวมถึง iPhone ใหม่เอี่ยมสักเครื่อง    


Sarah Jessica Parker ซื้อเสื้อผ้ามือสองให้กับลูก


lifestyle หรูเกินรายได้ของ Carrie แห่ง Sex And The City ยังได้รับการวิพากษฺวิจารณ์มาจนถึงปัจจุบัน ถึงขนาดว่ามีผู้ใช้ reference จากนักเขียนจากสื่อดังใน New York มาแจกแจกงตัวเลขรายรับรายจ่ายในชีวิตจริงที่ดูสวนทางกับความหลงไหลงในแบรนด์เนมของนางเอกซีรีส์สุดแซ่บในตำนาน

แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในจอนั้นมีข้อแตกต่างกับความเป็นจริงอยู่บ้าง SJP ให้สัมภาษณ์มาหลายครั้งเรื่องทัศนคติที่เห็นคุณค่าของเงิน นั่นเป็นเพราะว่า เธอได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความอัตคัตขัดสนของครอบครัว เธอจึงระลึกถึงแผนการเรื่องการสร้างรายได้และเงินออมเพื่อความไม่แน่นอนในอนาคตข้างหน้าที่อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด

"ฉันยังจดจำชีวิตที่ยากจนได้ บางครั้งเราก็ถูกตัดไฟ บางครั้งก็ต้องข้ามการฉลองChristmasesและวันเกิด คนทวงหนี้มาเรียกที่บ้าน บริษัทโทรศัพท์บอกจะระงับสายของเรา เมื่อโตรู้ความก็เป็นคนต้องรับโทรศัพท์พวกนั้น และเห็นปฏิกิริยาของแม่ และตอนที่พ่อแม่ต้องพยายามบริหารเงินกันเต็มที่"

ความระมัดระวังในการใช้เงินของSJP นั้นเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนที่เห็นกันมาตลอดว่าเธอหวาดกลัวที่จะต้องถังแตกมากสักแค่ไหนและมันก็กลายเป็นเรื่องขำขันสำหรับพวกเค้า (เพราะเธอมีเงินทองเหลือเฟือ) แต่การงานของคนดังในวงการนั้นไม่จีรังถาวร นักแสดงอาจจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความ peak จนกอบโกยเงินเป็นว่าเล่น แต่ถึงจุดหนึ่ง วันที่รุ่งโรจน์เหล่านั้นก็จะเริ่มเบาบางจางหายไป และทำให้เธอวิตกกังวลในการใช้จ่ายในช่วงที่ไม่ได้รับงาน แล้วหันมาลงทุนและสร้างธุรกิจเพื่อการันตีรายได้ช่องทางอื่นเพื่อจะการันตีความมั่นคงในชีวิต








แม้ว่าจะมี connection แน่นหนากับดีไซน์เนอร์และสร้างแบรนด์แฟชั่นของตัวเอจนประสบความสำเร็จ (มีการประเมินทรัพย์สินของเธอไว้ที่ $150 ล้าน ไม่รวมกับทรัพย์สินของพระเอกดังผู้เป็นสามี) แต่ SJP ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องคอยซื้อหาเสื้อผ้าใหม่ๆราคาแพงจากแบรนด์ดังให้กับลูกชายทุกครั้งไป แตเธอจะซื้อเสือยืดและสเวตเตอร์จากร้านมือสอง ส่วนกางเกงวอร์มนั้นจะต้องตัดสินใจเลือกเฟ้นจากคุณภาพ เพราะเด็กผู้ชายมักจะทำกางเกงขาดอยู่เสมอ แรงบันดาลใจที่ทำให้เธอไม่ทุ่มซื้อเสื้อผ้าราคาแพงให้กับลูกก็คือสารคดี The True Cost ที่เผยถึงผลกระทบใหญ่หลวงจากธุรกิจ fast fashion ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะที่ยากจะกำจัดและสิทธิมนุษยชนของแรงงานในประเทศที่กำลังพัฒนา


"เสื้อยืดเกือบ 100% ของลูกชายฉันเป็นของที่ผ่านการใช้มาแล้ว และเขาก็เลือกซื้อของหลายอย่างจากร้านสินค้ามือสอง" และนั่นรวมไปถึงลูกสาวแฝดของเธอด้วย
"เด็กทุกคนใส่เสื้อผ้าที่ส่งต่อกันมา บ้านเราส่งต่อเสื้อผ้าให้กันมาสามชั่วคนแล้วค่ะ"





Keira Knightley รีไซเคิลชุดเจ้าสาว

คำว่าครั้งเดียวของชีวิตนั้นทำให้ผู้คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับลุคที่ดูดีที่สุดในวันแต่งงาน มีผู้ที่ทุ่มเทเต็มที่เพื่อสั่งตัดชุดที่งามเลิสเลอเพื่อสร้างความทรงจำไว้อีกแสนนาน และผู้ที่เลือก option ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเช่าชุด เลือกชุดวินเทจ แต่สำหรับผู้คนจำนวนมาก ชุดเจ้าสาวดูจะเป็นสิ่งที่นำมาใช้เพียงครั้งเดียว

แต่สำหรับ Keira Knightley เธอปลื้มชุดเจ้าสาวของตัวเองมากจนนำมาใส่ในโอกาสอื่นๆด้วย :)


นางเอกสาวผู้มีความงามคลาสสิคแบบกุหลาบอังกฤษรับหน้าที่เป็น brand ambassador ของChanelมาเนิ่นนานหลายปี เรื่อง brand loyalty นั้นไม่แพ้ใครแน่นอน เธอเลือกเดรสเกาะอกสั้นประดับด้วยผ้า tulle ฟูฟ่องมาสวมใส่ในวันวิวาห์หวานจับคู่กับ jacket ที่ Karl Lagerfeld ออกแบบให้เธอเป็นพิเศษ และได้เสียงชื่นชมว่า เป็นลุคเจ้าสาวที่ดูชิคเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และที่จริงแล้ว มันเป็นชุดที่มาจากธรรมเนียม 'สิ่งที่ยืมมา'ของเจ้าสาวที่เธอเคยใส่ออกงานกับแฟนเก่ามาแล้วด้วยซ้ำ! จากนั้นเธอก็ได้จับชุดนี้มาปรับ mix & match กับไอเท็มอื่นๆโดยให้คำอธิบายว่า

"ฉันชอบที่ไม่ต้องทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ฉันแค่อยากจะใส่ชุดที่ทำให้รู้สึกดีมากๆ และก็อยากจะรู้สึกดีแบบนั้นอีกครั้ง"

นี่เป็นหนึ่งในสองชุดที่เธอเลือกใส่ในวันสำคัญ...

Keira เผยว่า นอกจากชุด Chanel เธอสั่งตัดชุดเจ้าสาวราคาสูงลิบลิ่วจาก Valentinoสำหรับพิธีแต่งงานที่เก็บไว้เป็นความลับด้วย

"ฉันยังเก็บชุดเจ้าสาวทั้งสองไว้ ชุดหนึ่งฉันเอามาใส่บ่อยๆ ชุด Chanelน่ะค่ะ มันใส่ได้ง่ายหลายโอกาส แต่สำหรับชุดแบบจัดเต็ม ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี คุณจะทิ้งก็ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ จะเอาไปใส่กรอบได้มั้ย ฉันก็ไม่มีพื้นที่ผนังมากพอ แล้วฉันก็คิดว่าน่าจะไปเอามันไปประยุกต์ให้มันใส่งานอื่นได้ แต่ก็ดูน่าเสียดาย มันไม่ใช่ชุดออกงานบอล แต่ก็มีหางลากยาวอยู่สักหน่อย นอกจากว่าฉันจะเอามันมาใส่ซ้ำ แล้วจะทำชุดพังเอาน่ะสิ ไปparty อะไรแบบนั้น หรือถ้ามีใครจัด party ชุดเจ้าสาวเหมือนใน Friends มันก็คงเจ๋งเหมือนกัน"







นอกจากชุดเจ้าสาว Keira ยังขึ้นขึ้นชื่อเรื่องการใช้จ่ายด้วยงบประมาณเบาๆเมื่อเปรียบเทียบกับนักแสดง A List ที่มีทรัพย์สินใกล้เคียงกัน (มีรายงานว่า เธอมีทรัพย์สิน$80 ล้านจากหนังดังหลายเรื่องและ endorsement) แต่เธอพยายามจะใช้จ่ายไว้อยู่ในงบ $50,000 ต่อปี!

"ฉันคิดว่า lifestyle สุดแพงนั้นจะทำไม่สามารถพบปะสังสรรค์กับคนที่ไม่ได้มีlifestyle แบบนั้น มันทำให้เราแปลกแยกออกไป ฉันพบกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดและตลกขบขันมากที่สุดในสถานที่ที่ไม่หรูหราเอาซะเลยค่ะ"

อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้เข้มงวดกับตัวเองตลอดเวลา ถ้ามีสิ่งที่อยากจะได้หรือจพเป็นจริงๆ แล้วมันทำให้เกินงบรายปีไป เธอก็จะให้ของชวัญกับตัวเองเช่นกัน

ยังมีคนดังที่เคยเผยว่า เคยจำกัดงบการใช้จ่ายไว้ นั่นคือ Ed Sheeran แต่เจ้าตัวเลือกไปทุ่มเทให้กับบ้านในฝันที่จะสร้างเพื่อครอบครัว และอสังหาริมทรัพย์ 27 แห่ง แต่เจ้าตัวก็ยัง happy กับ promotion แถม DVDใน Amazon และเมื่อได้รับคำถามว่า รวยขนาดนี้จะแคร์เรื่องส่วนลดแลกแจกแถมไปทำไม คำตอบของนักดนตรีดังก็คือ "ไม่ต้องการจะใช้จ่ายสิ้นเปลืองกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์"





ชื่อเสียงเรื่องความมัธยัสถ์ของ Paul McCartney

เขาคือตำนานแห่งวงการดนตรีที่มีความร่ำรวยระดับพันล้าน แต่สื่อเคยนำเสนอเรื่องราวโจมตีว่าเขาเป็นผู้ตระหนี่ขี้เหนียวจนถูกซุบซิบนินทา

Paul McCartney มีนิสัยตามข่าวลือจริงหรือ?



  • เขาส่งลูกๆเรียนโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน ไม่ใช่โรงเรียนหรูที่ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง  และเรื่องนี้เองที่ทำให้ดีไซน์เนอร์ดัง Stella McCartney ออกมาวิจารณ์พ่อออกสื่อว่า เคร่งครัดเรื่องการใช้เงินมากเกินไป  และเหวี่ยงแรงว่า เขาเป็นตาแก่ขี้งกที่ส่งเธอไปเรียนโรงเรียนธรรมดา
  • แต่ถึงจะถูกโจมตีว่างกเงินเกินเหตุ  แต่สิ่งที่ทำให้Paulและอดีตภรรยาตัดสินใจส่งลูกๆเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนรัฐนั้นคือ  จุดม่งหมายที่จะทำให้เด็กๆเรียนรู้ชีวิตของคนทั่วไป สามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายติดดินโดยไม่เหลิงไปกับทรัพย์สมบัติล้นหลามและชื่อเสียงของพ่อ
  • ลูกๆต่างเติบโตขึ้นมาทำอาชีพที่ตัวเองรัก และก้าวมาประสบความสำเร็จได้  แม้แต่ Stella ที่จิกกัดพ่อว่าขี้งก เมื่อเติบโตขึ้นจนกลายเป็นแม่คนก็ได้ปรับเปลี่ยนความคิด และชี้ว่า ชีวิตในโรงเรียนธรรมดาเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต  เธอส่งลูกๆเข้าเรียนเอกชน แต่หากลูกกลับบ้านทำท่าหยิ่งยโสใส่พร้อมกับสำเนียงไฮโซ ก็พร้อมจะเอาออกจากโรงเรียนทันที
และนี่คือคำอธิบายจากPaul เรื่องการไม่ใช้เงินประเคนทุกอย่างที่ลูกๆต้องการ


"ลูกสาววิจารณ์ผมที่ส่งเธอเรียนในโรงเรียนรัฐแถวบ้านแทนที่จะเป็นโรงเรียนคุณหนูสุดหรู แต่มันไม่ใช่ความคิดของผมคนเดียว มันเป็นการร่วมกันตัดสินใจของพ่อและแม่ และเธอก็ไม่ได้เกิดผลกระทบเลวร้ายอะไรตามมาจากการเรียนที่นั่น ผมไม่ใช่คนตระหนีอะไรขนาดนั้น"

"ผมยังจำวันเกิดครบ18 ปีของเธอได้ เธออยากจะได้รถ ผมจึงบอกเธอว่าผมลองหารถมือสองดีๆให้ Ringoนี่โวยใส่ผมเลย ไล่ผมไปซื้อรถ Porsche ให้ลูก แต่ผมยืนยันว่าไม่ซื้อ เพราะจะมีเด็กสักกี่คนที่ได้ขับPorsche?"

"ความเป็นจริงก็คือ ผมไม่อยากสปอยล์ลูกด้วยเงินจนกลายเป็นพวกเด็กยโสโอหัง"


  • ในบางครั้ง  เขาเคยสร้างความตกอกตกใจให้กับแฟนๆด้วยการโดยสารรถไฟชั้นสอง   แม้จะดูเหมือนว่าเขาจะพรางตัวกับผู้โดยสารร่วมขบวนไปอย่างกลมกลืน  เพราะจะมีใครบ้างที่คาดคิดว่าชายชราที่นั่งเพียงลำพังคือศิลปินระดับโลกที่รวยสุดๆ 
"ตอนที่ยังเด็ก ผมจะขึ้นรถเมล์แล้วนั่งไปสามสี่ป้ายเพื่อมองไปรอบๆ   เนิ่นนานหลายปีต่อมา George Harrison ถามผมว่า นายยังขึ้นรถเมล์อยู่นึเปล่า  ผมตอบว่ายังขึ้นอยู่  ผมคิดว่ามันทำรู้สึกติดดิน และผมก็ชอบซะด้วย  ผมชอบรถสวยๆและการขับรถ แต่การทำตัวแบบธรรมดาทั่วไปก็มีความสำคัญ"

"ผมรู้ว่า มันเป็นไปได้ยากที่จะทำตัวแบบธรรมดาไม่โดดเด่น ผมมีชื่อเสียงมากเกินไปที่ทำแบบนั้น แต่มันเป็นเรื่อของสิ่งที่อยู่ภายใน ที่ยังรู้สึกว่ายังเป็นตัวของผมเองอยู่ มันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง"

Paul ได้เล่าว่า เมื่อกาโอกาสนั่งรถเมล์ใน New York ก็รับรู้ได้เลยว่า ผู้โดยสารรอบๆจดจำเขาได้ แต่ก็ไม่แสดงออกมากมายนัก และเมื่อมีแฟนมาทักทายด้วยความตื่นเต้น เขาก็เรียกเธอให้มานั่งคุยข้างๆกันอย่างสนุกสนาน และกิจกรรมที่แสนธรรมดาอย่างการคุยกับคนแปลกหน้านั้นคือสิ่งที่มีความหมายกับเขามาก



  • สื่อเคยล้อเลียน Paul จากกระแสข่าวลือว่า  เขาเชิญแขกมาร่วม party แต่ปล่อยให้พวกเค้าเหล่านั้นจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มที่บาร์เอง    แต่เขามีชื่อเสียงเรื่องการบริจาคเงิน 7 หลักเพื่อการกุศลหลากหลาย  จนรู้กันเป็นวงกว้างว่า หากเป็นเรื่องการกุศล เขาจะใจกว้างเสมอ
"หนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดของเงินคือ เราสามารถใช้มันทำอะไรได้บ้าง  สำหรับเพื่อนฝูงและครอบครัว ถ้าพวกเค้ามีปัญหาเรื่องความเจ็บป่วย ผมจะบอกเลยว่าผมจะดูแลช่วยเหลือเอง    สิ่งที่ดีงามที่สุดสำหรับการมีเงินคือเราจะใช้มันช่วยคนอื่นได้"






คนดังที่นิยมการใช้คูปองส่วนลดหรือและเลือกซื้อจากชั้นสินค้าเซลส์

เป็นเรื่องปกติที่จะได้เห็นคนดังเลือกซื้อหาสินค้าorganics จาก luxurious supermarket ที่ราคาแพงกว่าร้านรวงทั่วไป ดังที่หลายคนเชื่อว่า สุขภาพและความงามนั้นมีราคาที่จะต้องจ่าย ไหนจะต้องมีเทรนเนอร์ นักโภชนาการ คลีนิคความงาม และเหล่า glam squad แต่บสงคนก็ใช้เทคนิคเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่แสนจะ basic เหมือนกับเราๆ


Halle Berry   ซื้อของลดราคาและบางครั้งก็เข้าร้านราคาประหยัด

ฉันค่อนข้างประหยัดค่ะ ฉันคอยออมเงินอยู่ตลอดเพราะกลัวว่า เส้นทางรุ่งโรจน์ในวงการจะจบลงเมื่อไรก็ได้ ฉันจึงต้องมีเงินเก็บเพื่อรับประกันชีวิตที่มั่นคงและความสุขสบายในภายหน้า"


Carrie Underwoodเก็บคูปองส่วนลดสำหรับ shopping

เจ้าหญิงเพลงคันทรี่ที่ถูกประเมินตัวเลขทรัพย์สินไว้ที่$140 ล้าน เผยว่า เธอคอยเก็บคูปองส่วนลดไว้ซื้อเครื่องปรุงจาก supermarket เพื่อทำอาหารvegan ด้วยตัวเอง   เพราะถูกเลี้ยงดูขึ้นมาให้มีความมัธยัสถ์ แม้จะมีเงินทองเหลือใช้ พ่อแม่ของเธอกลับรู้สึกไม่ดีหากเธอจะมอบของขวัญราคาสูงให้  พวกเค้ายังอาศัยบ้านหลังเดิมที่เธอเติบโตขึ้นมา แม้ว่าเธอจะทีกำลังทางการเงินซื้อบ้านหลังใหม่ใหญ่โตให้ได้  แต่พ่อของเธอกลับหงุดหงิดเมื่อเธอซื้อเครื่องปั่นไฟราคา$400 ที่เขาอยากได้ให้เป็นของขวัญ Christmas เพราะเชื่อว่าเธอไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อเอาใจ



Sarah Michelle Gellar

"ทุกวันนี้ฉันก็ตัดคูปองเก็บไว้ใช้ ฉันไม่เคยลืมใช้มันเลย ครั้งหนึ่งฉันซื้อของที่ห้าง Bloomingdale’s และที่นั่นก็มีคูปองที่เริ่ดมาก ฉันหยิบมันออกมาเพื่อซื้อของสำหรับเทศกาลวัหยุด แล้วใครบางคนด้านหลังก็บอกว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณใช้เวลาจ่ายนานขนาดนี้ ทำไมอย่างคุณจะต้องใช้คูปองอยู่อีก"

"ฉันหันไปมองเธอด้วยท่าทางประมาณว่า ทำไมฉันต้องจ่ายมากกว่าด้วยล่ะ ถ้ามันมีคูปอง ฉันก็ต้องใช้สิ เพียงเพราะประสบความสำเร็จในการงานก็ไม่ได้หมายความว่าจะสมควรจะใช้จ่ายแบบไม่ระวัง ฉันไม่เชื่อในเรื่องแบบนั้น"




candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE